xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ล้วงลับ Nvidia บริษัทโคตรรวยอันดับ 1 ของโลก เจาะลึก “เจนเซน หวง” เจ้าพ่อชิป AI อัจฉริยะ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -  Nvidia บริษัทเทคชั้นนำของนักลงทุนสหรัฐฯ เชื้อชาติจีน ผู้ครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 80% ของอุตสาหกรรม AI โค่นบัลลังก์ยักษ์ใหญ่ไมโครซอฟท์ ก้าวขึ้นมายืนหนึ่ง กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในโลก หลังเพิ่งแซง “แอปเปิล” ขึ้นมาเป็นเบอร์สองของโลกได้ไม่นาน 

สำนักข่าวรอยเตอร์ และบรรดาสื่อต่างชาติ รายงานว่า ราคาหุ้น Nvidia ไต่ขึ้นอีก 3.5% ไปอยู่ที่ 135.58 ดอลลาร์สหรัฐฯ/หุ้น เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา ส่งผลให้มูลค่าตลาดพุ่งสูงแตะระดับ 3.335 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพียงไม่กี่วันหลังจากที่ Nvidia เพิ่งจะสามารถก้าวแซง “แอปเปิล” ขึ้นมาเป็นเบอร์ 2 ของโลกได้

สำหรับมูลค่าตลาดของไมโครซอฟท์อยู่ที่ 3.317 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยราคาหุ้นปรับลดลง 0.45% ขณะที่หุ้นแอปเปิล ร่วงลงกว่า 1% ทำให้บริษัทมีมูลค่าทางการตลาด อยู่ที่ 3.286 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

Nvidia กลายเป็นบริษัทที่มีการซื้อขายมากที่สุดในวอลล์สตรีท ด้วยอัตราการหมุนเวียนซื้อขายต่อวัน เฉลี่ยอยู่ที่ 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับราวๆ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในกรณีของแอปเปิล ไมโครซอฟท์ และเทสลา ตามข้อมูลจาก LSEG

ราคาหุ้น Nvidia พุ่งขึ้นเกือบ 3 เท่าตัวในปีนี้ เมื่อเทียบกับหุ้นไมโครซอฟท์ ที่ขยับขึ้นเพียง 19% โดยมีปัจจัยสำคัญจากกำลังการผลิตโปรเซสเซอร์ระดับคุณภาพเยี่ยมที่ยังคงไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ท่ามกลางความพยายามของยักษ์ใหญ่อย่าง ไมโครซอฟท์ เมตา และอัลฟาเบ็ท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google ที่แข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์เอไอออกสู่ท้องตลาด

 การที่ชิปเอไอของ Nvidia ถูกมองว่ามีคุณภาพสูงกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ และเป็นที่ต้องการอย่างมากนั้น ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่มองว่า Nvidia คือ “ผู้ชนะรายใหญ่ที่สุด” ในสงครามการแข่งขันด้านเอไอ ณ เวลานี้ 

ชิปประมวลผลกราฟิกอันทรงพลังของ Nvidia กลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งสำหรับบริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น OpenAI, Google, Amazon และแม้กระทั่ง Microsoft ในขณะที่พวกเขาหันไปมุ่งเน้นที่การพัฒนาระบบและโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ปัญญาประดิษฐ์แทน

“Nvidia กำลังได้รับความสนใจในเชิงบวกอย่างมาก และบริษัทก็เดินเกมหลายอย่างได้ถูกต้อง แต่ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจกระทบต่อมูลค่าหุ้น ดังนั้น นักลงทุนจึงต้องระวังเช่นกัน” โอลิเวอร์ เพิร์ช รองประธานอาวุโสของ Wealthspire Advisors ในนครนิวยอร์ก ให้ความเห็น

มูลค่าตลาดของ Nvidia ขยายตัวจาก 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กลายเป็น 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในระยะเวลาเพียง 9 เดือน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา ก่อนใช้เวลาอีกเพียง 3 เดือน ในการไต่ระดับสู่หลัก 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายน 2567

ผู้บริหาร Nvidia เคยให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาว่า อุปสงค์ชิปเอไอ Blackwell ของทางบริษัทน่าจะสูงเกินกำลังผลิตไปจนถึงปีหน้า

Nvidia เพิ่งแตกหุ้นในอัตรา 10 ต่อ 1 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2567 การตัดสินใจปรับอัตราส่วนหุ้นของ Nvidia มีขึ้นเพื่อหวังผลักดันให้บริษัทติดอันดับอยู่ในดัชนี Dow Jones Industrial Average (DJIA) ซึ่งเป็นดัชนีแบบ weighted index ซึ่งมักจะเลือกบริษัทที่มีราคาหุ้นไม่สูงมากจนเกินไป เพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทใดบริษัทหนึ่งมีอิทธิพลต่อค่าเฉลี่ยของดัชนีมากเกิน

รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ในปี 2567 ของ Nvidia ออกมาอย่างแข็งแกร่ง โดยทำรายได้สุทธิ 26 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รายได้ดังกล่าวมาจากกลุ่มธุรกิจ Data Center มากถึง 22.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

บริษัท Nvidia Corporation ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1993 มีสำนักงานใหญ่ อยู่ที่ซานตาคลารา แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ผู้ก่อตั้ง คือ  Jensen Huang, Chris Malachowsky และ Curtis Priem มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาเทคโนโลยีกราฟิกสำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และมีชื่อเสียงจากการพัฒนา GPU (Graphics Processing Unit) ซึ่งมีผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมเกม คอมพิวเตอร์กราฟิก และปัญญาประดิษฐ์

ผลิตภัณฑ์และบริการของ Nvidia มี 4 สายผลิตภัณฑ์หลัก ดังนี้ หนึ่ง GPU (Graphics Processing Unitk) เช่น GeForce สำหรับเกม, Quadro สำหรับมืออาชีพในงานกราฟิก, Tesla สำหรับการประมวลผลเชิงลึก (deep learning) และ AI

สอง Software เช่น CUDA สำหรับการประมวลผลขนาน (parallel computing), Deep Learning AI frameworks

สาม เทคโนโลยีสำหรับยานยนต์ Nvidia DRIVE สำหรับรถยนต์อัตโนมัติ

และ สี่ Data Center ประกอบด้วย Nvidia DGX สำหรับงานวิจัยและการประมวลผล AI และ Nvidia A100 สำหรับการประมวลผลข้อมูลใหญ่ (big data)
Nvidia มีบทบาทสำคัญในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งเกม, การทำกราฟิก, ปัญญาประดิษฐ์, การวิเคราะห์ข้อมูล, และยานยนต์อัตโนมัติ โดยบริษัทได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในฐานะผู้นำทางด้านเทคโนโลยีกราฟิกและการประมวลผล AI

 นิตยสาร TIME ยกให้ Nvidia เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีนวัตกรรมที่สุดในโลก โดยบริษัทลงทุนในงานวิจัยและพัฒนาที่มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในด้าน AI, deep learning, การประมวลผลภาพ และเทคโนโลยียานยนต์ และยกย่อง เจนเซน หวง ผู้ก่อตั้ง Nvidia เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก 

สำหรับ เจนเซน หวง (Jensen Huang) ผู้ก่อตั้ง Nvidia เกิดเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1963 ที่เมืองไถหนาน ไต้หวัน อพยพมาสหรัฐอเมริกาตั้งแต่อายุยังน้อยและเติบโตในอเมริกา เขาจบการศึกษาปริญญาตรี วิศวกรรมไฟฟ้า จากมหาวิทยาลัยโอเรกอนสเตต และปริญญาโท วิศวกรรมไฟฟ้า จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด หวง มีความสนใจในเทคโนโลยีและวิศวกรรมมาตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันเขาอาศัยอยู่ในแคลิฟอร์เนียกับครอบครัว

เจนเซน หวง ร่วมก่อตั้ง Nvidia และดำรงตำแหน่ง CEO มาจนถึงปัจจุบัน เขามีวิสัยทัศน์ในการนำเทคโนโลยีกราฟิกสู่ระดับใหม่ ซึ่งเป็นแรงผลักดันสำคัญในการพัฒนา GPU ของ Nvidia ที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมเกม การทำกราฟิก และการประมวลผลปัญญาประดิษฐ์

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Nvidia ประสบความสำเร็จ กระทั่งสามารถเอาชนะ Microsoft และเติบโตกระทั่งมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรม ประกอบด้วย ความเชี่ยวชาญด้าน GPU โดย Nvidia มุ่งเน้นการพัฒนาและผลิต GPU มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้บริษัทโดดเด่นจากคู่แข่ง บริษัทเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีกราฟิกสำหรับเกม คอมพิวเตอร์กราฟิก และการประมวลผลเชิงลึก

การนำนวัตกรรม AI เข้ามาใช้ โดย Nvidia ลงทุนและพัฒนานวัตกรรมด้าน AI และ machine learning อย่างต่อเนื่อง GPU ของ Nvidia ถูกนำมาใช้ในการประมวลผล AI และ deep learning ซึ่งทำให้บริษัทมีข้อได้เปรียบในการใช้งานด้านนี้

การพัฒนาและใช้งานแพลตฟอร์ม CUDA (Compute Unified Device Architecture) ทำให้ Nvidia สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลขนานและการทำงานร่วมกับแอปพลิเคชันที่ต้องการประสิทธิภาพสูง เช่น AI, การจำลองทางวิทยาศาสตร์ และการทำกราฟิก

เจนเซน หวง (Jensen Huang) ผู้ก่อตั้ง Nvidia
ความสามารถในการปรับตัวและนำเสนอนวัตกรรมที่ตรงกับความต้องการของตลาดได้อย่างรวดเร็ว จากการพัฒนา GPU สำหรับการเล่นเกมไปจนถึงการประมวลผล AI และยานยนต์อัตโนมัติ พร้อมกับขยายตลาดและสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจในหลายอุตสาหกรรม

ดังนั้น ถึงแม้ว่า Microsoft จะเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่มีขนาดใหญ่และมีบทบาทสำคัญในหลายด้าน แต่ Nvidia สามารถสร้างความเชี่ยวชาญและนวัตกรรมในด้านเฉพาะทาง เช่น GPU และ AI ซึ่งทำให้บริษัทมีความโดดเด่นและประสบความสำเร็จในตลาดเหล่านี้

Nvidia ได้ขยายตลาดอย่างต่อเนื่องโดยการร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำและองค์กรวิจัยทั่วโลก ล่าสุด บริษัทได้ประกาศความร่วมมือกับ Microsoft ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการประมวลผล AI บนระบบคลาวด์ของ Microsoft Azure เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่

 สำหรับผู้ถือหุ้นหลัก 10 อันดับแรกของ Nvidia ในปี 2024 ประกอบด้วย 1. Vanguard Group Inc จำนวน 213.34 ล้านหุ้น สัดส่วน 8.67% Vanguard เป็นหนึ่งในผู้จัดการกองทุนดัชนีที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีการลงทุนในหุ้น Nvidia ผ่านกองทุนดัชนีและ ETF ของบริษัท

2.BlackRock Inc ถือหุ้น 182.24 ล้านหุ้น สัดส่วน 7.4% BlackRock เป็นผู้จัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีการลงทุนในหุ้น Nvidia ผ่านกองทุนรวมและ ETF ต่าง ๆ

3.Fidelity Investments (FMR LLC) ถือหุ้น 115.10 ล้านหุ้น สัดส่วน 4.67% Fidelity เป็นบริษัทบริการทางการเงินที่ให้บริการด้านการลงทุนและการบริหารความมั่งคั่ง

4.State Street Corporation ถือหุ้น 90.49 ล้านหุ้น สัดส่วน 3.67% State Street เป็นผู้ให้บริการด้านการลงทุนและการจัดการสินทรัพย์สำหรับนักลงทุนสถาบันทั่วโลก

5.Geode Capital Management LLC ถือหุ้น 52.49 ล้านหุ้น สัดส่วน 2.11% Geode เป็นบริษัทจัดการสินทรัพย์ที่ให้บริการการลงทุนในรูปแบบกองทุนรวมและ ETF

6.Price T Rowe Associates Inc ถือหุ้น 46.14 ล้านหุ้น สัดส่วน 1.85% Price T Rowe เป็นบริษัทจัดการลงทุนที่มีชื่อเสียงและมีการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท

7.JPMorgan Chase & Co ถือหุ้น 37.96 ล้านหุ้น สัดส่วน 1.52% JPMorgan เป็นหนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลกและมีการลงทุนในหุ้น Nvidia ผ่านหน่วยลงทุนและกองทุนรวมต่าง ๆ

8.Morgan Stanley ถือหุ้น 33.87 ล้านหุ้น สัดส่วน 1.35% Morgan Stanley เป็นบริษัทบริการทางการเงินและการลงทุนที่มีการลงทุนในหุ้น Nvidia ผ่านหน่วยลงทุนและกองทุนรวม

9.Mark A. Stevens ถือหุ้น 4.07 ล้านหุ้น สัดส่วน 0.16% Stevens เป็นสมาชิกบอร์ดบริหารของ Nvidia และมีการลงทุนในบริษัทผ่านหุ้นส่วนตัว

10.Tench Coxe ถือหุ้น 3.79 ล้านหุ้น สัดส่วน 0.15% Coxe เป็นสมาชิกบอร์ดบริหารของ Nvidia และมีการลงทุนในบริษัทผ่านหุ้นส่วนตัว 

ผู้ถือหุ้นเหล่านี้ มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางและการบริหารจัดการของ Nvidia ซึ่งเป็นบริษัทที่มีอิทธิพลและเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดเทคโนโลยีกราฟิก และ AI

นักวิเคราะห์ คาดว่า Nvidia จะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในอนาคต ด้วยการพัฒนาและนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในการประมวลผลกราฟิก และ AI บริษัทมีแผนที่จะขยายตลาดเพิ่มเติมในหลายภาคส่วน รวมถึงการแพทย์, การวิเคราะห์ข้อมูล, และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใช้ AI

ต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มีบทบาทสำคัญในโลกสมัยใหม่ในทุกมิติ แม้แต่ในตลาดแรงงาน ทักษะการใช้งาน AI กลายเป็นปัจจัยสำคัญ โดยผลสำรวจล่าสุดจาก Work Trend Index 2024 พบว่า 74% ของผู้บริหารในประเทศไทย ไม่ต้องการจ้างพนักงานที่ไม่มีทักษะทางด้าน AI ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 66%

และหากต้องเลือกระหว่างทักษะ AI กับประสบการณ์การทำงาน ผู้บริหารไทยกว่า 90% เลือกจ้างพนักงานที่มีประสบการณ์น้อย แต่มีทักษะด้านการใช้ AI แทนการเลือกพนักงานที่มีประสบการณ์สูงกว่า แต่ขาดทักษะในด้านนี้ ตัวเลขนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 71% สะท้อนว่าทักษะด้าน AI เป็นเรื่องสำคัญโดยเฉพาะตำแหน่งงานที่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์และการแก้ปัญหา

นั่นหมายความ ทักษะแรงงานในโลกสมัยเก่า กำลังตกยุค แรงงานที่ปรับตัวไม่ทันเทคโนโลยี ต้องถูกเบียดขับออกไปอยู่ชายขอบ

เช่นเดียวกัน ในแวดวงการลงทุน ตลาดหุ้นไทยกำลังเดินเข้าสู่ชะตากรรมเดียวกับตลาดหุ้นสิงคโปร์ ซึ่งแทบพังทลายจากมหาวายร้าย ROBOT TRADING หรือโปรแกรมการซื้อขายหุ้นด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI

สุนันท์ ศรีจันทรา คอลัมนิสต์ชุมชนคนหุ้น MGR ONLINE เตือนว่า ตลาดหุ้นไทยกำลังพังพินาศตามรอยตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพราะนักลงทุนรายย่อยล้มหายตายจากเนื่องจากขาดทุนย่อยยับจนต้องถอยหนีจากตลาดหุ้น เพราะถ้าดันทุรังอยู่ต่อไปจะถูก ROBOT กินจนหมดตัว

เวลานี้ตลาดหุ้นไทย มูลค่าซื้อขายหุ้นลดลงเรื่อยๆ จากเฉลี่ยวันละเฉียด 1 แสนล้านบาท เหลือเพียงประมาณ 4 หมื่นล้านบาท สัดส่วนการซื้อขายของรายย่อยลดเหลือเพียงประมาณ 30% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด ขณะที่สัดส่วนการซื้อขายผ่าน ROBOT เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 40% ของมูลค่าซื้อขายทั้งหมด

ตั้งแต่มหาวายร้าย ROBOT ถูกปล่อยให้เข้ามาโจมตีตลาดหุ้นไทย ดัชนีหุ้นทรุดฮวบลงต่อเนื่อง จากระดับประมาณ 1,850 จุด เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2561 ล่าสุดถอยลงมาอยู่ที่ระดับ 1,330 จุด ลงมาแล้วประมาณ 520 จุด

ขณะที่นักลงทุนไทยเกือบ 3 ล้านคน ถูก ROBOT กินเรียบ นักลงทุนต่างชาติ เทขายขนเงินหนี นับตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2566 ถึง 10 มิถุนายน 2567 เป็นจำนวนกว่า 150,476 ล้านบาท และถึงขณะนี้ยังไม่มีทางใดที่จะหยุดยั้งการทุบทำลายตลาดหุ้นไทยให้ย่อยยับจาก ROBOT

ยุค AI ครองโลก แม้แต่ ไมโครซอฟท์ และ แอปเปิล ยังเจอ Nvidia ผู้นำในเทคโนโลยี AI โค่นแชมป์ความมั่งคั่ง ความมั่นคงในหน้าที่การงานสั่นคลอน ความได้เปรียบในการแข่งขัน ไม่ใช่แค่ปลาใหญ่กินปลาเล็กเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับว่าใครคิดค้น “สมองกล” ได้ก้าวล้ำกว่า


 


กำลังโหลดความคิดเห็น