xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

จับสัญญาณ “ดีลลับ“ ยังอยู่(ยาว) ทุบ “ก้าวไกล”-ปล่อย “เศรษฐา” คดี112 ขึง “ทักษิณ” ห้ามตุกติก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ผ่านพ้นไปแล้ว วันสำคัญ 18 มิ.ย.67 กับ 4 คดีสำคัญที่ที่ผลสั่นสะเทือนทิศทางการเมืองไทย อันได้แก่ คดีในชั้นศาลรัฐธรรมนูญ 3 คดี และอีก 1 คดีในชั้นศาลอาญา ซึ่งนัดวินิจฉัย และมีความคืบหน้าในวันนั้น

ปรากฎว่ามีเพียง 1 คดีที่มีบทสรุปออกมา ขณะที่อีก 3 คดียังเป็นเหมือน “ระเบิดเวลา” ที่ต้องรอลุ้นผลลัพธ์ต่อไป

ที่จบไปแล้วคือ คดีที่ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ชี้ขาดว่า 4 มาตราแห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ไม่ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 107 แห่งรัฐธรรมนูญ 2560 ตามที่มีผู้ร้องเข้ามา

ส่งผลให้กระบวนการคัดเลือก สว.ตามไทม์ไลน์ของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่จะมีการเลือกในระดับประเทศ ในวันที่ 26 มิ.ย.67 ที่อิมแพ็ค ฟอรัม เมืองทองธานี เพื่อคัด 3,000 รายชื่อจาก 20 กลุ่มอาชีพทั่วประเทศ ให้เหลือ สว. 200 คน และบัญชีสำรอง 100 คน ก่อนจะประกาศรายชื่ออย่างเป็นทางการช่วงต้นเดือน ก.ค.67 ยังคงดำเนินการต่อไปได้

ถัดมาอีก 3 คดี ยังอยู่ในภาวะ “ลูกผีลูกคน” โดยมี 2 คดีที่ดูเหมือนจะมีไทม์ไลน์คู่ขนานกัน และเป็นคดีในชั้นศาลรัฐธรรมนูญทั้งคู่

คือ คดียุบพรรคก้าวไกล ในข้อหาล้มล้างการปกครอง ที่ศาลฯ ให้ผู้เกี่ยวข้องในคดี เสนอบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นต่อศาลฯ ตามประเด็นที่ศาลกำหนดภายใน 7 วัน ให้นำพยานเอกสารในสำนวนการไต่สวนคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 มารวมไว้ในสำนวน

กำหนดนัดพิจารณาต่อไปในวันที่ 3 ก.ค.67 และกำหนดให้คู่กรณีเข้ามาตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 9 ก.ค.67

ตามรูปการณ์แล้วก็มีความเป็นไปได้ว่า คดีนี้จะมีการเปิดไต่สวนในชั้นศาล ตามที่ พรรคก้าวไกล เรียกร้อง ก่อนที่ศาลฯจะนัดฟังคำวินิจฉัยชี้ขาดอีกครั้ง

คล้ายกับคดีที่ 40 สว. ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาความเป็นรัฐมนตรีของ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลง กรณีแต่งตั้ง พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่

โดยศาลฯ มีคำสั่งให้หน่วยงานหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง จัดทำความเห็น และจัดส่งสำเนาเอกสารหลักฐานตามประเด็นที่ศาลกำหนด ยื่นต่อศาลภายใน 15 วัน เพื่อประกอบการพิจารณาของศาล และกำหนดนัดพิจารณาต่อไป ในวันที่ 10 ก.ค.67

อย่างไรก็ตาม เมื่อถอดรหัสคำสั่งศาลฯ ในคดีของ “ยุบพรรคก้าวไกล” เทียบคดี “นายกฯเศรษฐา” จะพบว่า ในคดีหลังเป็นเพียงการขอ “คำชี้แจงเพิ่ม” เท่านั้น ไม่มีการกล่าวถึงพยานบุคคล จึงคาดว่าจะไม่มีการเปิดไต่สวนในชั้นศาล และอาจสามารถนัดฟังคำวินิฉัยได้เร็วกว่าคดีของพรรคก้าวไกล
มาถึงคดีสุดท้ายที่ดูเหมือนสปอตไลท์จะจับจ้องมากที่สุด เป็นคดีของ “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ อัยการสูงสุด นัดส่งฟ้องต่อศาลอาญา ในข้อกล่าวหาฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือมาตรา 112 และพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จากกรณีให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศเมื่อปี 2558

ท่ามกลางกระแสข่าวว่า “ทักษิณ” อาจหา “ข้ออ้าง” ขอเลื่อนนัดหมาย ตลอดจนไปถึงขั้นลือกันว่า หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว กระทั่งมีการปล่อยภาพ “นายใหญ่เพื่อไทย” ไปรับประทานห่านพะโล้ และร่วมงานศพที่ จ.ชลบุรี ออกมากลบข่าว

อย่างไรก็ดีก็ยังมี นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานที่ปรึกษาพรรคไทยภักดี ที่โพสต์เฟซบุ๊กถึงประเด็น “ถุงขนม 2,000 ล้านบาท” ซึ่งก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันทั้งบ้านทั้งเมือง

และท้ายที่สุด“ทักษิณ” ก็ได้เดินทางไปตามนัดที่ศาลอาญา โดยศาลฯ ได้ประทับรับฟ้องเป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1860/2567 เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลฯ และ
ได้รับการประกันตัวด้วยวงเงิน 500,000 บาท โดยศาลฯ เห็นว่าจำเลยให้การปฏิเสธมาตลอด มีที่พักอาศัยเป็นหลักแหล่ง โจทก์ไม่คัดค้านการปล่อยชั่วคราว มีเหตุสมควรเชื่อว่าจำเลยจะไม่หลบหนีหรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ห้ามจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาลฯ พร้อมกำหนดวันนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 19 ส.ค.67

เมื่อลองฉายฉากทัศน์ต่อความเคลื่อนไหว 4 คดีดังจากวันที่ 18 มิ.ย.67 ก็จะเห็นว่า ที่ดูทางโล่งที่สุดคงเป็นกระบวนการเลือก สว. ที่แม้จะมีข้อร้องเรียนในเรื่องการฮั้ว-ล็อกผลออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็เชื่อว่าจะได้ เห็นหน้าคร่าตา สว.ชุดใหม่กันในช่วงต้นเดือน ก.ค.67 แน่นอน

สำคัญกว่านั้นในจำนวน 3,000 รายชื่อที่ผ่านเข้ารอบไฟนอล ก็พอคาดหมายได้ว่า “เขยชินวัตร“ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ผ่านเข้ารอบแบบสบายๆ ทั้งระดับอำเภอ-จับหงัด ก็คงจะได้เป็น 1 ใน 200 สว.ชุดใหม่ด้วย

และมีการประเมินก่อนหน้านี้ด้วยว่า ด้วยดีกรีอดีตนายกฯ ผสมกับแรงหนุนทางการเมือง คงไม่ยากที่จะผลักดัน “สมชาย” ให้ขึ่นเป็นประธานวุฒิสภา

ซึ่งก็เป็นไปตามสไตล์ของ “ระบอบชินวัตร” หรือหากพูดให้ถูกก็เป็นสไตล์ที่ชัดเจนของ “ทักษิณ” ในการทำการเมืองแบบกินรวบเบ็ดเสร็จในทุกระดับ

หากจำกันได้ในช่วงที่ “ทักษิณ” เรืองอำนาจเป็นนายกฯ วุฒิสภาขณะนั้นที่มีที่มาจากการเบือกตั้งโดยตรง ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็น “สภาผัวเมีย” หรือ “สภาใบสั่ง” ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด และทำงานเอื้อให้ฝ่ายบริหารโดยตลอด

เมื่อได้ตัว 200 สว. และมี “สมชาย” เป็นประธานวุฒิสภาจริง ก็จะเป็นการตอกย้ำการรุกคืบของ “ระบอบชินวัตร” อีกครั้ง

ตัดมาที่ 3 คดีที่ยังอยู่ในสถานะ “ออกหน้าไหนก็ได้” โดยเฉพาะคดียุบพรรคก้าวไกล และคดีนายกฯเศรษฐา ที่แม้ถูกร้องในแง่กฎหมาย แต่คำวินิจฉัยเป็นลักษณะ “ตีความ” ว่า ผิดก็ได้ ไม่ผิดก็ได้

 ทักษิณ ชินวัตร

 เศรษฐา ทวีสิน

 สมชาย วงศ์สวัสดิ์

ชัยธวัช ตุลาธน
รายของพรรคก้าวไกลที่มีความมั่นใจว่า ไม่ว่าผลคดีออกมาทางไหนก็จะยิ่งขับส่งให้ “แก๊งสีส้ม” เติบโตขึ้นอีก เหมือนครั้งที่พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ แต่ก็ดูจะสองจิตสองใจกับผลที่จะออกมาไม่น้อย

ด้วยมีความเชื่อว่า หากพรรคก้าวไกลถูกยุบจริง จะเป็นแรงส่งแบบสปริงบอร์ดปลุกกระแส “ส้มทั้งแผ่นดิน” อีกครั้ง แต่ก็ต้องแลกกับอนาคต “คีย์แมน” ที่จะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองกันยกพรรค

ขณะเดียวกันหลายคนในพรคคก้าวไกลก็ดูจะทำใจแล้ว เพราะคำร้องของ กกต.คัดลอกเอาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีก่อนหน้าที่ศาลฯสั่งให้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคขณะนั้น และพรรคก้าวไกล ยุติพฤติกรรมการหาเสียงแก้ไขประทวลกฎหมายอาญามาตรา 112

“…เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข…” คำสำคัญในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญตรงนี้เองที่ กกต.ต้องยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรค

หากพรรคก้าวไกลถูกยุบ แน่นอนว่าจะทำให้ภูมิทัศน์การเมืองเปลี่ยนไปอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องจำนวน สส.ของพรรคก้าวไกล ที่อาจเหลืออยู่ไม่เท่าเดิม ทั้งจากการที่ สส.หลายคนที่เป็นปรรมการบริหารพรรคจะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง

โดยในส่วนของ สส.บัญชีรายชื่อ ขึ้นอยู่กับว่า จะลาออกเพื่อเปิดทางให้เลื่อนคนอื่นขึ้นมาเป็น สส.แทนแล้วไปหาสังกัดใหม่หรือไม่ เพราะเมื่อครั้งยุบพรรคอนาคตใหม่นั้น สส.นับ 10 คนกอดตำแหน่งไปด้วย เพราะมีความไม่เชื่อใจผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อในลำดับถัดๆไปว่า จะเหนียวแน่นอยู่กับพรรคหรือไม่

ขณะที่ในส่วนของ สส.เขต หากมีใครถูกตัดสิทธิ์ ก็จะต้องมีการเลือกตั้งซ่อม ก็ต้องดูว่า “ค่ายสีส้ม” ในชื่อพรรคใหม่จะสามารถชิงเก้าอี้ สส.คืนมาได้หรือไม่

ซึ่งช่วงที่ผ่านมาก็มีกระแสข่าวเนืองๆ ว่ามีขบวนการดูด “งูเห่าสีส้ม” ล่วงหน้า ทั้งจากสาย “คนบ้านป่า-คนเซราะกราว” รวมทั้งถึง “หัวจ่ายเพื่อไทย” ที่มีการ “เลี้ยงดู” สส.พรคคก้าวไกล บางกลุ่มมาระยะใหญ่แล้ว

เอาว่าหาก พรรคก้าวไกล ถูกยุบจริง แล้วต้องหาสังกัดใหม่ หรือใช้พรรคสำรองที่เตรียมการไว้ ก็เชื่อว่าที่สุด สส.จะอยู่กันไม่พร้อมหน้า กลายเป็น “งูเห่าสีส้ม” อีกภาค

มาถึงคดี “นายกฯ เศรษฐา” ที่ดูจะซับซ้อนน้อยที่สุด ยิ่งหลังได้ “คัมภีร์กฎหมายไทย” วิษณุ เครืองาม มาเป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ก็ทำให้มีความเชื่อกันว่า ด้วยอภินิหารของคนชื่อ “วิษณุ” จะสามารถบันดาลให้ “เศรษฐา” พ้นวิบากกรรมนี้ไปได้

ว่ากันว่า ประเด็นแก้ต่างว่า 40 สว.ไม่มีอำนาจยื่นคำร้อง อาจทำให้ “ชนะฟาวล์” โดยที่ไม่ต้องเข้าสู่การพิจารณาเนื้อหาของคดี เหมือนอย่างคดียุบพรรคประชาธิปัตย์รอบ 2 ที่งัดเทคนิคทางกฎหมายขึ้นมาหักล้างกระบวนการยื่นคำร้อง

ทำให้คาดว่า ผู้นำประเทศจะยังคงชื่อ “เศรษฐา” ต่อไป สร้างความผิดหวังให้ “ลุงในป่า” อีกครั้ง

หรือในทางกลับกันหาก “เศรษฐา” ไม่ได้ไปต่อ ด้วยจำนวน สส. และจุดยืนพรรคการเมืองปัจจุบัน ก็ชัดเจนว่า แต้มต่ออำนาจจะยังคงอยู่ในมือพรรคเพื่อไทย อยู่ที่ว่าจะหยิบใครขึ้นมาเป็นนายกฯแทนเท่านั้น

และเอาเข้าจริง หาก “ขั้วอำนาจเก่า” คิดจะกดปุ่มสอย “เศรษฐา” ก็ยังมีเวลาอีกกว่า 3 ปี และยังมีอีกหลายแผลที่จะผุดมากขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่อยู่ในอำนาจ
โดยเฉพาะ “โครงการดิจิทัลวอลเลต” ที่ดูจะกระท่อนกระแท่นมาตลอด จนน่ากลัวว่าเมื่อถึงวันดีเดย์เดินหน้าโครงการก็จะเป็นกลายเป็นคดีที่ถูกร้องเอาเรื่องทั้งรัฐบาลและตัว “นายกฯ นิด”

และคงไม่เว่อร์เกินหากบอกว่า คดีที่จะกระเพื่อมกับการเมืองไทยมากที่สุด เป็นคดีมาตรา 112 ของ “ทักษิณ”

หรือพูดให้ถูกชะตากรรมของ “นายใหญ่เพื่อไทย” ผูกโยงกับการเมืองไทยมากที่สุดก็ว่าได้

มองกันว่า การที่ “ทักษิณ” ไปรายงานตัวตามนัดอัยการสูงสุด และได้รับการประกันตัว ก็เป็นเครื่อสะท้อนว่า “ซูเปอร์ดีล-ดีลลับ” ที่มีกับ “ขั้วอำนาจเก่า” ยังคงอยู่

หลังที่ดูจะสัญญาณไม่ดีเล็กน้อยช่วงที่ อัยการสูงสุด มีคำสั่งฟ้อง จนทำให้ “ทักษิณ” ต้องอ้างติดเชื้อโควิดขอเลื่อนนัดเมื่อช่วงสิ้นเดือน พ.ค.67 เพื่อเช็กสัญญาณให้ชัวร์อีกครั้ง

เพราะหากสัญญาณไม่ดีมีหรือที่ “ทักษิณ” จะกล้าไปที่ศาลอาญา

สัญญาณไม่ดีในที่นี้ไม่ต้องถึงขั้นไม่ให้ประกันตัว แค่ประวิงเวลาให้นอนเล่นในคุกซัก 1-2 คืนเพื่อพิจารณาคำร้องขอประกันตัว ก็คงทำให้ “ทักษิณ” ผวาขึ้นเครื่องบินเจตส่วนตัวแทบไม่ทันแล้ว
เมื่อเห็นทางสะดวกตั้งแต่รู้ว่า อัยการสูงสุด ไม่ได้มีคำขอคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราว ก็เลยไปตามนัดอย่างสบายใจ
ตามรูปการณ์แล้วกระบวนการพิจารณาคดีของ ”ทักษิณ“ สามารถลากยาวได้ ก่อนจะมีคำพิพากษาออกมา คาดกันว่าน่าจะราวๆ 3 ปี ล้อไปกับอายุรัฐบาล

เป็น 3 ปีที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ ที่หาก ”นายใหญ่” คอยังพาดเขียงอยู่ พรรคเพื่อไทย ก็คงพลิ้วสลับขั้วอีกครั้งลำบาก

ถึงเป็นดีลที่เสี่ยง แต่เชื่อว่า “ทักษิณ-เพื่อไทย” ก็เต็มใจ เพราะเท่ากับการันตีได้เป็นรัฐบาลค่อนข้างแน่ หากกระแส “ค่ายสีส้ม” ไม่ถึงขั้นแลนด์สไลด์ได้เกิน 250 ที่นั่งในการเลือกตั้งครั้งหน้า

และเป็นความเชื่อกันเองใน พรรคเพื่อไทย ว่า รัฐบาลนี้จะอยู่ครบเทอม โดย 3 ปีเศษที่เหลืออยู่ กับการคอนโทรลเกม ถืออำนาจเป็นรัฐบาล ก็จะปั้นผลงานลดความร้อนแรงของ “ค่ายสีส้ม” ลงได้

อันเป็นเรื่องที่ “ขั้วอำนาจเก่า” หรือ “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม” ที่ยังไม่มีตัวมาสู้ที่ดีไปกว่า “พรรคทักษิณ” ก็เลยต้องเป็นไปในลักษณะ “น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า”

อันทำให้เชื่อได้ว่า “ซูเปอร์ดีล-ดีลลับ” ยังอยู่ และอยู่แบบยาวๆ ด้วย แต่เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ก็เลยต้องจับ “นายใหญ่ทักษิณ” ขึงพืดไว้ด้วยคดีร้ายแรงไปพลางก่อน.


กำลังโหลดความคิดเห็น