xs
xsm
sm
md
lg

เปโตรดอลลาร์...เจ๊งแล้ว!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


Mohammed Al-Jadaan รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซาอุดีอาระเบีย
เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตเปลี่ยนบรรยากาศหันไปให้ความสนใจในเรื่องเศรษฐกิจ-ธุรกิจ เรื่องเงินๆ-ทองๆ เอาไว้หน่อย เพราะเมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่แล้ว 9 มิถุนายน ค.ศ. 2024 ว่ากันว่า...เป็นช่วงเวลาแห่งการสิ้นสุด ยุติ ข้อตกลงที่มีช่วงระยะยาวนานถึง 50 ปี ระหว่างคุณพ่ออเมริกากับอภิมหาเศรษฐีน้ำมันซาอุดีอาระเบีย ที่ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกขานกันในนาม “Petrodollar” อุบัติขึ้นมาในโลกใบนี้...

คือข้อตกลงดังกล่าวที่เรียกๆ กันว่า “Petrodollar agreement” นั้น มันจะมีอยู่จริง เป็นจริง-เป็นจัง ตกลงกันด้วยปากเปล่าหรือเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่? เพียงใด? ก็ตามที แต่ตลอดช่วงระยะเวลาประมาณ 50 ปี หรือนับจากวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ. 1974 หลังจากที่รัฐบาลอเมริกันยุคนั้น ได้ยกเลิกการผูกเงินตราสกุลดอลลาร์เอาไว้กับมูลค่าทองคำ หรือเปลี่ยนระบบเงินตราจากระบบที่เรียกว่า “Promissory Note” หรือธนบัตรที่มีข้อผูกพันตามสัญญาว่าจะสามารถนำมาแลกเป็นทองคำได้ตามมูลค่าที่กำหนดเอาไว้ มาเป็นระบบเงินตราที่ไม่จำเป็นต้องมีทองคำหนุนหลัง หรือ “Fiat Money” โดยอาศัยอุปสงค์และอุปทานของความต้องการเงินตราชนิดนี้ เป็นตัวกำหนดมูลค่ากันแทนที่ และได้ไปเจรจาหาข้อตกลงกับอภิมหาเศรษฐีน้ำมันอย่างซาอุดีอาระเบีย ให้กำหนดราคาขายน้ำมันแต่ละลิตร แต่ละบาร์เรล เป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ โดยอเมริกาจะอาสาเป็นผู้ปกป้อง คุ้มครอง ความมั่นคงปลอดภัยของราชอาณาจักรแห่งนี้ นับแต่นั้นเป็นต้นมา...ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดำเนินไปตามวัตถุประสงค์-ความต้องการของทั้งสองประเทศในลักษณะเช่นนี้มาโดยตลอด...

หรือทำให้โลกทั้งโลกต้องวิ่งวุ่นไปหาเงินดอลลาร์สหรัฐมาซื้อน้ำมันซาอุฯ รวมทั้งประเทศในเครือบริวารอย่าง “OPEC” หรือกลุ่มประเทศอ่าวอย่าง “GCC” จนทำให้อุปสงค์ความต้องการต่อเงินดอลลาร์พุ่งกระฉูด แม้ไม่ได้มี “ทองคำสำรอง”เหมือนแต่ก่อน ทำให้บรรดาผู้บริโภคชาวอเมริกันชนสามารถซื้อสินค้าราคาถูกได้จากเงินดอลลาร์ และยังทำให้เงินทุนจากทั่วทั้งโลกไหลมา-เทมาไปยัง “พันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน” ที่ใช้เป็นตัวกู้หนี้-ยืมสิน จนสามารถตั้งราคาดอกเบี้ยเพื่อชดใช้คืนในแบบต่ำเตี้ย-เรี่ยดิน หรือทำให้ “มาตรฐานชีวิตของชาวอเมริกันดีขึ้นเพราะการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ” ดังที่นักคิด-นักเขียนชื่อดังชาวอเมริกัน อย่าง “David Wright” ได้อธิบายไว้ในหนังสือขายดิบ-ขายดีเรื่อง “Bonfire of the Sanities” ที่เพิ่งตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อปี ค.ศ. 2023 นั่นแล...

ส่วนราชอาณาจักรซาอุฯ นั้น...นอกจากได้รับสัญญิง-สัญญาว่าจะปกป้อง คุ้มครอง โดยกองทัพอันทรงแสนยานุภาพสูงสุดอย่างกองทัพอเมริกัน ก็ยังสามารถนำเอาผลกำไรจากการขายน้ำมันมาซื้อพันธบัตรของรัฐบาลอเมริกันโดยไม่ต้องแข่งขันเข้าประมูล หรือยังสามารถทำรายได้จากการกู้หนี้-ยืมสินของสหรัฐฯ จนทำให้กระบวนการต่างตอบแทนในลักษณะเช่นนี้ ถูกเรียกขานกันในนาม “Petrodollar” มาโดยตลอด เพราะจากข้อตกลงดังกล่าวได้ทำให้การซื้อ-ขายน้ำมันทั่วทั้งโลกประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ต่างต้องซื้อๆ-ขายๆ กันด้วยเงิน “ยูเอสดอลลาร์” ไปด้วยกันทั้งสิ้น...

แต่หลังๆ มานี้...ภายใต้ความเสื่อมโทรมของจักรวรรดิอเมริกา ภายใต้การแบกภาระหนี้สินระดับปาเข้าไปถึง 34 ล้านล้านดอลลาร์ ชนิดต่อให้เกิดเป็น “สุธี-สามสี่ชาติ” ก็ยังชดใช้ไม่หมด กระบวนการดังกล่าวมันได้เริ่มเปลี่ยนจาก “หน้ามือ” เป็น “หลังตีน” อย่างเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงปี ค.ศ. 2022 ที่มหาอำนาจรายใหม่ หรือ “มหาอำนาจคู่แข่ง” ของคุณพ่ออเมริกาอย่างคุณพี่จีน ได้บรรลุข้อตกลงในการซื้อ-ขายน้ำมันกับซาอุฯ ด้วย “เงินหยวน” หรือในปีต่อมา ค.ศ.2023 ที่รัฐมนตรีคลังซาอุฯ เอง “นายMohammed Al-Jadaan” ได้ออกมาป่าวประกาศว่าซาอุฯ พร้อมเปิดกว้าง ในการซื้อ-ขายน้ำมันด้วยเงินตราสกุลอื่นๆ นอกเหนือไปจากเงินดอลลาร์อเมริกัน สิ่งที่เรียกขานกันในนาม “Petrodollar” ก็เลยออกอาการ “เจ๊ง...กับ...เจ๊ง” แบบชนิดกู่ไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี-หนีไม่พ้น อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...

เพราะกระบวนการซื้อ-ขายน้ำมันหลักๆ ในโลกใบนี้ ได้หันไปเปลี่ยนการชำระบัญชีด้วยเงินตราสกุลอื่นๆ กว่าครึ่งหนึ่งของโลกไปแล้วก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นซาอุฯ และกลุ่มประเทศบริวาร “GCC” ที่ขายน้ำมันให้จีนและประเทศในเอเชีย-แปซิฟิกวันละประมาณ 12 ล้านบาร์เรลต่อวัน (mbd) ด้วยเงินหยวนหรือเงินสกุลท้องถิ่นกันแทนที่ หรือทำให้จีนที่อาศัยเงินหยวนชำระบัญชีค่าน้ำมันวันละ 13 ล้านบาร์เรลต่อวัน กลายเป็น “Petro-yuan” เอาดื้อๆ!!! ขณะที่รัสเซียขายน้ำมันวันละ 8.5 ล้านบาร์เรลต่อวันด้วยเงินสกุลรูเบิลและเปโตรหยวนกันเป็นหลัก หรือมหาอำนาจเศรษฐกิจรายใหม่อย่างคุณปู่อินตะระเดียที่ชำระบัญชีค่าน้ำมันประมาณ 5 ล้านบาร์เรลต่อวันด้วยเงินรูปี หรือนั่นเท่ากับประมาณ 52 เปอร์เซ็นต์ของการซื้อ-ขายน้ำมันในโลกใบนี้ ได้หันไปใช้เงินตราสกุลอื่นที่ไม่ใช่เงิน “ยูเอสดอลลาร์” ต่อไปอีกแล้ว...

หรืออย่างที่ “Dr.Mamdouh G. Salameh” นักเศรษฐศาสตร์ด้านน้ำมันและผู้เชี่ยวชาญพลังงานโลกได้สรุปเอาไว้ว่า “สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า Petrodollar ได้สูญเสียส่วนแบ่งการซื้อ-ขายในตลาดน้ำมันไปแล้วถึง 40 เปอร์เซ็นต์ อันจะเป็นตัวสร้างความพินาศฉิบหายอย่างหนักหนา-สาหัสทั้งต่อระบบการเงินของสหรัฐฯ และต่อสถานะของเงินดอลลาร์อีกด้วยที่ต้องสูญเสียมูลค่าไปถึง 1 ใน 3 หรือเกือบครึ่งหนึ่ง เอาเลยก็ว่าได้” หรือถ้าว่ากันตามความคิด-ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจอย่าง “Paul Hoffman” ที่ได้ร่ายเรียงข้อเขียน บทความเรื่อง “US-Saudi Petrodollar Pact Ends after 50 years” เอาไว้ในเว็บไซต์ “Nasdaq.Com” เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา ถึงกับระบุไว้ถึงขั้นว่า...การหมดอายุของข้อตกลงเมื่อ 50 ปีที่แล้วระหว่างสหรัฐฯ-ซาอุฯ ถือเป็น “การส่งสัญญาณ...ที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนขั้ว-ย้ายขั้วของขั้วอำนาจแห่งโลก” เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!

โดยจะเป็นด้วยเหตุเพราะ “ขั้วอำนาจ” ของโลกมันกำลังย้ายข้าง-เปลี่ยนข้างหรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่จะคิด แต่นั่นก็ทำให้ผู้นำสูงสุดแห่งราชอาณาจักรซาอุฯอย่างเจ้าชาย “MbS” หรือ “Mohammed bin Salman” นอกจากจะไม่ได้คิดต่ออายุสัญญาข้อตกลงที่ทำให้กับอเมริกาเมื่อ 50 ปีที่แล้ว เมื่อวัน-สองวันมานี้...พระองค์ยังทรงปฏิเสธคำเชื้อเชิญของบรรดาพวก “โลกรวย” หรือพวกกลุ่มประเทศ “G7” ที่ได้ส่งสาส์นไปเชื้อเชิญผู้นำประเทศอภิมหาเศรษฐีทั้งหลาย ไม่ว่าในตะวันออกกลางในแอฟริกาเหนือ ให้เข้ามาร่วมประชุมประจำปีกลุ่มประเทศ “G7” ที่มีอิตาลีเป็นเจ้าภาพ ด้วยข้ออ้างว่าพระองค์ยังทรงติดอยู่กับ “พิธีฮัจญ์” ต้องต้อนรับแขกเหรื่อที่แห่มาแสวงบุญ ณ นครเมกกะจำนวน 1.5 ล้านคน จนมิอาจไปร่วมเสนอหน้าแสดงความเป็นอภิมหาเศรษฐีในหมู่พวกคนรวย หรือ “คน...เคยรวย” อย่างกลุ่มประเทศ “G7” ได้เลย รวมทั้งยังทรงปฏิเสธคำเชื้อเชิญให้เข้าไปร่วมเป็น “ไม้ประดับ” ในการประชุม “สันติภาพยูเครน” (Ukraine peace summit) ที่จัดขึ้น ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 15-16 มิ.ย. โดยไม่ใช่ด้วยสาเหตุเพราะติด “พิธีฮัจญ์” แต่เพราะการประชุมดังกล่าวไม่ได้คิดจะเชื้อเชิญรัสเซียที่เป็นกุญแจสำคัญของเหตุการณ์ เข้าไปร่วมรับรู้ด้วยเอาเลยแม้แต่น้อย...

แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น...พระองค์ยังทรงเห็นชอบที่จะให้ธนาคารกลางของซาอุดีอาระเบีย เข้าร่วมกับโครงการพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางของประเทศต่างๆ (Central Bank Digital Currency-CBDC) ซึ่งริเริ่มโดยธนาคารกลางฮ่องกง (HKMB) ในการสร้างสรรค์ระบบชำระบัญชีระหว่างประเทศที่เรียกว่า “mBridge” (Multiple Center Bank Digital Currency Bridge) อันถือเป็นส่วนหนึ่งและส่วนสำคัญที่จะทำให้กระบวนการที่เรียกๆ กันว่า “De-Dollarization” หรือกระบวนการละทิ้งเงินดอลลาร์ ยิ่งเป็นไปได้และเป็นจริง-เป็นจังมากยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...

ด้วยเหตุนี้...ในขณะที่ “โลกตะวันตก” กำลังโทรมลงๆ ไม่ว่าคุณพ่ออเมริกาที่เงินยูเอสดอลลาร์ยิ่งใกล้เป็นกระดาษเช็ดก้น หรือเป็นแบงก์กงเต๊กยิ่งเข้าไปทุกที แม้แต่กลุ่มประเทศรวยๆ ในโลกตะวันตกอย่างกลุ่ม “G7” ที่แทบไม่เหลือฤทธิ์ เหลือเดช ชนิดแม้แต่ผู้สื่อข่าว “BBC” ยังอดไม่ได้ต้องตั้งคำถามขึ้นมาว่า “กลุ่ม G7 ยังมีพลังอำนาจในการควบคุมโลกทั้งโลกได้จริงหรือ?” หรือเป็นเพียงแค่ “เครื่องมือ” ในการดำเนินนโยบายต่างๆ ของอเมริกา เช่น การคิดอาศัยเวทีประชุมคราวนี้ยึดเงินทุนสำรองของรัสเซียประมาณ 300,000 ล้านดอลลาร์ไปช่วยสนับสนุนยูเครน อะไรทำนองนั้น จนแทบไม่มีใครคิดจะไปเสนอหน้าอวดความเป็นอภิมหาเศรษฐีในเวทีประชุมแต่ละปี โดยเมื่อเทียบกับ “โลกตะวันออก” แล้ว...ยังไงๆ ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า นับวันจะเป็นอะไรที่คึกคัก โครมคราม ยิ่งเข้าไปทุกที ดังเช่นมหาอำนาจคู่แข่งอีกรายของคุณพ่ออเมริกาอย่างรัสเซีย เฉพาะแค่การจัดประชุมเวทีเศรษฐกิจ “SPIEF” (St. Petersburg International Economic Forum) เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ถึงแม้จะถูกคุณพ่ออเมริกาและชาติตะวันตกรวมหัวต่อต้าน แต่บรรดาประเทศต่างๆ ทั่วทั้งโลกจาก 139 ประเทศ ยังอุตส่าห์แห่ไปร่วมงาน ร่วมลงทุนในรัสเซีย จนผู้นำประเทศคิดจะผงาดขึ้นเป็น 1 ใน 4 ของประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจในอีก 6 ปีข้างหน้า เอาเลยถึงขั้นนั้น...

ยิ่งเมื่อรัสเซียมีฐานะเป็นประธานกลุ่มประเทศ “BRICS” ปีนี้ การจัดเตรียมงานประชุม “BRICS International Municipal Forum” หรืองานประชุมมหานครนานาชาติที่กรุงมอสโกระหว่างวันที่ 27-28 ส.ค.ปีนี้ ว่ากันว่า...มีมหานครกว่า 200 แห่งจากประเทศ 126 ประเทศไม่ว่าในเอเชีย แอฟริกา ตะวันออกกลาง ละตินอเมริกา เตรียมแห่กันไปเข้าร่วม โดยที่ประมาณ 59 ประเทศ ได้แจ้งความจำนงที่จะขอเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มประเทศ BRICS, SCO ที่มีจีนเป็นหัวหอก หรือกลุ่มประเทศ EAEU ที่มีรัสเซียเป็นหัวหอกกันจ้าละหวั่น ชนิดที่ทำให้ข้อคิดของผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจอย่าง “นายPual Hoffman” ยิ่งมี “น้ำหนัก” ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น นั่นก็คือการสิ้นสุด หมดอายุ ของข้อตกลง “Petrodollar Agreement” ระหว่างอเมริกากับประเทศผู้ผลิตพลังงานอันดับหนึ่งอย่างซาอุฯ ก็คือการส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนขั้ว-ย้ายขั้วอำนาจของโลกทั้งโลกนั่นเอง!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น