"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
ท่ามกลางนักวิชาการจำนวนมากที่นำแนวคิดเรื่องอำนาจของมิเชล ฟูโกต์ มาพัฒนาและอธิบายสังคมสมัย หนึ่งในนั้นที่ทำได้อย่างโดดเด่นคือ มิทเชลล์ ดีน (Mitchell Dean) ผู้เป็นนักสังคมวิทยาและนักทฤษฎีการเมืองชาวออสเตรเลียที่มีบทบาทสำคัญในการศึกษาเรื่อง อำนาจ การปกครองชีวญาณ (governmentality) และการเมืองเสรีนิยม เขาเกิดเมื่อปี ค.ศ. 1955 จบการศึกษาระดับปริญญาเอกจาก University of New South Wales และดำรงตำแหน่งทางวิชาการในสถาบันต่าง ๆ รวมถึง Macquarie University, Newcastle University และ Copenhagen Business School
ดีนเขียนหนังสือจำนวนมาก ในที่นี้จะหยิบยกเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดอำนาจสามเรื่องด้วยกัน
เรื่องแรกคือ “ประวัติศาสตร์เชิงวิพากษ์และมีประสิทธิภาพ: วิธีการของฟูโกต์และสังคมวิทยาประวัติศาสตร์ (Critical and Effective Histories: Foucault's Methods and Historical Sociology)” ซึ่งพิมพ์ในปี 1994 ในหนังสือเล่มนี้ ดีนให้ภาพรวมเชิงระบบของวิธีการวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ของฟูโกต์และนัยของมันต่อทฤษฎีสังคมและการเมือง
ถัดมาเรื่อง “การปกครองชีวญาณ: อำนาจและการปกครองในสังคมสมัยใหม่ (Governmentality: Power and Rule in Modern Society)” ซึ่งพิมพ์ในปี 1999 ผลงานนี้นำเสนอประเด็นที่ครอบคลุมเกี่ยวกับแนวคิดการปกครองชีวญาณ และการทำความเข้าใจรูปแบบอำนาจและการปกครองร่วมสมัย
และเรื่องที่สามคือ “ลายเซ็นแห่งอำนาจ: อธิปไตย การปกครอง และการเมืองชีวภาพ (The Signature of Power: Sovereignty, Governmentality and Biopolitics)” ซึ่งพิมพ์ในปี2013 หนังสือเล่มนี้วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบต่าง ๆ ของอำนาจ รวมถึงอำนาจอธิปไตย อำนาจวินัย และอำนาจชีวการเมือง ตลอดจนนัยยะของสิ่งเหล่านี้ต่อการเมืองร่วมสมัย
ผลงานของดีน มีอิทธิพลในการกำหนดทิศทางการถกเถียงเกี่ยวกับอำนาจ การปกครอง และธรรมชาติของสังคมเสรีนิยมสมัยใหม่ แนวคิดของเขาถูกนำไปประยุกต์ใช้ในหลากหลายสาขา ทั้งรัฐศาสตร์ สังคมวิทยา อาชญาวิทยา และนโยบายสาธารณะ แม้จะมีข้อวิจารณ์บางประการต่องานของเขา เช่น ข้อกล่าวหาว่าเน้นวาทกรรมมากเกินไป และขาดจุดยืนเชิงบรรทัดฐานที่ชัดเจน แต่ผลงานของดีนก็ช่วยให้เราเข้าใจวิธีการที่ซับซ้อนของการทำงานของอำนาจในโลกปัจจุบันได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
แนวคิดเรื่องอำนาจของมิทเชลล์ ดีน ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากผลงานของมิเชล ฟูโกต์ และเป็นกรอบแนวคิดหลักที่เขาใช้ในการวิเคราะห์รูปแบบการปกครองและการควบคุมทางสังคมในยุคสมัยใหม่ ดีนมีมุมมองว่า อำนาจไม่ใช่แรงบีบบังคับที่กดขี่จากบนลงล่างโดยผู้มีอำนาจอธิปไตย แต่เป็นชุดความสัมพันธ์และการปฏิบัติที่ซับซ้อน ซึ่งกำหนดการปฏิบัติของปัจเจกบุคคลและประชากร อำนาจมีมิติของการสร้างสรรค์ ที่ไม่ได้เป็นเพียงการปราบปรามหรือการควบคุมในแง่ลบ แต่ยังสามารถสร้างสรรค์ส่งเสริมให้เกิดรูปแบบของความรู้ อัตลักษณ์ และความสัมพันธ์ทางสังคมบางอย่างขึ้นมา อีกทั้งอำนาจยังมีความเชื่อมโยงหรือสัมพันธ์ใกล้ชิดกับความรู้ โดยต่างส่งเสริมซึ่งกันและกัน การใช้อำนาจก่อให้เกิดความรู้ ในขณะที่ความรู้ก็สนับสนุนและทำให้ความสัมพันธ์เชิงอำนาจมีความชอบธรรม
แนวคิดเกี่ยวกับอำนาจที่สำคัญของดีนคือ การปกครองชีวญาณ (governmentality) ซึ่งหมายถึงวิธีการที่อำนาจถูกใช้ผ่านสถาบัน ขั้นตอน การวิเคราะห์ และกลวิธีต่าง ๆ เพื่อกำหนดและชี้นำพฤติกรรมของปัจเจกและประชากร การปกครองชีวญาณไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการกระทำของรัฐ แต่ครอบคลุมถึงแนวปฏิบัติและเทคนิคต่าง ๆ ที่มุ่งปกครองพฤติกรรมมนุษย์อย่างกว้างขวาง
การปกครองชีวญาณมีแง่มุมที่สำคัญสามประการ
ประการแรก “การควบคุมพฤติกรรม” ซึ่งการปกครองชีวญาณเกี่ยวข้องกับการชี้นำ แนะนำ หรือส่งอิทธิพลต่อวิถีทางที่ปัจเจกและกลุ่มประพฤติตน ซึ่งอาจเกี่ยวข้องทั้งการแทรกแซงโดยตรงและการใช้อิทธิพลที่แยบยลกว่า
ประการที่สอง “เหตุผลการปกครอง” กล่าวคือ การปกครองชีวญาณวางอยู่บนพื้นฐานของวิธีคิดที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับธรรมชาติของการปกครองที่เชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายหรือประชากรที่ถูกปกครอง และวิธีการที่ดีที่สุดในการปกครอง เหตุผลนี้กำหนดเป้าหมายและยุทธศาสตร์การปกครอง
ประการที่สาม “เทคโนโลยีการปกครอง” ซึ่งการปกครองชีวญาณดำเนินการผ่านเทคนิค กลไก และกระบวนการต่าง ๆ เช่น การเฝ้าระวัง บรรทัดฐาน การจัดการความเสี่ยง และการทำให้เป็นความรับผิดชอบ
ตัวอย่างการปกครองชีวญาณในทางปฏิบัติเห็นได้จากการปกครองชีวญาณของเสรีนิยมใหม่ ภายใต้ลัทธิเสรีนิยมใหม่ ปัจเจกชนถูกกระตุ้นให้มองตนเองในฐานะตัวแสดงที่มีความเป็นผู้ประกอบการ ซึ่งรับผิดชอบต่อความอยู่ดีมีสุขและความสำเร็จของตน นี่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น การจัดการผลงาน การช่วยเหลือตนเอง และการส่งเสริมทางเลือกและการแข่งขันระหว่างปัจเจก ยิ่งกว่านั้นในแง่การบริหารองค์การในยุคปัจจุบันก็ได้มีการนำเรื่อง “การจัดการความเสี่ยง” เข้ามาใช้อย่างแพร่หลาย รัฐบาลและองค์กรอื่น ๆ พยายามระบุ ประเมิน และจัดการความเสี่ยงในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ หรือความมั่นคง มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเทคนิคต่าง ๆ เช่น การประเมินความเสี่ยง การสื่อสารเรื่องความเสี่ยง และการสร้างความรับผิดชอบให้กับปัจเจกและชุมชน และการปกครองชีวญาณยังมีบทบาทอย่างสูงยิ่งในด้านสาธารณสุข ที่ดำเนินการผ่านนโยบายและโครงการที่มุ่งส่งเสริมวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดีและป้องกันโรค เช่น การให้ความรู้ด้านสุขภาพ การมีแผนงานคัดกรองผู้ป่วยโรคต่าง ๆ ทั้งทางกายและจิต และการส่งเสริมการดูแลตนเองและการเฝ้าระวังตนเอง
ในแต่ละตัวอย่างเหล่านี้จะเห็นได้ว่า การปกครองชีวญาณเกี่ยวข้องกับการใช้กลยุทธ์และเทคนิคเฉพาะเพื่อกำหนดการกระทำของปัจเจกและประชากรให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การปกครองบางประการ ดังนั้นการวิเคราะห์การปกครองชีวญาณ ต้องพิจารณารูปแบบเฉพาะของความรู้ ความเชี่ยวชาญ และการปฏิบัติเชิงอำนาจในสังคมร่วมสมัย
นอกเหนือจากการปครองชีวญาณแล้ว แนวคิด “ระบอบของการปฏิบัติ”(regimes of practices) ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำความเข้าใจกลไกของอำนาจในสังคมสมัยใหม่ ดีนอธิบายว่าอำนาจไม่ได้ดำรงอยู่ในตัวของมันเอง แต่ถูกผลิตขึ้นผ่าน “ระบอบวิธีปฏิบัติ” ซึ่งเป็นแบบแผนของการกระทำที่จัดระเบียบวิธีคิด พฤติกรรม และความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนในบริบทเฉพาะ
ระบอบวิธีปฏิบัติไม่ได้เป็นเพียงชุดของกฎหรือข้อบังคับ แต่เป็นรูปแบบเชิงยุทธวิธีของการจัดระเบียบตัวตน ความรู้ และพฤติกรรม ระบอบวิธีปฏิบัติทำงานผ่านสถาบันและแนวปฏิบัติทางสังคมหลากหลายรูปแบบ ผลิตซ้ำความจริง บรรทัดฐาน และรูปแบบของอัตลักษณ์
เราสามารถพิจารณาตัวอย่างได้จากหลายสาขา ในการแพทย์ ระบอบวิธีปฏิบัติสร้างแนวคิดเกี่ยวกับสุขภาพ ความเจ็บป่วย และร่างกาย กำหนดบทบาทของแพทย์และผู้ป่วย บังคับใช้มาตรฐานและแนวปฏิบัติในการวินิจฉัยและรักษา ระบอบวิธีปฏิบัติเหล่านี้กำหนดวิธีที่เรามองและจัดการกับสุขภาพและความเจ็บป่วย ในระบบยุติธรรมทางอาญา ระบอบวิธีปฏิบัติสร้างความหมายของอาชญากรรม การลงโทษ และการฟื้นฟู ระบุว่าใครคือผู้กระทำผิดหรืออาชญากร และใครคือเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมาย ระบอบวิธีปฏิบัติเหล่านี้กำหนดวิธีที่สังคมจัดการกับอาชญากรรมและพฤติกรรมเบี่ยงเบนในการศึกษา ระบอบวิธีปฏิบัติสร้างมาตรฐานเกี่ยวกับความรู้ ทักษะ และคุณสมบัติใดบ้าง ที่ถือว่าจำเป็นหรือมีคุณค่า แนวปฏิบัติด้านการเรียนการสอนและการประเมินส่งเสริมสมรรถนะบางอย่าง ขณะที่ลดทอนความสำคัญของอย่างอื่น ระบอบวิธีปฏิบัติเหล่านี้ผลิตความหมายของการเป็นนักเรียนหรือครูที่ดี
แม้ว่าระบอบวิธีปฏิบัติมักจะดูเหมือนเป็นธรรมชาติแต่แสดงให้เห็นถึงรูปแบบของอำนาจ ด้วยการสร้างความจริง ความรู้ และแนวปฏิบัติที่เป็นบรรทัดฐาน ระบอบวิธีปฏิบัติหล่อหลอมวิธีที่เราเข้าใจตัวเองและโลก รวมทั้งควบคุมพฤติกรรมของเราในแบบที่แยบยล การวิเคราะห์ระบอบวิธีปฏิบัติจึงเป็นกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจการปกครองชีวญาณ โดยเปิดเผยกระบวนการผลิตอำนาจและความรู้ที่ฝังลึกในโครงสร้างสังคม การตรวจสอบว่าระบอบวิธีปฏิบัติถูกสร้าง ธำรงอยู่ และท้าทายอย่างไร จึงเป็นเรื่องสำคัญของการวิเคราะห์การปกครองชีวญาณ และการต่อต้านความสัมพันธ์เชิงอำนาจร่วมสมัย
แนวคิดที่เชื่อมโยงกับอำนาจอีกประการคือ “เทคโนโลยีแห่งตัวตน”(technologies of the self) ซึ่งเป็นแนวคิดสำคัญที่ช่วยอธิบายกระบวนการที่ปัจเจกกลายมาเป็นตัวแสดงที่มีศีลธรรมและกำกับตนเองได้ แนวคิดนี้มาจากงานของฟูโกต์เช่นเดียวกัน ซึ่งวิเคราะห์วิธีการที่ผู้คนพัฒนาความสัมพันธ์ต่อตัวเอง ควบคุมตนเอง และกลายเป็นตัวของตัวเองผ่านการฝึกปฏิบัติ การทดสอบ และเทคนิคเชิงจริยธรรมบางอย่าง
เทคโนโลยีแห่งตัวตนเข้ามามีบทบาทสำคัญในการปกครองชีวญาณสมัยใหม่ รัฐและสถาบันต่าง ๆ ใช้เทคนิคเหล่านี้ในการกำหนดรูปแบบของอัตลักษณ์และพฤติกรรมที่เป็นที่ต้องการ เทคโนโลยีแห่งตัวตนไม่ได้ถูกบังคับใช้จากภายนอก แต่ทำงานผ่านกระบวนการนำตนเองด้วยความสมัครใจและกลายเป็นส่วนหนึ่งของจิตสำนึก ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นรูปแบบของอำนาจที่แยบยลและมีประสิทธิภาพสูง หลายตัวอย่างแสดงให้เห็นถึงบทบาทของเทคโนโลยีแห่งตัวตนในสังคมร่วมสมัย
ในด้านสุขภาพ เทคโนโลยีแห่งตัวตน เช่น การให้คำปรึกษา โปรแกรมการจัดการตนเอง และแอปพลิเคชันเพื่อสุขภาพ ส่งเสริมให้ปัจเจกตรวจสอบ เฝ้าระวัง และปรับปรุงสุขภาพของตน สิ่งเหล่านี้ปลูกฝังความรับผิดชอบต่อสุขภาพในระดับปัจเจก กระตุ้นให้ผู้คนยอมรับและแสวงหาการเป็นพลเมืองที่มีสุขภาพดี
ในสถานที่ทำงาน เทคโนโลยีแห่งตัวตน เช่น การประเมินผลงาน การฝึกอบรมการพัฒนาตนเอง และการให้คำปรึกษาอาชีพ ใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพและการจัดระเบียบตนเอง โดยส่งเสริมให้พนักงานพัฒนาทักษะ สร้างแรงจูงใจ และจัดการกับความเครียด สิ่งเหล่านี้ปลูกฝังจริยธรรมในการทำงานและการปรับปรุงตนเอง ทำให้พนักงานรู้สึกรับผิดชอบต่อการพัฒนาความสามารถและผลการปฏิบัติงาน
ในการศึกษา เทคโนโลยีแห่งตัวตน เช่น การเรียนรู้ตลอดชีวิต แฟ้มสะสมผลงาน และการศึกษาแบบกำกับตนเอง ปลูกฝังจริยธรรมของการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง โดยส่งเสริมให้ผู้เรียนรับผิดชอบการเรียนรู้ของตนเอง ประเมินความก้าวหน้า และปรับทักษะของตนเองให้ทันตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงไป
ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นวิธีที่เทคโนโลยีแห่งตัวตนทำงานในระบอบการปกครองชีวญาณ โดยปลูกฝังรูปแบบของการกำกับตนเองที่สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐและสถาบันต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ดีนเตือนว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ก็สามารถนำไปสู่การถูกครอบงำและเอารัดเอาเปรียบได้เช่นกัน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องตรวจสอบเทคโนโลยีแห่งตัวตนอย่างมีวิจารณญาณ ซึ่งรวมถึงพิจารณาว่าสิ่งเหล่านี้ผลิตซ้ำหรือท้าทายความสัมพันธ์เชิงอำนาจอย่างไร โดยการวิเคราะห์แบบนี้ เราสามารถแยกแยะศักยภาพเชิงบวกและลบของเทคโนโลยีแห่งตัวตน ตลอดจนพัฒนากลยุทธ์เพื่อต่อต้านและเปลี่ยนแปลงผลกระทบเชิงอำนาจ
แนวคิดสำคัญอีกเรื่องของดีนที่เชื่อมโยงกับการปกครองชีวญาณคือ แนวคิดการต่อต้านและการต่อต้านการควบคุม (resistance and counter-conduct) โดยดีนเน้นว่าที่ใดมีอำนาจ ที่นั่นย่อมมีการต่อต้าน การต่อต้านไม่ใช่แค่การปฏิเสธอำนาจ แต่เป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ดีนอธิบายว่าการต่อต้านการควบคุมเป็นรูปแบบเฉพาะของการต่อต้านที่มุ่งท้าทายเทคนิคและเป้าหมายการกำกับดูแลพฤติกรรมในระบอบการปกครองชีวญาณ การต่อต้านไม่ใช่การปฏิเสธอำนาจทั้งหมด แต่เป็นการท้าทายรูปแบบเฉพาะของการใช้อำนาจที่มุ่งกำกับควบคุมตัวตนและพฤติกรรม การต่อต้านการควบคุมสามารถอยู่ในรูปแบบของการสร้างวิถีการดำเนินชีวิตทางเลือก การปฏิเสธบรรทัดฐานครอบงำ หรือการเรียกร้องอัตลักษณ์และการแสดงออกรูปแบบใหม่ๆ
หลายตัวอย่างแสดงให้เห็นถึงการต่อต้านการควบคุมในสังคมร่วมสมัย ในด้านสุขภาพ ขบวนการต่อต้านจิตเวช (anti-psychiatry movement) ท้าทายอำนาจทางการแพทย์ในการกำหนดและจัดการกับความผิดปกติทางจิต โดยตั้งคำถามถึงความชอบธรรมของการวินิจฉัยและการรักษา เรียกร้องแนวทางที่เน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง และยืนยันสิทธิในการมีอัตลักษณ์ความหลากหลาย
ในสถานที่ทำงาน การต่อต้านสามารถเห็นได้จากการเรียกร้องคุณค่าใหม่ ๆ นอกเหนือจากประสิทธิภาพและการแข่งขัน ขบวนการสหภาพแรงงานเรียกร้องให้มีการปฏิบัติต่อคนงานอย่างมีศักดิ์ศรีและเป็นธรรม วิพากษ์แนวปฏิบัติการบริหารที่เอารัดเอาเปรียบ นอกจากนี้ยังมีการรณรงค์เพื่อความสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงานและค่านิยมนอกเหนือจากผลกำไร ซึ่งแสดงถึงการปฏิเสธจริยธรรมการทำงานแบบเสรีนิยมใหม่
ในการศึกษา ขบวนการการศึกษาทางเลือกและการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ ท้าทายระบอบการศึกษากระแสหลักที่มุ่งเน้นการทดสอบและการพัฒนาทักษะเพื่อตลาดแรงงาน สิ่งเหล่านี้สนับสนุนรูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลาย ซึ่งเน้นคุณค่าด้านความคิดสร้างสรรค์ การแสดงออก และการพัฒนาตนเอง แทนที่จะเป็นการปฏิบัติตามและการแข่งขัน
ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการต่อต้านการควบคุมสามารถเกิดขึ้นได้ในบริบทต่าง ๆ ในการวิเคราะห์การต่อต้าน ดีนเน้นย้ำความจำเป็นในการพิจารณาอย่างเจาะจงว่าการต่อต้านนั้นเกิดขึ้นต่อต้านการใช้อำนาจในรูปแบบใดและด้วยเป้าหมายใด แทนที่จะประเมินเพียงว่าการต่อต้านนั้น “ดี” หรือ “เลว” โดยการทำความเข้าใจพลวัตเชิงอำนาจที่มีความซับซ้อนซึ่งผลักดันการต่อต้าน เราสามารถประเมินศักยภาพและข้อจำกัดในการสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ดีนเตือนว่าการต่อต้านการควบคุมไม่ได้นำไปสู่การปลดปล่อยโดยอัตโนมัติ มันอาจก่อให้เกิดความสัมพันธ์เชิงอำนาจรูปแบบใหม่ ๆ ขึ้นมา ดังนั้นการวิเคราะห์การต่อต้านจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับผลกระทบเชิงสร้างสรรค์และเชิงทำลายทั้งหมดของมัน นอกจากนี้ การต่อต้านการควบคุมหมายถึงการหาทางเลือกใหม่ ๆ สำหรับการกำกับตนเอง ไม่ใช่การปฏิเสธการกำกับตนเองโดยสิ้นเชิง ดังนั้น สิ่งสำคัญคือต้องไตร่ตรองอย่างใคร่ครวญเกี่ยวกับรูปแบบการกำกับตนเองที่เกิดขึ้นมาใหม่ด้วย
กล่าวโดยสรุป การวิเคราะห์ของดีนเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการเข้าใจพลวัตของอำนาจในสังคมสมัยใหม่ เป็นการเผยให้เห็นถึงความท้าทายในการสร้างคำอธิบายที่เป็นองค์รวมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างความรู้ อำนาจ และการกำหนดตัวตน บางทีแทนที่จะพยายามสร้างทฤษฎีขนาดใหญ่ เราอาจต้องมุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์อย่างเฉพาะเจาะจงและตรวจสอบอย่างรอบคอบยิ่งขึ้นว่า ระบอบวิธีปฏิบัติและเทคโนโลยีแห่งตัวตนทำงานอย่างไรในแต่ละบริบท ทั้งนี้ก็เพื่อให้เราสามารถเข้าใจทั้งรูปแบบการครอบงำและความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนแปลง ท้ายที่สุดแล้ว การสืบสาวความสัมพันธ์ระหว่างการกำหนดตัวตนและการต่อต้านจะช่วยให้เราประเมินคุณูปการของแนวคิดเหล่านี้ได้ดียิ่งขึ้น ทั้งในแง่ของพลังอธิบายและผลกระทบทางการเมืองของมัน