ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ณ เวลานี้ สถานการณ์การเมืองไทยร้อนระอุในหลายเรื่อง
ทั้งเรื่องการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ชุดใหม่ที่เกิดกระแสข่าว “ล้มกระดาน” ที่อาจทำให้การเลือก สว.ไม่เป็นไปตามไทม์ไลน์ และให้ สว.ชุดปัจจุบันรักษาการไปพลางก่อน โดยเฉพาะหลังศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องเพื่อวินิจฉัย 4 มาตราในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) การเลือก สว. ปี 2561 ว่าขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ปี 2560 หรือไม่
ทั้งคิวที่ศาลรัฐธรรมนูญ นัดพิจารณาคดีที่ กกต.ร้องขอให้พิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกล ในวันที่ 12 มิถุนายน67 นี้ กรณีการเสนอนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ช่วงการหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา ซึ่งเห็นได้ชัดว่าพรรคก้าวไกล และองคาพยพ ก็ดูจะ “หวาดหวั่น” กับคำวินิจฉัยที่จะออกมาไม่น้อย
ทั้งคิวที่ศาลรัฐธรรมนูญ เสียงข้างมากมีมติ 6 ต่อ 3 มีคำสั่งรับคำร้อง “40 สว.” ที่ขอให้วินิจฉัยคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของ “นายกฯนิด” เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงจากกรณีแต่งตั้ง “ทนายถุงขนม” พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จนต้องเรียกใช้บริการ “วิษณุ เครืองาม” อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาร่วมงานกับรัฐบาลอีกครั้ง ในฐานะที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย
แต่ท่ามกลางปฏิทินการเมืองที่ไล่เรียงไป กลับมีการมองว่า ทิศทางการเมืองไทยผูกโยงกับการที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้อง “ทักษิณ ชินวัตร” ในคดีความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มากที่สุด ด้วยความที่ “ทักษิณ” ถูกยกให้เป็นศูนย์กลางอำนาจของรัฐบาลปัจจุบัน และยังถูกมองว่าเป็น “คนดีล” กับฝ่ายอำนาจเก่าจนเป็นที่มาของ “รัฐบาลเศรษฐา”
โดยตัว “ทักษิณ” เองก็ “ออกอาการ” เช่นกัน ด้วยก่อนหน้านี้ดูท่าทีมั่นใจเกินเบอร์ ขึ้นเหนือล่องใต้ แบบไม่พัก จู่ๆ มาแจ้งว่าติดโควิด-19 ก่อนถึงวันนัดฟังคำสั่งอัยการสูงสุด เพื่อขอเลื่อนกำหนดการ ไม่ผิดนักหากจะบอกว่า อาการโควิดเป็นเพียงข้ออ้าง เพราะ “ทักษิณ” รู้ “สัญญาณ” ก่อนว่า จะถูกสั่งฟ้อง เพราะอัยการสูงสุดมีคำสั่งตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2567 ก่อนถึงวันนัดหมาย 29 พฤษภาคม 2567 จึงพยายามหาทางหน่วงเวลาไปพลางก่อน
แต่ก็ไม่สำเร็จ เมื่ออัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้อง และนัดหมายวันที่ 18 มิถุนายน 67 เพื่อนำตัว “ทักษิณ” ขึ้นฟ้องต่อศาล ทำให้วันที่ 18 มิถุนายน 2567 จึงมีความสำคัญในปฏิทินการเมืองมากที่สุดในช่วงนี้ก็ว่าได้ เพราะต้องวัดใจ “นายใหญ่เพื่อไทย” ว่า จะกล้าพอที่จะเดินทางเข้าพบ “อัยการ” เพื่อนำตัวส่งฟ้องศาลคดี “มาตรา 112” หรือไม่
ด้วยเมื่อเข้าสู่กระบวนการส่งฟ้องแล้ว จะนำไปสู่ขั้นตอนฝากขัง และยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว
ตรงนี้เองที่ทำให้ “ทักษิณ” ต้องหน่วงเวลาเพื่อเช็ก “สัญญาณ” ให้ชัวร์ว่า จะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว หรือประกันตัวในระหว่างต่อสู้คดี แม้วระยะหลังคดีความผิดมาตรา 112 จะได้รับความเมตตาจากศาลให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างสู้คดี แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ “ดุลพินิจ” ของศาลเช่นกัน
เพื่อความชัวร์จึงต้องใช้เวลาในการเช็ก “ดีล” ว่าติดขัดตรงไหนอย่างไรหรือไม่ จึงนำมาซึ่งคำสั่งฟ้องของอัยการสูงสุด และต้องทำให้ไม่เกิดอาการติดขัดใดๆ ในวันส่งฟ้องต่อศาล
ด้วยรู้ดีว่า หากงวดนี้ถูกนำตัวไปฝากขัง “ทักษิณ” คงต้องนอนค้างในเรือนจำ ไม่สามารถใช้ออปชั่นไปนอน “คุกวีวีไอพี” บนชั้น 14 รพ.ตำรวจ ได้อีก เพราะหลายเดือนที่พักโทษ โชว์ฟิตปั๋งเดินทางทั่วฟ้าเมืองไทย หากอ้างป่วยปางตายแบบเดิม คงฟังไม่ขึ้น
ทำให้ไม่ทันไรก็มีกระแสข่าวว่า “ทักษิณ” หลบหนีออกนอกประเทศไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจนขณะนี้ก็ยังไม่ออกมาแสดงตัวต่อสาธารณะเหมือนก่อนหน้านี้เลย
โดยอาจจะพิเคราะห์เป็นประเด็นการเมืองที่ว่า “ฝ่ายอำนาจเก่า” หรือ “ขั้วอนุรักษ์นิยม” ต้องการกระตุก “ทักษิณ” ที่ค่อนข้างแสดงความ “อหังการ” โดยเฉพาะหลังได้รับการพักโทษออกมา โดยใช้คดีร้ายแรงอย่างมาตรา 112 มาผูกขาไว้ในช่วงหารพิจารณาคดีที่คาดว่ากินเวลาแรมปี หรืออาจจะลากยาวไปจนถึงช่วงเลือกตั้งปี 2570 เลยทีเดียว
ถือเป็นการผูกเสี่ยง ”พรรคเพื่อไทย“ ไว้กับ “ขั้วอนุรักษ์” ไม่ให้เกิดบิดพลิ้วพลิกขั้วอีกรอบไปรวมกับ “พรรคก้าวไกล” ได้
รวมถึงอาจดีลล่วงหน้าไปถึงผลการเชือกตั้งครั้งต่อไป เพื่อล็อก “ทักษิณ-เพื่อไทย” ให้อยู่กับ “ขั้วอนุรักษ์นิยม” จัดตั้งรัฐบาลอีกรอบด้วย
รวมถึงระหว่างทางก็ยังมีคิวสำคัญกับการออก “กฎหมายนิรโทษกรรม” ที่กำลังโม่กันอยู่ในชั้นสภาผู้แทนราษฎร โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาศึกษาแนวทางการตรา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร ที่มี “อาจารย์ชู” ชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน
เรื่องหนึ่งที่ยังไม่ตกผลึกก็คือ “ความผิดมาตรา 112” ที่พรรคก้าวไกลพยายามตีตราว่าเป็น “คดีการเมือง” ต้องนิรโทษกรรมทั้งหมด ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะบรรดาองคาพยพที่เกี่ยวข้องกับพรรคก้าวไกลล้วนแล้วแต่พัวพันในเรื่องนี้ และถูกฟ้องร้องดำเนินคดีเป็นจำนวนไม่น้อยเช่นกัน
ตามข้อมูล “ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน” ที่ได้รวบรวมรายชื่อผู้ถูกดำเนินคดีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2563 จนถึงเดือน พฤษภาคม 2567 มีผู้ถูกดำเนินคดีจากการแสดงออกและการชุมนุมทางการเมืองในข้อหาตามมาตรา 112 แล้วอย่างน้อย 272 คน ใน 303 คดี (ยังไม่รวมคดีนายทักษิณ) ซึ่งโดยมากคดีเกิดขึ้นในช่วงการชุมนุมของ “ม็อบสามนิ้ว” หรือกลุ่มราษฎรเป็นจำนวนมาก โดยแบ่งเป็นพฤติการณ์ปราศรัยในการชุมนุม 59 คดี, คดีการแสดงออกอื่นๆ ที่ไม่ใช่การปราศรัย เช่น การติดป้าย, พิมพ์หนังสือ, แปะสติ๊กเกอร์ เป็นต้น จำนวน 71 คดี, คดีที่เกี่ยวกับการแสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์ จำนวน 166 คดี และไม่ทราบสาเหตุ 7 คดี
โดยมีคดีที่สิ้นสุดแล้วจำนวน 58 คดี คดีที่อยู่ในชั้นศาล จำนวน 172 คดี
รายชื่อผู้ที่ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 หลายคดี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแกนนำม็อบคณะราษฎร มีอาทิ “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ 25 คดี, “ทนายอานนท์” อานนท์ นำภา 14 คดี, “รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล 10 คดี, “ไมค์” ภาณุพงศ์ จาดนอก 9 คดี, “แพรว” เบนจา อะปัญ 8 คดี, ชินวัตร จันทร์กระจ่าง 8 คดี, ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา 6 คดี, พรหมศร วีระธรรมจารี 5 คดี, ชูเกียรติ แสงวงค์ 4 คดี, วรรณวลี ธรรมสัตยา 4 คดี, เกียรติชัย ตั้งภรณ์พรรณ 4 คดี และ “มายด์” ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล 3 คดี
นอกจากนี้ยังมีระดับ “เซเลบฯ” ที่มีคดีมาตรา 112 ติดตัวอยู่ อาทิ “ทราย” อินทิรา เจริญปุระ นักแสดงชื่อดัง, “แอมมี่” ไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ อดีตนักร้องวงบอมทอมบูล, สมยศ พฤกษาเกษมสุข นักเคลื่อนไหวชื่อดัง, “ลูกเกด” ชลธิชา แจ้งเร็ว สส.ปทุมธานี พรรคก้าวไกล ซึ่งเพิ่งถูกตัดสินให้มีความผิด และได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี, “โตโต้” ปิยรัฐ จงเทพ สส.กทม. พรรคก้าวไกล และ “ไอซ์” รัชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคก้าวไกล ก็ถูกพิพากษาลงโทษจำคุก 6 ปี โดยไม่รอลงอาญา อยู่ระหว่างการอุทธรณ์คดี
“ฮาร์ท” สุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล อดีตนักร้องชื่อดัง, ยุกติ มุกดาวิจิตร อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, กลุ่มเยาวชนทะลุแก๊ส-ทะลุวัง เช่น หยก, ใบปอ, ตะวัน เป็นต้น รวมไปถึง “ตัวตึง” อย่าง สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และ ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ที่ลี้ภัยและหลบหนีคดีอยู่ในต่างประเทศด้วย
และที่ลืมไม่ได้ก็คือ “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ที่ตกเป็นจำเลยในคดีหมิ่นสถาบันกษัตริย์จากการเฟซบุ๊กไลฟ์ในหัวข้อ "วัคซีนพระราชทาน ใครได้-ใครเสีย" ด้วย
ตามรายชื่อข้างต้น จึงไม่แปลกที่ พรรคก้าวไกล จะพยายามอย่างสุดลิ่มเพื่อให้มีการนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 แต่ 151 เสียงของพรรคก้าวไกล ยังไม่เพียงพอ ทำให้ 141 เสียงของพรรคเพื่อไทย จึงเป็นตัวชี้ขาดในประเด็นความผิด “มาตรา 112” ให้ได้รับการนิรโทษกรรมด้วยหรือไม่
ส่วนพรรคเพื่อไทยออกไปทาง “แบ่งรับแบ่งสู้” ขณะที่พรรคอื่นๆ ส่วนใหญ่แล้วไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมคดีมาตรานี้แบบหัวเด็ดตีนขาด เพราะไม่ถือเป็นคดีการเมือง
ตามรูปการณ์แล้ว 141 เสียงของพรรคเพื่อไทย จึงเป็นตัวชี้ขาดในประเด็นความผิด “มาตรา 112” ให้ได้รับการนิรโทษกรรมด้วยหรือไม่
พลันที่ “ทักษิณ” ถูกล่ามด้วยคดีมาตรา 112 เช่นนี้ ก็ย่อมมีผลต่อทิศทางของพรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำรัฐบาลอย่างแน่นอน ซึ่งแน่นอนว่า พรรคก้าวไกลย่อมรู้ว่า นั่นคือ “จุดชี้เป็นชี้ตาย” ที่ทำให้ความปรารถนากลายเป็นความจริงได้
“โกต๋อม-ชัยธวัช ตุลาธน” สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ชัดเจนว่า การนิรโทษกรรมมาตรา 112 นั้นเคยเกิดขึ้นมาแล้วในระบบกฎหมายไทย แต่สิ่งที่เป็นประเด็นมากกว่า คือ เมื่อเกิดข้อถกเถียง จะมีข้อเสนออย่างไร เพื่อทำให้เกิดการกระบวนการยอมรับได้เรื่องนิรโทษกรรม
“มีการเสนอแอมเนสตี้โปรแกรม โครงการนิโทษกรรมให้กับคดีบางประเภท ไม่เฉพาะ มาตรา112 เท่านั้น เพราะมีคดีอื่นๆ เช่น คดีทำผิดต่อชีวิตและร่างกาย ซึ่งปกติไม่ควรได้นิรโทษกรรม เพราะถือว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง เช่น กรณีปาระเบิดใส่กลุ่มกปปส. ที่เคยถามตัวแทนแกนนำกปปส.ว่ากรณีดังกล่าวยอมให้อภัยหรือไม่ ซึ่งเขาระบุว่ายอมให้อภัย ดังนั้นการจะได้นิรโทษกรรมอัตโนมัตินั้นไม่เหมาะสม ดังนั้นควรมีกระบวนการ อย่าคิดแต่เฉพาะ มาตรา 112 ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ามีข้อถกเถียงเยอะ แต่การนิรโทษกรรมมาตรา 112 เคยเกิดขึ้นในสังคมอย่ามองไกลว่าขัดมาตรา 6 เพราะเป็นละเรื่อง” นายชัยธวัช กล่าว
หากที่สุดแล้ว พรรคเพื่อไทยเกิดพลิกมาสนับสนุนให้มีการนิรโทษกรรมคดี มาตรา 112 รวมในแพคเกจ ก็จะทำให้กฎหมายนิรโทษกรรมผ่านสภาฯไปได้แบบสบายๆ จากเสียง พรรคเพื่อไทย 141 เสียง พรรคก้าวไกล 151 เสียง รวมเป็น 292 เสียง เกินกึ่งหนึ่งแบบเหลือๆ
ถ้าพรรคเพื่อไทยเลือกเดินทางนั้น ก็เชื่อว่าจะทำให้ “ดีล” ขั้วพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันอาจจะแตกสลายไปด้วย
แต่ต้องถามว่า พรรคเพื่อไทย กล้าหรือไม่ เพราะหากดำเนินไปในรูปการณ์เดิม ก็คงเหมือนเปิดตัวซีรีย์ “สุดซอย Ep.2” ที่คล้ายคลึงกับ ”สุดซอย Ep.1” ที่เคยพยายามทำคลอดกฎหมายนิรโทษกรรมเหมาเข่งรวม “ทักษิณ” จนทำให้ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” พังพาบมาแล้ว
สำคัญที่ “สุดซอย Ep.2” อาจหนักหนาสากรรจ์กว่าด้วยซ้ำ เพราะอาจกลายเป็นหัวเชื้อให้เกิดการชุมนุมลงถนนต่อต้าน ที่เสมือนเป็นการแง้มประตู “สถานการณ์พิเศษ” สมใจ “ฝ่ายอำนาจเก่าบางขั้ว” หรือไม่
ทว่า คงไม่มีใครหยั่งรู้ว่า ในใจของชายชื่อ “ทักษิณ” ดีดลูกคิดคำนวณอย่างไร เพราะก็มีความเป็นไปได้อีกเช่นกันว่า “นายใหญ่” อาจใช้เรื่องนี้เป็นเกมต่อรองในการฟาดฟันพรรคก้าวไกลเพื่อแลกกับการที่เขาจะไม่ต้องติดคุกติดตะรางจากมาตรา 112 ก็เป็นได้