xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เวียงวังหมื่นปี (14) เวียงวังที่เกี่ยวเนื่องด้วยสตรี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 พระที่นั่งสมานศานต์หรือเจียวไท่เตี้ยน (ภาพ : วิกิพีเดีย)
ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล

ถัดจากเฉียนชิงกงหรือวังสวรรค์พิสุทธิ์ก็คือ  พระที่นั่งสมานศานต์หรือเจียวไท่เตี้ยน (Hall of Union and Peace หรือ Hall of Celestial and Terrestrial Union) และวังโลกยศานต์หรือคุนหนิงกง (Palace of Earthly Tranquility)  ในแง่นี้ก็หมายความว่า เจียวไท่เตี้ยนจะตั้งอยู่ตรงกลางโดยมีเฉียนชิงกงกับคุนหนิงกงขนาบอยู่สองข้าง

จะสังเกตได้ว่า ชื่อเจียวไท่เตี้ยนและคุนหนิงกงจะมีความหมายร่วมกันคือ   ศานติหรือสันติภาพ  ที่ถือเป็นเป้าหมายสูงสุดของการปกครอง โดยที่ก่อนหน้านี้ชื่อของประตู พระที่นั่ง หรือวังต่างๆ ที่งานศึกษานี้ได้กล่าวไปแล้วจะมีคำว่า เหอ หรือ บรรสาน เพื่อสื่อถึงความสำคัญของการบรรสาน ซึ่งหากบรรสานได้ดีศานติก็จะบังเกิดแก่โลกและมวลมนุษยชาติ

กล่าวเฉพาะเจียวไท่เตี้ยนนั้น ชื่อนี้ยังมีความหมายที่ลึกซึ้งลงไปอีกคือ การที่ศานติได้บังเกิดก็เนื่องด้วยสวรรค์และโลกได้มาบรรจบกัน เราจึงสังเกตได้อีกว่า การแปลชื่อในภาษาอังกฤษอีกชื่อหนึ่งด้วยคำว่า  Celestial  กับ  Terrestrial  นั้นก็แปลตามนัยนี้

ต่อไปนี้จะกล่าวถึงพระที่นั่งและวังทั้งสองนี้ไปทีละองค์

พระที่นั่งสมานศานต์หรือเจียวไท่เตี้ยนถูกสร้างเป็นอาคารรูปทรงเหลี่ยม มีความยาวและความกว้างห้าห้อง และมีหลังคาชั้นเดียว แต่ที่โดดเด่นคือ บนยอดหลังคาจะมีสำริดกลมประดับอยู่คล้ายกับดวงแก้วเมื่อดูแต่ไกล พระที่นั่งนี้จึงมีรูปทรงคล้ายกับพระที่นั่งพิทักษ์บรรสานหรือเป่าเหอเตี้ยน (Hall of Preserving Harmony) เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่าเท่านั้น

เจียวไท่เตี้ยนเป็นพระที่นั่งที่เหล่าเสนามาตย์จะมารวมตัวกัน เพื่อถวายบังคมแสดงความจงรักภักดีแก่องค์จักรพรรดิเนื่องในวาระต่างๆ เช่น ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของมเหสี หรือวันเกิดของนางสนมหรือนางกำนัลที่เป็นที่โปรดปรานของจักรพรรดิ และเป็นที่ที่เจ้าชายและพระบรมวงศานุวงศ์ถวายความเคารพแก่จักรพรรดินีในวาระต่างๆ อีกด้วย

การถวายบังคมและ/หรือการถวายความเคารพแด่จักรพรรดินีเนื่องในวาระต่างๆ นี้ก็คือ เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ (ตรุษจีน) เทศกาลเหมายัน เป็นต้น หน้าที่ของพระที่นั่งนี้จึงเกี่ยวพันกับสตรีในวังค่อนข้างมาก

 ตราบจน ค.ศ.1746 อันเป็นปีที่ 11 ของจักรพรรดิเฉียนหลงนั้น พระองค์ทรงใช้เจียวไท่เตี้ยนเป็นที่เก็บพระราชลัญจกร 25 องค์ พระราชลัญจกรเหล่านี้มีความสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงอำนาจสูงสุดของจักรพรรดิ โดยพระราชลัญจกรทั้ง 25 องค์นี้จะถูกแยกใช้ไปตามแต่ละหน่วยงาน 

หน่วยงานสำคัญในเวลานั้นคือ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงกิจการชนชาติ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักพระราชวัง เป็นต้น พระราชลัญจกรทั้งหมดนี้จะถูกคุ้มกันโดยทหารอย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันมิให้มีการลักลอบเข้ามาขโมยใช้พระราชลัญจกรไปในทางที่มิชอบ พระราชลัญจกรเหล่านี้จึงมีจักรพรรดิแต่เพียงผู้เดียวที่มีอำนาจในการใช้

นอกจากหน้าที่ดังกล่าวของเจียวไท่เตี้ยนหรือพระที่นั่งสมานศานต์แล้ว ภายในพระที่นั่งยังเป็นที่ตั้งของนาฬิกาขนาดใหญ่อีกด้วย นาฬิกาเรือนนี้มีความสูง 5.8 เมตร สร้างโดยช่างหัตถกรรมประจำพระราชวังเมื่อปี ค.ศ.1798 และยังคงใช้งานได้อยู่แม้ในทุกวันนี้ เมื่อเดินมาถึงเวลาในแต่ละชั่วโมง เสียงของนาฬิกาจะดังขึ้นเพื่อบอกเวลา

กล่าวกันว่า เสียงของนาฬิกายังคงใสสะอาดและก้องกังวานไพเราะอยู่เช่นเดิม

ต่อไปคือ วังโลกยศานต์หรือคุนหนิงกง วังนี้เป็นหนึ่งในสามของสามพระที่นั่งใหญ่ (The Three Great Halls) ดังได้กล่าวไปแล้วในตอนต้นๆ ของงานเขียนชุดนี้ โดยในสมัยหมิงจะถูกใช้เป็นที่ประทับของจักรพรรดินี ครั้นถึงสมัยชิงจึงถูกใช้เป็นสถานที่จัดพิธีอภิเษกสมรสของจักรพรรดิและจักรพรรดินี พิธีจะถูกจัดเป็นเวลาสามวัน หลังจากนั้นจักรพรรดินีก็จะทรงย้ายไปประทับยังที่อื่น

คุนหนิงกงเป็นวังที่มีความสูง 22 เมตร มีความยาวเก้าห้องและกว้างห้าห้อง และมีโครงสร้างคล้ายวังสวรรค์พิสุทธิ์หรือเฉียนชิงกงตรงที่มีหลังคาสองชั้น แต่มีขนาดเล็กกว่า

 กล่าวกันว่า จักรพรรดิและจักรพรรดินีของชิงแทบทุกพระองค์ทรงเชื่อในไสยศาสตร์ในแบบที่ชนชาติแมนจูเชื่อกัน เหตุดังนั้น ราชสำนักชิงจึงใช้ห้องสี่ห้องที่อยู่ด้านตะวันตกของวังนี้เป็นที่สำหรับประกอบพิธีเซ่นไหว้ พิธีที่ว่านี้มีสองวัน โดยวันแรกจะจัดขึ้นในช่วงเช้า วันที่สองจะจัดขึ้นในช่วงเย็น 

นอกจากนี้ ก็ยังถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานเฉลิมฉลองใหญ่ในเทศกาลฤดูใบไม้ผลิหรือตรุษจีน และพิธีตามฤดูกาลต่างๆ ทั้งจักรพรรดิและจักรพรรดินีจะทรงเข้าร่วมในพิธีเหล่านี้โดยตลอด อาหารในพิธีจะมีทั้งคาวและหวาน ซึ่งทั้งจักรพรรดิและบุคคลทุกคนที่อยู่ในงานจะเสวยหรือรับประทานอาหารเหล่านี้ร่วมกัน

ในบันทึกเกี่ยวกับอาหารในงานดังกล่าวเล่าว่า ในวันที่มีการทำพิธีเซ่นไหว้นั้น เครื่องเซ่นหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ก็คือ หมู โดยหากเป็นพิธีปกติ หมูที่ถูกนำมาเซ่นไหว้จะมีสี่ตัว แต่หากเป็นพิธีสำคัญแล้วจะมี 39 ตัว เล่ากันว่า ตั้งแต่ที่มีการใช้ (เนื้อ) สัตว์มาเป็นเครื่องเซ่นไหว้นั้น ได้ทำให้เหล่าขันทีอดไม่ได้ที่จะแอบขโมยเนื้อสัตว์เหล่านี้ (ที่มีอยู่มาก) ไปขายในตัวเมือง

ส่วนที่ว่าวังนี้ถูกใช้เป็นที่ประกอบพิธีอภิเษกสมรสของจักรพรรดิกับจักรพรรดินีนั้น ห้องที่ใช้คือสองห้องที่อยู่ด้านตะวันออกของตัววัง ด้วยเหตุที่ถูกใช้ในงานมงคล ห้องนี้จึงถูกทาด้วยสีแดง และบนเพดานห้องยังได้แขวนโคมแดงที่มีอักษรจีนที่มีความหมายว่า สุขคู่ (ซวงสี่, 囍, double happiness) ประดับเอาไว้อีกด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น ผนังในฝั่งที่อยู่ตรงข้ามกับประตูทางเข้าก็ยังมีฉากขนาดใหญ่ตั้งอยู่อีกด้วย ฉากนี้ถูกทาเป็นสีแดงเช่นกัน ตรงกลางฉากจะมีตัวอักษร  “สุขคู่”  ที่เขียนด้วยสีทอง การตั้งฉากไว้เช่นนี้ก็เพื่อที่ว่าเมื่อจักรพรรดิหรือจักรพรรดินีเปิดประตูเข้ามาแล้ว สิ่งแรกที่พบก็คือ อักษรสองตัวนี้ เพื่อสื่อว่าพอเปิดประตูเข้ามาแล้วก็จะพบเห็น  “ความสุข”  ก่อนเป็นอันดับแรก

นอกจากฉากดังกล่าวแล้วก็ยังมีผ้าคลุมเตียงอีกหนึ่งผืนแขวนประดับในห้องนี้ด้วย ผ้าผืนนี้มีชื่อเรียกเฉพาะด้วยว่า “ผ้าคลุมร้อยกุมาร” (ไป๋จื่อถูจั้ง)  ถ้าสื่อความหมายอย่างไทยก็คงประมาณได้ว่า มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง แต่ก็ควรกล่าวด้วยว่า กุมารในภาพนี้คือกุมารจริงๆ ไม่ใช่กุมารี

ภาพนี้จึงสะท้อนทัศนคติที่เห็นว่าชายเป็นใหญ่โดยแท้

 จักรพรรดิในสมัยชิงที่ทรงใช้ห้องนี้ในการอภิเษกสมรสในขณะที่ยังทรงพระเยาว์นั้นมีอยู่สามพระองค์คือ จักรพรรดิคังซี จักรพรรดิถงจื้อ (ครองราชย์ ค.ศ.1861-1875) และจักรพรรดิกวางซี่ว์ (ครองราชย์ ค.ศ.1875-1908) จักรพรรดิที่เหลือนอกนั้นล้วนอภิเษกสมรสก่อนขึ้นครองราชย์ พิธีจึงมิได้ถูกจัดขึ้นอย่างหรูหราดังจักรพรรดิสามพระองค์ที่เอ่ยพระนามมา 

เมื่อเป็นเช่นนี้จักรพรรดิในกลุ่มนี้จึงต้องแต่งตั้งพระชายาขึ้นเป็นจักรพรรดินีแทน โดยไม่มีพิธีอภิเษกสมรสที่หรูหราใดๆ ทั้งสิ้น


กำลังโหลดความคิดเห็น