xs
xsm
sm
md
lg

อำนาจในมุมมองนักปราชญ์ 31 : โนอัม ชอมสกี้ อำนาจสื่อ การโฆษณาชวนเชื่อ และการต่อต้าน / Phichai Ratnatilaka Na Bhuket

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 โนอัม ชอมสกี้ (ภาพ : วิกิพีเดีย)
"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

 นักปราชญ์ที่กล่าวถึงเรื่องอำนาจ โดยเฉพาะอำนาจของสื่อที่สำคัญอีกคนคือ โนอัม ชอมสกี้ (Noam Chomsky) เขาเกิดในปี 1928 ปัจจุบันมีอายุ 95 ปี ชอมสกี้มีความรอบรู้ในหลายสาขาทั้ง ปรัชญา ภาษาศาสตร์ ประชานศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์การรับรู้ และประวัติศาสตร์ นอกจากเป็นนักวิชาการแล้ว เขายังเป็นนักวิจารณ์สังคมที่แหลมคม และเป็นนักกิจกรรมทางการเมืองที่มีชื่อเสียง ผลงานของเขามีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อหลากหลายสาขาวิชา รวมถึงภาษาศาสตร์ ปรัชญา วิทยาศาสตร์การรับรู้ และความคิดทางการเมือง และชอมสกี้ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับแนวคิดเรื่องอำนาจและวิธีที่อำนาจกำหนดรูปแบบสังคม


ชอมสกี้ตื่นตัวทางการเมืองในช่วงวัยรุ่นเมื่อเขาตระหนักถึงการเกิดขึ้นของลัทธิฟาสซิสต์ในยุโรปและสงครามกลางเมืองสเปน นับตั้งแต่นั้นมา เขาวิพากษ์วิจารณ์การใช้อำนาจในทางที่ผิดโดยรัฐบาลและบรรษัท โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ในผลงานด้านภาษาศาสตร์ ชอมสกี้อธิบายว่าความสามารถในการเรียนรู้และใช้ภาษาเป็นความสามารถที่มีมาแต่กำเนิดของมนุษย์ ซึ่งท้าทายมุมมองแบบพฤติกรรมนิยมที่มีอยู่เดิมเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษา ทฤษฎีไวยากรณ์ปริวรรตของเขาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสาขาวิชาภาษาศาสตร์และมีนัยยะกว้างไกลต่อความเข้าใจของเราเกี่ยวกับจิตใจมนุษย์

อย่างไรก็ตาม งานเขียนทางการเมืองของชอมสกี้มุ่งเน้นไปที่วิธีที่อำนาจกระจุกตัวและใช้ในสังคม ชอมสกี้พัฒนาตัวแบบโฆษณาชวนเชื่อ (the propaganda model) ซึ่งอธิบายว่าสื่อมวลชนในสังคมประชาธิปไตยทำหน้าที่ระดมการสนับสนุนของสาธารณชนเพื่อผลประโยชน์ของชนชั้นนำ ตัวแบบนี้เน้นตัวกรองห้าประการที่กำหนดรูปแบบเนื้อหาสื่อ ได้แก่ ความเป็นเจ้าของ การโฆษณา แหล่งข่าว แรงกดดัน และการยึดอุดมการณ์หลัก

ยิ่งกว่านั้น ชอมสกี้วิจารณ์นโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง โดยระบุว่ามักถูกขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจมากกว่าหลักการประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน เขาเขียนงานจำนวนมากเกี่ยวกับสงครามเวียดนาม สงครามอิรัก และความขัดแย้งอื่น ๆ รวมทั้งบทบาทของสหรัฐฯ ในการสนับสนุนระบอบการปกครองที่กดขี่ในละตินอเมริกาและที่อื่น ๆ นอกเหนือจากการวิพากษ์วิจารณ์อำนาจรัฐแล้ว ชอมสกี้ยังวิพากษ์อำนาจของบรรษัทอย่างดุเดือด เขาชี้ว่าการกระจุกตัวของความมั่งคั่งและอำนาจในมือของบรรษัทไม่กี่แห่งบ่อนทำลายประชาธิปไตยและนำไปสู่ความไม่เท่าเทียมและการขูดรีดอย่างแพร่หลาย

แม้จะวิพากษ์อำนาจ แต่ชอมสกี้ยังคงมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับศักยภาพของขบวนการระดับรากหญ้าในการสร้างการเปลี่ยนแปลง เขาสนับสนุนการเคลื่อนไหวและการใช้อารยะขัดขืนในรูปแบบต่าง ๆ และเน้นย้ำความสำคัญของสื่ออิสระและการวิพากษ์วิจารณ์ทางปัญญาในการท้าทายเรื่องเล่าหลัก ตลอดชีวิตและผลงานของโนอัม ชอมสกี้ เขาเป็นผู้สนับสนุนความยุติธรรมทางสังคมและวิจารณ์การใช้อำนาจในทางที่ผิดอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ข้อคิดเห็นของเขาเกี่ยวกับธรรมชาติของอำนาจและผลกระทบต่อสังคมยังคงสร้างแรงบันดาลใจและให้ข้อมูลแก่นักกิจกรรม นักวิชาการ และพลเมืองทั่วโลกต่อไป

ในการวิเคราะห์ของชอมสกี้ อำนาจในสังคมมักกระจุกตัวอยู่ในสองขอบเขตหลัก ได้แก่ อำนาจรัฐและอำนาจบรรษัท รูปแบบอำนาจทั้งสองมักมีความเกี่ยวพันและเสริมกันและกัน สร้างระบบการควบคุมและอิทธิพลที่ซับซ้อน

อำนาจรัฐหมายถึงอำนาจที่ใช้โดยสถาบันของรัฐ รวมถึงฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ อำนาจนี้ใช้ผ่านวิธีการต่าง ๆ เช่น การออกและบังคับใช้กฎหมาย การกำหนดนโยบาย และการควบคุมกลไกของรัฐ กลไกรัฐสำคัญในการใช้อำนาจเหล่านี้ได้แก่ คณะรัฐมนตรี รัฐสภา ศาล กองทัพ ตำรวจ และระบบราชการ ซึ่งมีหน้าที่ตัดสินใจ ออกกฎหมาย และนำนโยบายไปปฏิบัติ ซึ่งส่งผลต่อชีวิตของพลเมือง

ด้านอำนาจของบรรษัท หมายถึง อำนาจที่ใช้โดยบรรษัทขนาดใหญ่ซึ่งมักเป็นบรรษัทข้ามชาติที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม บรรษัทข้ามชาติดำเนินธุรกิจในหลายประเทศ มีทรัพยากรมหาศาลและสามารถใช้อิทธิพลอย่างมากต่อรัฐบาลและองค์กรระหว่างประเทศเพื่อสร้างเงื่อนไขที่เอื้อต่อธุรกิจของตน สถาบันการเงินทั้งธนาคาร บริษัทเงินทุน และสถาบันการเงินอื่น ๆ ก็มีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจโลกและมีอิทธิพลต่อนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชาติต่าง ๆ โดยการให้หรือระงับเงินทุนสำหรับโครงการต่าง ๆ และกำหนดทิศทางโดยรวมของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเหล่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น การเข้าถึงระดับโลกของบรรษัทข้ามชาติและสถาบันการเงินหมายความว่าพวกเขามักดำเนินการได้โดยไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐใดรัฐหนึ่ง สิ่งนี้สามารถนำไปสู่ “การแข่งขันสู่ระดับรากฐาน” ซึ่งรัฐต่างแข่งขันกันเพื่อให้เงื่อนไขที่เอื้อต่อการลงทุนของบริษัทมากที่สุด มักเป็นการแข่งขันที่แลกมาด้วยสิทธิด้านแรงงาน การปกป้องสิ่งแวดล้อม และสินค้าสาธารณะอื่น ๆ

  บรรษัทที่สำคัญอีกกลุ่มหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อผู้คนจำนวนมหาศาลคือกลุ่มบริษัทสื่อที่เป็นบริษัทสื่อขนาดใหญ่ ซึ่งมักมีการถือครองข้ามสื่อต่าง ๆ (โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ สื่อออนไลน์) บริษัทสื่อเหล่านี้มีอำนาจในการกำหนดความคิดเห็นของสาธารณชน กำหนดวาระสำหรับการพูดคุยของสาธารณชน และมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจทางการเมือง ชอมสกี้อธิบายว่าการกระจุกตัวของอำนาจในสถาบันเหล่านี้ และความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างอำนาจรัฐและอำนาจของบรรษัท มีนัยยะสำคัญต่อประชาธิปไตย เมื่อผลประโยชน์ของรัฐและบรรษัทตรงกัน พวกเขาสามารถร่วมมือกันเพื่อรักษาสถานะเดิมและปราบปรามการท้าทายต่ออำนาจของพวกเขา ด้วยการลดความสำคัญของเสียงบางเสียง การจำกัดการถกเถียงของสาธารณชน และการบั่นทอนสถาบันประชาธิปไตย

ชอมสกี้ระบุว่าสื่อมวลชนไม่ใช่แหล่งข้อมูลที่เป็นกลางหรือนำเสนอข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านแต่อย่างใด แต่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดรูปแบบความคิดเห็นของสาธารณชน และผลิตสร้างความจริงเชิงการโน้มน้าวเพื่อให้สาธารณชนเกิดความยินยอมหรือเห็นชอบต่อนโยบายและการกระทำของผู้มีอำนาจ

ชอมสกี้ได้สร้างแบบจำลอง “โฆษณาชวนเชื่อ” ของสื่อขึ้นมา โดยแบบจำลองนี้บ่งชี้ว่าสื่อทำหน้าที่ระดมการสนับสนุนให้กับกลุ่มผลประโยชน์พิเศษที่ครอบงำกิจกรรมของรัฐและเอกชน และทำให้เราวิเคราะห์และเข้าใจได้ว่าในการที่สื่อใดเลือกนำเสนอบางประเด็น เน้นย้ำประเด็นบาง และละเว้นไม่เอ่ยถึงบางประเด็น ของสื่อได้ สื่อนั้นมีวัตถุประสงค์อะไรและรับใช้ใคร

แบบจำลองโฆษณาชวนเชื่อมีตัวกรอง (filters) ห้าประการที่กำหนดรูปแบบเนื้อหาของสื่อ ได้แก่ ความเป็นเจ้าของ การโฆษณา แหล่งข่าว แรงกดดัน และอุดมการณ์

 1. ความเป็นเจ้าของ
สื่อส่วนใหญ่ถูกควบคุมโดยบรรษัทขนาดใหญ่ที่แสวงหากำไร ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วทำให้เนื้อหาของพวกเขามีอคติ และความเป็นเจ้ากระจุกตัวอยู่ในมือของบรรษัทขนาดใหญ่เพียงไม่กี่แห่ง ก็อาจนำไปสู่การลดทอนมุมมองเชิงตรวจสอบและวิพากษ์ และมีแนวโน้มปกป้องผลประโยชน์ของบรรษัท เช่น หากบริษัทสื่อเป็นเจ้าของโดยผู้รับเหมาที่รับงานจากกองทัพ อาจมีแนวโน้มที่จะไม่เผยแพร่เรื่องราวที่วิพากษ์วิจารณ์การใช้จ่ายหรือการแทรกแซงการเมืองของทหาร

 2. การโฆษณา

สื่อส่วนใหญ่พึ่งพารายได้จากการโฆษณาในการดำเนินงาน นี่หมายความว่าพวกเขามีแรงจูงใจที่จะผลิตเนื้อหาที่เอื้อต่อผู้ลงโฆษณาของตน ผู้ลงโฆษณาอาจกดดันสื่อโดยตรงหรือโดยอ้อมให้หลีกเลี่ยงหัวข้อหรือมุมมองบางอย่างที่อาจเป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ทางธุรกิจของพวกเขา สื่อส่วนใหญ่มักเกรงใจและมักไม่นำเสนอข่าวที่สร้างความระคายเคืองหรือความขุ่นเคืองแก่ผู้ลงโฆษณา และมักนำเสนอเนื้อหาที่เป็นมิตรกับผู้ลงโฆษณา ตัวอย่างเช่น สำนักข่าวที่พึ่งพารายได้จากการโฆษณาจากอุตสาหกรรมน้ำมันอาจลังเลที่จะรายงานผลกระทบเชิงลบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือการสนับสนุนนโยบายพลังงานหมุนเวียน

  3. แหล่งข่าว

การนำเสนอข่าวของสื่อขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ได้รับจากรัฐบาล ธุรกิจ และ “ผู้เชี่ยวชาญ” ที่ได้รับเงินทุนและได้รับการรับรองจากแหล่งข้อมูลหลักและตัวแทนของอำนาจเหล่านี้ ผู้เชี่ยวชาญที่ถูกอ้างถึงในสื่อมักเป็นผู้ที่มีความเชื่อมโยงกับสถาบันที่มีอำนาจ เช่น คลังสมองที่ได้รับเงินทุนจากผลประโยชน์ของเอกชน ซึ่งอาจบิดเบือนมุมมองที่นำเสนอ หรือกรณีเจ้าหน้าที่รัฐบาลที่มักเป็นแหล่งข่าวหลักสำหรับข่าวการเมือง หากนักข่าววิพากษ์วิจารณ์หน่วยงานที่แหล่งข่าวสังกัดมากเกินไป ก็อาจสูญเสียการเข้าถึงแหล่งข่าวที่ไม่เป็นทางการ และทำให้พวกเขาได้แต่เพียงเฉพาะข้อมูลที่เป็นทางการเท่านั้น

 4. แรงกดดัน

สื่อต้องเผชิญกับการคุกคามของแรงกดดัน หรือปฏิกิริยาเชิงลบต่อข่าวหรือรายการที่นำเสนอ ซึ่งเป็นแรงกดดันที่สามารถทำให้สื่อต้องเซ็นเซอร์ตัวเอง และหลีกเลี่ยงนำเสนอหัวข้อหรือมุมมองบางเรื่องที่อาจทำให้ตนเองมีความเสี่ยงในการสูญเสียความนิยม หรือต้องเสียค่าใช้จ่ายจากการถูกฟ้องหมิ่นประมาท เช่น หากสื่อเผยแพร่เรื่องราวที่วิจารณ์บรรษัทที่ทรงอำนาจ บรรษัทนั้นอาจขู่ว่าจะดำเนินการทางกฎหมาย หรือฟ้องหมิ่นประมาทเรียกค่าเสียหาย ถอนการโฆษณา หรืออาจใช้การประชาสัมพันธ์ตอบโต้และต่อต้านสื่อนั้นได้

 5. อุดมการณ์หลัก

สื่อที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ทางการเมืองใดอย่างแรงกล้า อาจเลือกนำเสนอข่าวและความเห็นที่สอดคล้องกับอุดมการณ์ของตน รวมทั้งละเลย ลดความสำคัญ หรือกีดกันมุมมองของอุดมการณ์อื่น ๆ เช่น ในช่วงสงครามเย็น สื่อสหรัฐฯ มักนำเสนอข่าวเกี่ยวกับประเทศและผู้นำคอมมิวนิสต์ในแง่ลบอย่างเป็นเอกภาพ ในขณะที่ลดทอนหรือมองข้ามความผิดพลาดของพันธมิตรฝ่ายทุนนิยม

ตัวกรองเหล่านี้มีปฏิสัมพันธ์และเสริมซึ่งกันและกัน ทำงานในลักษณะที่ละเอียดอ่อน มักจะกำหนดรูปแบบการตัดสินใจของนักข่าวและบรรณาธิการโดยไม่รู้ตัว เป็นการสร้างความคิดอย่างระบบที่เป็นมิตรกับผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจ และนำไปสู่สถานการณ์ที่สื่อทำหน้าที่ปกป้องวาระทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของกลุ่มอภิสิทธิ์ชนที่ครอบงำสังคม

นอกเหนือจากตัวกรองเหล่านี้ ชอมสกี้ยังชี้ให้เห็นว่า การพึ่งพาแหล่งข้อมูลระดับสูงของสื่อ การหลีกเลี่ยงการนำเสนอหัวข้อที่อ่อนไหว แนวโน้มที่จะกำหนดกรอบประเด็นต่าง ๆ ในแง่แคบ และท่วงทำนองที่เป็นมิตรกับชนชั้นนำ เป็นหลักฐานเพิ่มเติมที่บ่งชี้ถึงบทบาทของสื่อในการรักษาโครงสร้างอำนาจเดิมเอาไว้

 ด้วยกลไกเหล่านี้ ชอมสกี้สรุปว่าสื่อทำหน้าที่ผลิตข่าวสารเชิงการโน้มน้าวที่นำไปสู่ความยินยอมต่อนโยบายและการกระทำของผู้มีอำนาจ ในขณะเดียวกันก็ลดความสำคัญหรือเพิกเฉยต่อมุมมองทางเลือก สิ่งนี้มีนัยลึกซึ้งต่อประชาธิปไตย เนื่องจากหมายความว่าการถกเถียงของสาธารณะถูกจำกัดอยู่ในขอบเขตที่แคบซึ่งเป็นที่ยอมรับของผู้มีอำนาจเท่านั้น

ในขณะที่การกระจุกตัวของอำนาจในมือของรัฐและบรรษัทสามารถส่งผลเสียต่อประชาธิปไตยและความยุติธรรมทางสังคม ก็ยังมีรูปแบบของการต่อต้านอำนาจที่สำคัญหลายรูปแบบที่ดำเนินการในระดับต่าง ๆ ตั้งแต่การเคลื่อนไหวระดับรากหญ้าไปจนถึงการวิพากษ์วิจารณ์ทางปัญญา

ประการแรก ขบวนการรากหญ้า ซึ่งก่อตัวขึ้นโดยพลเมืองธรรมดาที่รวมตัวกันเพื่อสนับสนุนการต่อสู้เพื่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือต่อต้านนโยบายที่พวกเขาเห็นว่าไม่เป็นธรรม ขบวนการเหล่านี้มีรูปแบบหลากหลาย ตั้งแต่องค์กรชุมชนท้องถิ่นไปจนถึงการประท้วงและการชุมนุมขนาดใหญ่ การเคลื่อนไหวของขบวนการรากหญ้าเกี่ยวข้องกับการดำเนินการเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจ หรือสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีกลยุทธ์ต่าง ๆ เช่น การคว่ำบาตร การนัดหยุดงาน การนั่งประท้วง และรูปแบบอื่น ๆที่เป็นการต่อต้านโดยไม่ใช้ความรุนแรง ชอมสกี้มองว่าการเคลื่อนไหวรากหญ้ามีความสำคัญต่อการตรวจสอบอำนาจและสร้างการเปลี่ยนแปลงจากระดับล่างขึ้นบน

 ประการที่สอง การใช้อารยะขัดขืน  ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับการตั้งใจกระทำในการละเมิดกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมและยอมรับผลที่ตามมา เป้าหมายของอารยะขัดขืนคือการเน้นย้ำให้เห็นถึงความไม่ยุติธรรมของกฎหมายบางอย่างและกดดันให้ผู้มีอำนาจเปลี่ยนแปลงกฎหมายนั้น ตัวอย่างในประวัติศาสตร์ที่เห็นได้ชัดคือ ขบวนการสิทธิพลเมืองในสหรัฐอเมริกา ที่นักกิจกรรมละเมิดกฎหมายการแบ่งแยกสีผิวอย่างจงใจ ชอมสกี้เสนอว่าอารยะขัดขืนเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการต่อต้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการแสดงความไม่เห็นด้วยในรูปแบบอื่น ๆ ถูกปราบปราม

 ประการที่สาม การสร้างสื่ออิสระและแหล่งข่าวทางเลือก  ชอมสกี้วิพากษ์สื่อกระแสหลักว่าอยู่ภายใต้อิทธิพลของตัวกรองในแบบจำลองโฆษณาชวนเชื่อ เขาจึงมองว่าสื่ออิสระและแหล่งข่าวทางเลือกมีความสำคัญในการให้มุมมองที่แตกต่าง สื่อเหล่านี้ไม่แสวงหากำไรและมีเงินสนับสนุนจากสมาชิกหรือผู้บริจาค พวกเขาจึงไม่ถูกกำหนดกรอบโดยเจ้าของบรรษัท ไม่มีแรงกดดันจากการโฆษณา และมีอิสระในการเผยแพร่ข่าวสาร ความคิดเห็นเชิงวิพากษ์ และการทำข่าวเชิงสืบสวนเรื่องราวที่ท้าทายผู้มีอำนาจ

 ประการที่สี่ การวิพากษ์วิจารณ์ทางปัญญาและการวิเคราะห์ทางวิชาการ ชอมสกี้ในฐานะปัญญาชนสาธารณะ เห็นบทบาทสำคัญของการวิพากษ์วิจารณ์ทางปัญญาและการวิเคราะห์ทางวิชาการในการท้าทายเรื่องเล่าหลักและเปิดโปงการทำงานของอำนาจ ปัญญาชนมีทักษะและกรอบความคิดในการวิเคราะห์ระบบสังคม การเมือง และเศรษฐกิจอย่างมีวิจารณญาณ พวกเขาสามารถวิเคราะห์บริบททางประวัติศาสตร์ เปิดเผยความเชื่อและฐานคติที่ซ่อนเร้นอยู่ และเสนอวิสัยทัศน์ทางเลือก นอกเหนือจากปัญญาชนในฐานะปัจเจกบุคคล บทบาทของสถาบันทางวิชาการที่มีความเป็นอิสระและมีความกล้าหาญทางจริยธรรมก็มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างเวทีสำหรับการอภิปราย การถกเถียงและการวิพากษ์วิจารณ์อย่างเข้มข้นต่อประเด็นต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อสังคม

 ในทัศนะของชอมสกี้ รูปแบบการต่อต้านเหล่านี้มีความสำคัญต่อสุขภาพของประชาธิปไตย เพราะเป็นการให้น้ำหนักถ่วงดุลกับการกระจุกตัวของอำนาจ เปิดโปงความไม่ยุติธรรม และเปิดพื้นที่ให้กับมุมมองและการถกเถียงทางเลือก อย่างไรก็ตาม ชอมสกี้ตระหนักดีว่าการต่อต้านอำนาจมักเผชิญกับอุปสรรคที่สำคัญ ตั้งแต่การปราบปรามโดยตรงไปจนถึงการทำงานที่แยบยลของแบบจำลองโฆษณาชวนเชื่อ ดังนั้น เขาจึงมองว่า การต่อสู้เพื่อความยุติธรรมทางสังคมและประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องและต้องอาศัยความมุ่งมั่นและความพยายามอย่างยาวนาน


กำลังโหลดความคิดเห็น