xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“แม้ว” สะดุด “นายกฯ นิด-เพื่อไทย” สะเทือนหนัก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - สะเทือนไปทั้ง “ซุ้มจันทร์ส่องหล้า” ที่ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาเจอมรสุมซัดใส่แบบรัวๆ เปลี่ยนเอาบรรยากาศแช่มชื่นตลอดกว่า 8 เดือนที่ผ่านมา กลับตาลปัตร ชนิดจากหน้ามือเป็นหลังเท้ากันเลยทีเดียว

ตั้งแต่ที่ ”นายกฯนิด” เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ถูกลากเข้าลานประหาร 40 สว.ส่งคำร้องให้ ศาลรัฐธรรมนูญ วินิฉัยกรณีแต่งตั้ง “ทนายถุงขนม” พิชิต ชื่นบาน เป็น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่มีคุณสมบัติต้องห้าม จนหวิดตำแหน่งหลุดกลางอากาศ จนถึงกรณีที่ “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ นักโทษชายเด็ดขาดที่อยู่ระหว่างการพักโทษ ถูกอัยการสูงสุดสั่งฟ้องในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

กลายเป็นสัญญาณแปร่งๆ ที่ถูกพิเคราะห์ว่า “ดีล” ที่เคยทำให้ “นายใหญ่” เคลื่อนไหวทางการเมืองด้วย “ความอหังการ” ตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาโดยไม่ยี่หระต่อหน้าอินทร์หน้าพรหมและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ชักจะมีปัญหาเสียแล้ว

และยังมีประเด็นน่าสนใจ เมื่อผลโพล “พระปกเกล้า” ที่เช็กเรตติ้งการเมืองหลังครบ 1 ปีเลือกตั้ง 22 พฤษภาคม 2566 ปรากฏเรตติ้งของพรรคเพื่อไทย” ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาลอยู่ในเวลานี้ไม่เพียงไม่กระเตื้อง ยังสาละวันเตี้ยลง แบบที่เลือกตั้งวันนี้พรุ่งนี้ไม่มีมุมให้กลับมาชนะ “พรรคก้าวไกล” ได้

และแน่นอนว่า เหตุและผลที่เกิดขึ้น ล้วนแล้วแต่พุ่งเป้าไปที่ “ทักษิณ” ที่สถาปนาตัวเป็นศูนย์กลางอำนาจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยมีการคาดการณ์ล่วงหน้าแล้วว่า การที่ “นายใหญ่ชินวัตร” ออกอาการว่า มีอำนาจเหนือรัฐบาลนั้น จะเป็น “ตัวฉุด” มากกว่า “ตัวช่วย”
ไม่ต้องอื่นไกล กรณีแต่งตั้ง “พิชิต” ที่นำคราวซวยมาถึง “เศรษฐา” นั้น ทุกฝักฝ่ายภายใน-ภายนอก พรรคเพื่อไทย ต่างรู้ดีว่า การดันทุรังใส่ชื่อ “พิชิต” ที่มีสมญา “ทนายตระกูลชินวัตร” มาเป็นรัฐมนตรีนั้น ไม่ใช่ความต้องการของ “เศรษฐา” กลับกลายพยายามหลีกเลี่ยงเพราะไม่อยากมีปัญหาด้วยซ้ำ

เดิมทีชื่อ “พิชิต” ลอยมาตั้งแต่การตั้งคณะรัฐมนตรีเศรษฐา 1 แล้ว แต่ “นายกฯ ตัวจริง” ก็ดึงเรื่องให้มีการตรวจสอบคุณสมบัติ จนไม่ทันการนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ในครั้งนั้น พอมีการปรับคณะรัฐมนตรี จึงมีการยัดชื่อเข้ามาอีกครั้ง

ว่ากันว่า “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายดรัฐมนตรีที่หลบหนีโทษจำคุกอยู่ในต่างแดน เป็นผู้ที่ผลักดัน “พิชิต” อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู นำมาซึ่งปัญหาที่ยังไม่รู้จะออกห้วหรือก้อย

โดยแม้ว่า ศาลรัฐธรรมนูญ จะไม่มีคำสั่งให้ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ด้วยเสียงเฉียดฉิว 5 ต่อ 4 เสียง แต่ได้ขีดเส้นตายให้ “เศรษฐา” ในฐานะผู้ถูกร้องที่ 1 ต้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหากลับมายังศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง ซึ่งครบกำหนดในวันที่ 7 มิถุนายน 2567 หากไม่มีการขอขยายเวลาออกไป

กลายเป็นประเด็นปัญหาที่ทำให้ “เศรษฐา” ออกอาการว้าวุ่นใจ รับโดยดุษฎีว่า มีความกังวล และเร่งหารือกับทีมงานฝ่ายกฎหมาย เพื่อเตรียมจัดทำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาเพื่อต่อสู้คดีทันทีที่เสร็จจากภารกิจเดินทางเยือนต่างประเทศนาน 10 วัน

เศรษฐา ทวีสิน

 ทักษิณ ชินวัตร
เป็นที่มาขอการเข้าไปขอคำแนะนำ รวมถึงทาบทาม “กระบี่มือ 1” ด้านกฎหมายประเทศไทยอย่าง “วิษณุ เครืองาม” อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยมีคำสั่งแต่งตั้งให้เป็น “ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี” ซึ่งแน่นอนว่าต้องการใช้บริการ “วิษณุ” ที่เคยได้รับสมญา “บิดาแห่งการยกเว้น” ให้มาสู้คดีในชั้นศาลรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ยังหวังใช้บริการกลั่นกรองประเด็นข้อกฎหมายต่างๆให้กับรัฐบาลด้วย ด้วยไม่ต้องการให้เกิดความเสี่ยงเฉกเช่นกรณี “พิชิต” อีก

“วิษณุ” ฉายเบื้องหลังว่า “เศรษฐา” ต่อสายหาตั้งแต่ที่ยังติดภารกิจในต่างประเทศ พร้อมกับเดินทางไปพบที่บ้านพักทันทีที่กลับถึงประเทศไทย โดยเสนอให้มารับตำแหน่ง “รองนายกรัฐมนตรี” แต่ก็ได้ปฏิเสธไป เพราะมีปัญหาเรื่องสุขภาพ รวมถึงติดภารกิจด้านอื่น

และเดิมทีจะมีการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) แต่ติดตรงที่ไม่มีอำนาจในการเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี ที่เป็นประเด็นสำคัญ จึงยกชั้นขึ้นเป็น “ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี” ที่แม้จะไม่ได้เป็นข้าราชการการเมือง แต่ก็มีการมิบอำนาจให้แทบจะไม่ต่างจากรองนทยกรัฐมนตรีด้านกฎหมายเลย

ถือว่า “เศรษฐา” เข้าตาจนแบบสุดขีด ถึงกับต้องเรียกใช้ “ยาสามัญประจำรัฐบาล” อย่าง “วิษณุ” ที่แต่เดิมถือว่ามีแนวทาง-แนวคิดการเมือง คนละขั้ว ไม่นานมานี้ “เศรษฐา” ยังเคยตอกหน้าตรงๆ ว่า “ไม่มียางอาย” กับความเห็นของ “วิษณุ” เกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐลาลเสียงข้างน้อย

มาวันนี้ “เศรษฐา” ก็ยอมรับว่าเคยมีแนวทางที่ไม่ตรงกัน แต่ที่ใช้คำรุนแรงนั้นเป็นการแสดงต่อ “ความเห็น” หาใช่ “ตัวบุคคล”

อย่างไรก็ดีการที่รัฐบาลดึง “วิษณุ” เจ้าของฉายา “เนติบริกร” กลับมาช่วยงานที่ทำเนียบรัฐบาลอีกครั้งก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง โดยเฉพาะใน พรรคเพื่อไทย ส่วนใหญ่ก็แสดงความไม่เห็นด้วย เพราะเคยต่อกรกับ “เนติบริกร” ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มาอย่างต่อเนื่อง

องค์ประกอบของรัฐบาลผสมขณะนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนหน้าเดิมๆ องคาพยพของ “รัฐบาลประยุทธ์” ที่เคยแสดงความรังเกียจมาแล้วทั้งสิ้น ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อคะแนนนิยมที่พยายามกอบกู้กันอยู่ ยังมี “วิษณุ” ที่เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของ “รัฐบาล คสช.-รัฐบาลประยุทธ์” เข้ามาซ้ำอีก

เชื่อว่าการดึง “วิษณุ” มาร่วมงานด้วยนั้น แม้ว่าจะมีกระแสข่าวว่ามีผู้แนะนำไปยัง “เศรษฐา” แต่ลึกๆแล้วก็หนีไม่พ้น “บ้านจันทร์ส่องหล้า” ที่เปิด “ไฟเขียว” จากทั้ง “นายใหญ่ทักษิณ” และอาจรวมไปถึง “นายหญิง” คุณหญิงพจมาน ดามาพงษ์ ที่รู้ฝีมือ “วิษณุ” เป็นอย่างดีด้วยมากกว่า

อ่านว่าทั้ง “เศรษฐา” รวมไปถึง “นายใหญ่-นายหญิง” คงเลือกที่จะแก้ผ้าเอาหน้ารอดไปก่อน หวังพึ่ง “อภินิหาร” ทางกฎหมายของ “วิษณุ” ไปก่อน แล้วค่อยไปตายเอาดาบหน้า หาทางกอบกู้คะแนนนิยมในภายหลัง
ล่าสุด สถาบันพระปกเกล้า โดย สำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย ร่วมกับสำนักส่งเสริมการเมืองภาคพลเมือง และศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมือง 76 จังหวัด เพิ่งเปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “ความนิยมในพรรคการเมืองและนายกรัฐมนตรี : 1 ปีหลังการเลือกตั้ง 14 พ.ค.66”

ปรากฎว่า ผลการประเมินทั้งในส่วน สส.เขต-ปาร์ตี้ลิสต์ หาเลือกตั้งในช่วงนี้ พรรคก้าวไกล มีโอกาสได้ สส.รวมเพิ่มขึ้นเป็น 208 ที่นั่ง จากปัจจุบัน 151 เสียง ขณะที่ พรรคเพื่อไทย ที่ปัจจุบันมี 141 เสียง จะเลือกเพียง 105 เสียง ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ที่ถือว่าคะแนนนิยมตกลงอย่างถ้วนหน้า สวนทางกับ พรรคก้าวไกล ที่เรตติ้งยังดีอยู่ และดีขึ้นเพียงพรรคเดียว
หนักกว่านั้น เมื่อสอบถามถึงผู้ที่อยากให้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในช่วงเวลานี้มากที่สุด ปรากฏเสียงส่วนใหญ่ 46.9% หรือเกือบครึ่ง เลือก “แด๊ดดี้ทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล
ตลกร้ายไปอีกเมื่อในลำดับที่ 2 มีชื่อ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี และอดีตสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ด้วย 17.7% ส่วน “นายกฯ นิด-เศรษฐา” มาเป็นลำดับที่ 4 ด้วย 8.7% น้อยกว่าลำดับที่ 3 “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทยที่ได้ 10.5% เสียอีก

ผลการสำรวจที่ออกมาแม้จะใช้กลุ่มตัวอย่างไม่มาก เพียง 1.6 พันคนเศษเท่านั้น แต่ก็ต้องถือว่า “ผิดวิสัย” เป็นอย่างมาก เพราะตามรูปกาณณืแล้วผลการสำรวจความนิยมทางการเมืองหลังมีรัฐบาล มักจะเป็นผลบวกกับพรรคที่เป็นรัฐบาล รวมไปถึงตัวนายกรัฐมนตรีด้วย

แต่เมื่อผลออกมากลับตาลปัตรขนาดนี้ก็ต้องสำรวจตรวจสอบว่า เกิดอะไรขึ้นกับ “รัฐบาลเศรษฐา” แน่นอนว่าปัจจัยที่ทำให้คะแนนนิยทไม่กระเตื้องก็มาจากข้อหา “ตระบัดสัตย์” การสลายขั้วร่วมรัฐบาลกับ “พรรค 2 ลุง” ที่ไม่มีวันสลัดออกได้ เพราะประจักษ์พยานก็ยังเดินกันว่อนรัฐบาล แล้วยังมี “วิษณุ” เข้ามาสำทับอีก

ส่วนที่ยังสาละวันเตี้ยลงไปเรื่อยๆ ก็ต้องยอมรับว่า แม้ผ่านมากว่า 8 เดือนแล้ว แต่ผลงานของรัฐบาบด็ยังไม่ผลิดอกออกผล หลายเรื่องยังเป็นไผในลักษณะลูบๆคลำๆ ไม่เห็นผลสัมฤทธิ์ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ที่ทำไปทำมาการประมเมินตัวเลขจีดีพีการเติบโตทางเศรษฐกิจกลับตกลงเหลือเพียง 1.5% แย่กว่ารัฐบาลที่แล้วที่ถูกค่อนขอดว่า ทำงานไม่เป็นเสียอีก
อีกปัจจัยสำคัญคงไม่พ้นบทบาทของ “นายใหญ่ทักษิณ” ที่ถือเป็น “จุดบอด” ตั้งแต่วันแรกที่รัฐบาลเข้ามาทำงาน

ด้วยมีการมองว่า ภายหลังจากที่ “ทักษิณ” เดินทางกลับสู่ประเทศไทย และเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ในวันเดียวกับที่รัฐสภาเลือก “เศรษฐา” เป็นนายกฯ ตาม “ซูเปอร์ดีล” ที่ทำให้เกิดการผสมพันธุ์สลายขั้วเพื่อจัดตั้งรัฐบาลนั้น “ทักษิณ” กลับมีพฤติกรรมที่ “ผยอง-อหังการ” หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ

“ทักษิณ” สร้างแผลฉกรรจ์ให้รัฐบาล โดยการย่ำยีกระบวนการยุติธรรม อ้างอาการป่วยทู่ซี้อยู่ในโรงพยาบาลตำรวจ ตลอด 6 เดือนที่ถูกคุมขัง จนไม่เคยนอนค้างในคุกแม้แต่คืนเดียว ทำให้รัฐบาลถูกถล่มอย่างหนัก กระทั่งได้รับการพักโทษ กลับหายเป็นปลิดทิ้งประจานอาการ “ป่วยทิพย์” และมีการเคลื่อนไหวที่ข้องแวะกับการเมืองอย่างต่อเนื่อง ไม่อยู่บ้านเลี้ยงหลานอย่างที่ตกปากรับคำกับสังคมไว้

และยิ่งนับวัน “ทักษิณ” ยิ่งสถาปนาตัวเป็น “ศูนย์กลางอำนาจ” ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อรัฐบาล และตัว ”เศรษฐา” อย่างแน่นอน
มีการมองว่า กรณี “เศรษฐา” ถูกยื่นเรื่องแต่งตั้ง “พิชิต” ซึ่งเป็นฝีมือของ “สว.อนุรักษ์นิยม” ร่วมกับเครือข่าย “ป่ารอยต่อฯ” ของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นั้นมีเป้าหมายที่แท้จริงคือ ”ทักษิณ” โดยเป็นการส่งสัญญาณกลายๆ ว่า “ขั้วอำนาจเก่า” ยังมีอิทธิฤทธิ์ชี้เป็น-ชี้ตาย รัฐบาลที่ “ทักษิณ” ให้การสนับสนุนได้

ถือเป็นการปราม “ทักษิณ” ให้ฉุกคิดว่า อย่าล้ำเส้น หรือผยองจนเกินเบอร์ แม้จะมี “สิ่งที่เรียกว่าดีล“ คุ้มหัวอยู่ก็ตาม
ท่ามกลางกระแสข่าวว่า มีการเตรียมการช่วงหลัง “ทักษิณ” พ้นโทษในวันที่ 22 สิงหาคม 2567 ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างเต็มรูปแบบด้วย

แต่ดูเหมือนคำเตือนที่ส่งออกไป ยังไม่รอฟีดแบกกลับมา ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ อัยการสูงสุด มีคำสั่งฟ้อง “ทักษิณ” ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และมาตรา 112 กรณีให้สัมภาษณ์สื่อท้องถิ่นเกาหลีใต้ พาดพิง “สถาบันเบื้องสูง” เมื่อปี 2558

เดาว่า “ทักษิณ” เองก็รู้สัญญาณล่วงหน้า เพราะ อำนาจ เจตน์เจริญรักษ์ อัยการสูงสุด มีคำสั่งคดีตั้งแต่เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2567 ก่อนวันนัดในวันที่ 29 พฤษภาคม 2567 แล้ว จึงมีความพยายามหน่วงเวลา โดยทำหนังสือถึงอัยการแจ้งขอเลื่อนการฟังคำสั่งคดีออกไปก่อน ให้เหตุผลว่า ติดโควิด-19 แต่ก็ไม่เป็นผล

คล้ายกับหมากที่ให้ “พิชิต” ลาออกจากรัฐมนตรี หวังว่า ศาลรัฐธรรมนูญ จะยกคำร้องในส่วนของ “เศรษฐา” ไปด้วย แต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อศาลฯ ยกคำร้องเฉพาะ “พิชิต” ที่พ้นสถานะรัฐมนตรีจากการลาออกไปแล้วเท่านั้น

ทั้งนี้ สำนักงานอัยการสูงสุด นัด “ทักษิณ” เพื่อนำตัวส่งฟ้องศาลในวันที่ 18 มิถุนายน 67 นี้ ซึ่งเมื่อรูปการณ์เป็นเช่นนี้ก็ต้องลุ้นหนักไม่น้อยว่า จะะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวหรือไม่ โดยมีการเทียบเคียงกับกรณี “ม็อบราษฎร-ทะลุแก๊ส-ทะลุวัง” ถูกฟ้องในฐานความผิดเดียวกัน หลายคนก็ไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นการส่งฟ้อง

เป็นสัญญาณเข้มๆ ที่ขึงพืด “ทักษิณ” ที่ถือเป็นศูนย์กลางอำนาจรัฐบาล และเป็นผู้กุมสิ่งที่เรียกว่า “ดีล” จนอาจสะท้อนถึงภาวะ “ดีลสะดุด” หรือ “ดีลแตก” เลยด้วยซ้ำไป

แต่จะว่าไป การที่ “ทักษิณ” มีอันต้อง “สะดุด” ด้วยคำสั่งฟ้องของอัยการสูงสุดก็อาจจะนับเป็น “ผลดี” กับทั้งตัว “ทักษิณ เศรษฐา” รวมทั้ง “พรรคเพื่อไทย” เพราะเหมือนกับบ่วงหรือเชือกที่คอย “รั้ง” ไม่ให้มีพฤติการณ์ผยอง-อหังการ ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม ที่ถึงวันนี้พอสรุปได้แล้วว่าคือต้นตอของปัญหาทางการเมืองทั้งหลายทั้งปวง ด้วยถ้าไม่มีอะไรมากระตุก ก็ไม่มีอะไรมาขวาง “คนอย่างทักษิณ” ให้ทำอะไรตามอุปนิสัยของตัวเองอย่างที่ผ่านมาได้

ส่วนถามว่า “บทสรุป” ของ “ความสะดุด” ดังกล่าวจะนำมาไปสู่อะไร เป็นเรื่องที่สามารถเป็นไปได้หลายแนวทาง

มองอย่างโลกสวย “ทักษิณ” ก็อาจได้รับการประกันตัวไปสู้คดี ซึ่งก็คงใช้เวลาอีกนานพอสมควรกว่ากระบวนการทางกฎหมายจะเป็นที่ยุติ ขณะที่กูรูบางคนถึงขั้นมองว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ในเมื่อ “ทักษิณ” ถูกสั่งฟ้องในคดี 112 แล้ว จะทำให้ข้อตกลงใน “ดีล” เปลี่ยนแปลงไปไหม หรือว่า พรรคเพื่อไทยจะหันไปจับมือกับพรรคก้าวไกลที่ต้องการให้มีการนิรโทษกรรมมาตรา 112 ในความผิดทางการเมืองด้วย เพราะถ้าพรรคเพื่อไทยเอาด้วยทักษิณก็จะได้อานิสงส์พ้นผิดไปด้วย

แต่ถ้าไม่เป็นไปอย่างที่วาดหวัง การใช้ “ช่องทางธรรมชาติ” ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่มีโอกาสเกิดขึ้นซ้ำรอยอีกครั้งเช่นกัน
สำหรับ “เศรษฐา” โอกาสรอดคดี ว่าไปแล้ว น่าจะมีเปอร์เซ็นต์สูงกว่าทักษิณไม่น้อย แต่หากสุดท้าย “เศรษฐา” ไม่ได้ไปต่อ ก็ต้องล้างไพ่เลือกนายกรัฐมนตรีกันใหม่ตามครรลองรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็ต้องนับว่าเป็นเรื่องยุ่ง เพราะยังไม่รู้ว่า หวยจะออกที่ “ใคร” แต่ก็เป็นความยุ่งแบบที่อาจใช้คำว่า “พอทำเนา”

แต่ที่ “ยุ่งไปกว่านั้น” ก็คือถ้าสถานการณ์บานปลาย เกิดความวุ่นวายจากภาวะแทรกซ้อนที่ไม่อาจคาดเดาได้ กระทั่งเปิดทางให้ “สถานการณ์พิเศษ” มาอีก ก็คงไม่ต้องโทษใคร นอกจากตัว “ทักษิณ” เอง


กำลังโหลดความคิดเห็น