xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“อ้วน ชวนชิม” โชว์กินข้าวเก่า 10 ปี ทำเพื่อขายหรือทำเพื่อ “นาย”?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - กลายเป็นกระแสฮือฮาสนั่นโลกโซเซียล เมื่อ “เดอะอ้วน-ภูมิธรรม เวชชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พาคณะพิสูจน์คุณภาพข้าวหอมมะลิในโครงการรับจำนำข้าวที่โกดังข้าวสองแห่งในจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นข้าวเก่าเก็บมานานนับสิบปี ด้วยสังคมตั้งคำถามดังอึงมี่ไปทั่วทั้งแผ่นดินว่า ข้าวอายุ 10 ปียังกินได้และปลอดภัยจากจริงหรือ?

ความผิดปกติของ “โชว์” ครั้งนี้ ไม่ได้มีแค่เรื่อง “กินได้หรือไม่ได้” เท่านั้น เพราะถ้าหากติดตาม “เดอะอ้วน” ในประเด็นดังกล่าวจะเห็นว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรก หากแต่เป็นการ “กินโชว์เป็นครั้งที่ 2” หลังจากกินโชว์ไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ประหนึ่งมี “วาระซ่อนเร้น” ที่เจตนาทำเพื่อมุ่งหวังอะไรบางประการต่อ “โครงการรับจำนำข้าว” ผลงานชิ้นโบว์แดงของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งมีทั้งนักการเมือง นักธุรกิจและข้าราชการต้องติดคุกติดตะรางไปเป็นจำนวนไม่น้อย

ด้วยโกดังข้าวสารหอมมะลิสองแห่งที่คณะของภูมิธรรม พร้อมสื่อมวลชน ลงไปพิสูจน์คุณภาพข้าว ทั้งคลังข้าวกิตติชัยจำนวน 11,656 ตัน และคลังข้าวของบริษัท พูนผลเทรดดิ้ง จำกัด จำนวน 3,356 ตัน เป็นข้าวลอตสุดท้ายในโครงการรับจำนำข้าว ในปี 2556/2557 สมัยอดีตนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยคลังทั้งสองแห่งรับมอบข้าวสารเข้ามาเก็บราวเดือนมกราคม - เมษายน 2557

อีกทั้งยังสอดรับกับกระแสข่าวและความพยายามที่ผู้เป็นเป็นพี่ชายคือ “นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร” ประกาศเจตนารมณ์ที่จะพาน้องสาวกลับไทยในระยะเวลาอันใกล้นี้ จึงถูกสังคมตั้งสมมติฐานถึงความเกี่ยวโยงดังกล่าวว่า เป็น “ปฏิบัติการฟอกขาว” หรือไม่ อย่างไร

ที่สำคัญคือ ใครๆ ก็คือว่า “ภูมิธรรม” นั้นคือสายตรง “บ้านจันทร์ส่องหล้า” ที่ได้รับความใจมากที่สุดคนหนึ่ง ไม่เช่นนั้น ในการแบ่งงานรองนายกรัฐมนตรีเที่ยวล่าสุด คงไม่ได้การวางตัวให้เป็น “รองนายกฯ อันดับ 1” ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีไม่อาจปฏิบัติราชการได้ พร้อมทั้งมอบหมายให้กำกับดูแลหนึ่งในหน่วยงานสำคัญอย่าง “กระทรวงกลาโหม” อีกต่างหาก

ดังนั้น “ปรากฏการณ์อ้วนชวนชิม กินข้าวเก่า 10 ปีโชว์” ในครั้งนี้ จึงไม่ใช่เรื่องธรรมดา หากแต่คละคลุ้งไปด้วยวาระทางการเมืองชนิดข้นขลั่ก ไม่เช่นนั้นเจ้าตัวที่เป็นต้นเรื่องคงไม่แอ่นอกรับประกันอย่างหนักแน่นว่า ปลอดภัย ชนิดที่ไม่มีข้อสงสัยและตระหนักถึงความปลอดภัยที่อาจจะเกิดขึ้นกับชีวิตของตนเองเป็นแน่แท้

“(ท้อง) ไม่เสีย โอ้โห สบายมาก”

เดอะอ้วน-ภูมิธรรม กล่าวหลังชิมข้าวที่เก็บตัวอย่างแล้วนำมาหุงและรับประทานร่วมกับสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2567 โดยผ่านการซาวน้ำถึง 15 ครั้ง ซึ่งนอกจากสภาพข้าวที่เหลืองแล้ว ระหว่างการซาวข้าวยังมีตัวมอดลอยฟ่องขึ้นมา

พอเสียงวิจารณ์ดังขรมทั้งแผ่นดิน ภูมิธรรมก็ตอบคำถามสื่อด้วยความมั่นใจอีกครั้งว่า “ชิมแล้วไม่มีกลิ่นหืน ไม่มีความรู้สึกว่าจะกินไม่ได้ ความหอมอาจจะลดลงไม่เหมือนข้าวใหม่ แต่ความนุ่มนวลไม่มีปัญหาอะไร ใครทานได้ก็ทาน ใครไม่อยากทานก็ไม่ต้องทาน ใครซื้อก็ซื้อ ซื้อไม่ได้ก็ไม่ต้องซื้อ ไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติมมากกว่าสิ่งที่ควรทำ และหากในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ (7 พฤษภาคม) หารือกันจนสิ้นสงสัย ก็จะเร่งดำเนินการประมูลภายในเดือนพฤษภาคมนี้ หรืออย่างช้าไม่เกินเดือนมิถุนายน อยากให้มันจบจะได้ไปทำเรื่องอื่นต่อ ไม่อยากให้เกิดดรามา เอาจินตนาการมาชี้นำความจริง”

พร้อมบอกด้วยว่า ข้าวจากคลังกิตติชัย รมยาทุก 2 เดือน และจากคลังบริษัท พูนผลเทรดดิ้ง รมยาทุกเดือน ถือว่าเป็นข้าวที่เก็บรักษาอย่างดี รมยาตามมาตรฐาน ปิดโกดังแน่นหนา ไม่มีนกเข้า ไม่มีฝนตกที่ทำให้ข้าวเสียหาย หากเปิดประมูลคาดว่าราคากลางจะอยู่ที่ 18 บาทต่อกิโลกรัม

ทั้งนี้ ถ้าสังเกตให้ดี จะเห็นว่า งานนี้มีการวางแผนล่วงหน้าอย่างเป็นขั้นเป็นตอนด้วย ไม่ใช่แค่การที่ “เสี่ยอ้วนกินโชว์” เท่านั้น หากยังมีการส่งข้าวไปให้สื่อมวลชนได้ร่วมพิสูจน์อีกด้วย

ยกตัวอย่างเช่น “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” พิธีกรดังรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ที่ได้รับข้าวจาก ภูมิธรรม เวชชยชัย ที่โพสต์ภาพ โชว์ถุงข้าว และเขียนที่ถุงว่า “ข้าวโกดัง 2 ฝากให้คุณสรยุทธ รับประทานเพื่อพิสูจน์ ด้วยรักจากใจภูมิธรรม เวชยชัย” ทางสรยุทธจึงนำข้าวที่ได้รับมาหุงเพื่อทดลองชิม โดยโชว์ข้าวให้ดูว่ายังหุงขึ้นหม้อ และบอกว่าจะร่วน ๆ กว่าข้าวธรรมดาส่วน 'ไบรท์ พิชญทัฬห์' พิธีกรร่วม เมื่อชิมแล้วบอกว่า จะไม่หอมเท่าข้าวหอมมะลิความนุ่มหายไปหน่อยนึง แต่ข้าวเป็นข้าว และการเป็นเรียงเป็นเม็ดยังสวย รู้สึกว่าเป็นข้าวธรรมดา เพราะข้าวหอมมะลิจะเหนียวเพราะมียางข้าวมากกว่า

ขณะที่ “นางแบกแห่งพรรคเพื่อไทย” อย่าง “เจ๊แขก คำผกา” ก็ทำหน้าที่อย่างขมีขมัน โดยบอกว่า “รัฐบาลมีหน้าที่ขาย พ่อค้าที่ต้องการก็เข้ามาประมูลไปขาย ผู้ซื้อมีหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพว่าสินค้าได้คุณภาพตามราคาที่จ่ายหรือไม่ ข้าวที่ขายในท้องตลาดผ่านการตรวจรับรอง มอก. และ เป็นสินค้าที่มีการควบคุมฉลาก ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าที่ตนเองพอใจในราคาและคุณภาพ”

แม้แต่ “สุทิน คลังแสง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ยังรักษาเก้าอี้ไว้ได้ ก็ออกมา “แบะท่า” ว่า ถ้าตรวจสอบแล้วมีคุณภาพ ก็อาจจะเข้าร่วมประมูลซื้อไปให้ “กำลังพลในกองทัพ” รับประทานอีกต่างหาก

อย่างไรก็ดี คำถามพื้นฐานที่ไม่ว่า “รองนายกฯ อ้วน” หรือคนในฟากเดียวกันกับรัฐบาลจะรับประกันอย่างไรก็ไม่มีเสียงตอบรับในทิศทางที่ดีจากสังคมสักเท่าไหร่ก็คือ ประเด็นเรื่อง “ความปลอดภัย” ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่า ร้อยทั้งร้อยถ้ารู้ว่าเป็นข้าวลอตดังกล่าวคงไม่มีกล้านำไปรับประทาน บางรายถึงขนาดเสนอให้รัฐบาลซื้อไปหุงให้บรรดารัฐมนตรีและสมาชิกพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหลายที่เห็นดีเห็นงามกับเรื่องนี้รับประทานจนกว่าข้าวจะหมดกันเลยทีเดียวเชียว


ทั้งนี้ มูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) องค์กรไม่แสวงหากำไรด้านความหลากหลายทางชีวภาพ เกษตรกรรมเชิงนิเวศ และความมั่นคงทางอาหาร ตั้งคำถามว่า ก่อนขายข้าวสารอายุ 10 ปี ต้องตอบคำถาม รมสารเคมี 6-12 ครั้ง/ปี ตกค้างขนาดไหน สารอาหารลดลงเหลือเท่าไหร่ และความเสี่ยงจากท็อกซินหรือสารก่อมะเร็ง

“สารรมควันพิษที่แจ้งว่ามีการรมปีละ 6-12 ครั้ง คือสารอะไร มีการตกค้างหรือไม่ เพราะในกรณีเมทิลโปรไมด์เมื่อตกค้างในข้าวสารแล้วการล้างหลายครั้งหรือการหุงก็ทำให้ลดลงได้เพียง 40-50% เท่านั้นคุณค่าของสารอาหาร เช่น คาร์โบไฮเดรท โปรตีน และแร่ธาตุอื่น ๆ ที่พึงได้จากข้าวสารลดลงมากน้อยแค่ไหน ความเสี่ยงจากท็อกซิน ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเก็บมีมากน้อยแค่ไหน มีการสุ่มตรวจเพียงใด จะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคในประเทศและต่างประเทศ และจะมีผลต่อภาพลักษณ์ข้าวไทยอย่างไร” มูลนิธิชีววิถี ตั้งคำถาม

“วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ” ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) ให้สัมภาษณ์ไทยพีบีเอส ว่า เราเคยตรวจพบสารตกค้างเมทิลโบรไมด์ในถุงข้าวสาร ที่ผู้ประกอบการยังนำข้าวสารไปอบในกระบวนการระหว่างที่รอเตรียมจำหน่ายได้ แต่กับข้าวสารที่ถูกเก็บมาเป็นระยะเวลานาน 10 ปี จะมีสารตกค้างขนาดไหน มีผลวิจัยพบว่า สารเมทิลโบรไมด์ ยังตกค้างอยู่ในเนื้อข้าวสาร ต่อให้ล้างหลายครั้ง ๆ ก็ไม่ออกจากเมล็ดข้าว เราเคยศึกษาวิจัยเรื่องนี้ และนักวิชาการของกรมวิชาการเกษตร ก็ยอมรับ และไม่ได้ปฏิเสธ

ขณะที่ “อาจารย์อ๊อด” รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์และให้สัมภาษณ์เตือนว่า การเก็บรักษาต้องผ่านการรมควัน 1-2 เดือน ต่อครั้ง หากนับเวลาแล้ว ข้าวแต่ละกระสอบ ก็จะถูกรมควัน 60 - 120 ครั้ง แม้ว่าข้าวจะหุงสุกแล้วก็ตาม เพราะเวลาหากเก็บรักษาข้าวเป็นเวลานาน ก็จะมีทั้งเรื่อง มอดแมลงหนู รวมถึงเคมีที่ใช้ในการรมควัน เพื่อไล่มอด แมลงและหนู ที่มีการพ่นซ้ำเป็นเวลาติดต่อกันถึง 10 ปี ไม่ว่าจะได้แก่ เมธิลโบรไมด์ (Methyl Bromide) , อลูมิเนียมฟอสไฟด์ (Aluminium phosphide) หรือ ฟอสฟีน


นอกจากนี้ หากโกดังไม่ได้พ่นสารเคมีอย่างสม่ำเสมอ ก็จะเสี่ยงทำให้เกิด เชื้อโรคอื่นที่มากับหนูและแมลงเช่นกัน โดยเฉพาะสารพิษในกลุ่มของเชื้อรา แต่ที่เป็นห่วงมากที่สุดคือ อะฟลาท็อกซิน ซึ่งเป็นตัวที่องค์การอนามัยโลก ได้ออกมาระบุไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นสารก่อมะเร็ง ซึ่งประเทศที่เจริญแล้วไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกา ถ้าจะส่งออกข้าว หรืออาหารแห้งที่มีระยะเวลานานมาก ก็จะถูกตรวจสารอะฟลาท็อกซินเป็นหลัก เนื่องจากเป็นสารที่อันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งการตรวจสารดังกล่าวต้องใช้เครื่องมือเฉพาะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั่วโลกกังวล

ดังนั้น ในฐานะที่มีความเชี่ยวชาญด้านเคมีจึงแนะให้นำข้าวดังกบ่าวไปเพิ่มมูลค่าด้วยการเอาไปหมัก เพื่อกลั่นเอาแอลกอฮอล์ได้เช่นกัน เพราะตัวข้าวหากหมักก็จะเปลี่ยนจากคาร์โบไฮเดรต เป็นแอลกอฮอล์ ได้ปริมาณมาก แล้วจะทำให้เปอร์เซ็นต์ที่ได้แอลกอฮอล์นั้น มากกว่ามันสำปะหลัง หรืออ้อยด้วยซ้ำ ที่สำคัญคือจะสามารถเพิ่มมูลค่าได้เยอะกว่าการออกมาประมูลขาย

“อยากให้รัฐบาลชั่งน้ำหนักให้ดี เพราะหลายคนกังวลว่าขายไปแล้ว อาจจะถูกตีกลับ หรือนำไปเจือปนกับข้าวใหม่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของผู้บริโภคอีกด้วย และส่วนตัวยืนยันก็จะไม่ขอเลือกซื้อกินอย่างแน่นอน”อาจารย์อ๊อดกล่าว

ส่วนความเห็นของอีกคนที่มี “น้ำหนัก” มาก และผู้คนพากันแชร์ว่อนไปทั่วโลกออนไลน์ก็คือ ความเห็นจาก “รศ.พันทิพา พงษ์เพียจันทร์” จากคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่โพสต์เตือนในทำนองเดียวกันว่า ข้าวเก่า 10 ปี มีสารพิษจากเชื้อราอยู่ไม่น้อย เหตุเพราะมีแมลง มอด ทั้งยังเต็มไปด้วยมูลของสัตว์เหล่านี้ที่นำมาซึ่งการเจริญเติบโตของเชื้อรา

“จากกรณีที่เอาข้าวเก่า ค้าง 10 ปี มาหุงรับประทานโชว์กัน ขอบอกว่าท่านได้รับสารพิษจากเชื้อราไปแล้วไม่น้อย หลายตัวหลายชนิดด้วย และใครที่ไปร่วมชิมเป็นสักขีพยานว่า ข้าวนั้นทานได้ ก็รับเคราะห์ไปด้วยค่ะ” รศ.พันทิพา ระบุ

นอกจากนั้น รศ.พันทิพา ยังบอกว่า จากสภาพข้าวที่หุงออกมา จะมีข้าวจำนวนไม่น้อย ที่มีสีน้ำตาลตรงปลายเมล็ด นั่นคือเม็ดข้าวที่ขึ้นรา อย่างน้อยต้องตรวจพบสารพิษอะฟลา 1 ตัว ตรวจง่าย ๆ โดยใช้เทคนิค บี จี วาย ฟลูโอเรสเซนท์ (Bright Greenish-Yellow Fluorescent) ซึ่งสารนี้ทนอุณหภูมิได้ถึง 250°C และยังจะมีสารพิษอื่น ๆ ตามมาอีกหลายตัว อุณหภูมิข้าวที่เราหุงน้ำเดือด 100°C ไม่สามารถทำลายพิษจากเชื้อราได้ อาจได้แค่แบคทีเรียจากมูลของแมลง

“เห็นเจตนาดีของท่านที่จะหาเงินกลับคืน ขอแนะนำว่าอย่าขายให้คนหรือสัตว์นำไปบริโภค ได้ไม่คุ้มเสีย เพราะเราจะมีคนป่วยด้วยมะเร็งมากขึ้น สำหรับผู้บริโภคโดยตรง กรณีนำไปเลี้ยงสัตว์ เราจะได้ผลิตภัณฑ์ เนื้อ นม ไข่ ที่มีสารพิษจากเชื้อราตกค้างในอาหาร ทำให้เพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งมากขึ้น การนำไปขายให้อัฟริกา ชื่อเสียงข้าวเน่าเสียของไทยจะกระจายไปทั่วโลก คู่แข่งเราจะได้เปรียบ กว่าเราจะกู้ชื่อเสียงกลับคืนมาคงหลายปี เสียตลาดข้าวให้คู่แข่ง ขอแนะนำให้นำข้าวเหล่านี้ไปผลิตเป็นแอลกอฮอล์ หรือน้ำส้มสายชู จะดีกว่า”ผู้คร่ำหวอดในแวดวงเกษตรและแวดวงข้าวให้ความเห็นอย่างตรงไปตรงมา

ส่วน “เดชา ศิริภัทร” ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ และหมอพื้นบ้าน เจ้าของสูตรน้ำมันกัญชา (ตำรับหมอเดชา) ให้ข้อคิดสำหรับการนำข้าวเก่าเก็บนานนับสิบปีไปบริโภคแบบแสบ ๆ คัน ๆ ว่า “หุงขึ้นหม้อ รอมะเร็ง / กินวันนี้ ทำคีโมวันหน้า/ คนกลืนตาย คนคายโคม่า/ ฟอกขาว ให้สาวปู/ โปรดสั่งเสีย ก่อนสั่งซื้อ/ คำแรกขึ้นสมอง คำสองขึ้นสวรรค์/ รสชาติไม่ต้องพูดถึง รถปอเต็กตึ๊งมารอแล้ว/ สกปรกให้ 5 มั่นหน้าให้ 10/ จะกลืนหรือคาย เป็นตายเท่ากัน/ กินเพื่อนาย ตายช่างมัน/ คำแรกติดใจ คำต่อไปติดเตียง”

เมื่อกระแสสังคมถกเถียงกันไปใหญ่ สื่อมวลชนจึงถามสมศักดิ์ เทพสุทิน ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ดูแลสุขอนามัยของประชาชน ว่าจะขอตัวอย่างข้าวในโครงการดังกล่าวมาตรวจหรือไม่ นายสมศักดิ์ ตอบว่า ถ้าต้องการอยากให้ตรวจก็ส่งมาได้ แต่ให้เก็บตัวอย่างเป็นทางการให้เรียบร้อย

“ถ้าสงสัยก็ส่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ใช้เวลา 7 วัน ตรวจก็รู้เลย ....”
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตอบข้อกังขา

สำหรับประเด็นข้าวเก่าค้างสต็อกที่เกี่ยวพันกับประเด็นทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่กำลังเดินทางกลับประเทศไทยและโครงการดังกล่าวก็เกิดขึ้นในช่วงนั้น มีความเห็นที่น่าสนใจจาก “นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม” ประธานพรรคไทยภักดี ที่ฟันธงแบบไม่ยั้งว่า สาเหตุที่ต้องการเอาข้าวชุดสุดท้ายที่เหลือมาเปิดประมูลขาย ก็เพราะต้องการฟอกขาวโครงการจำนำข้าว รวมทั้งฟอกขาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่นอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว ยังกลับยิ่งทำให้การทุจริตจำนำข้าวถูกตีแผ่มากขึ้น

ที่สำคัญคือ สิ่งที่นายภูมิธรรมดำเนินการกำลังทำลายความเชื่อมั่นตลาดข้าว ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพราะถ้าประชาชนทราบว่า บริษัทไหนประมูลข้าว 10 ปีได้ ข้าวถุงบริษัทนั้นจะขายไม่ได้ หรือแม้จะส่งออกไปแอฟริกาก็จะมีปัญหาในเรื่องความน่าเชื่อถือ เพราะอย่าลืมว่าคู่แข่งตลาดข้าวประเทศไทยมีมาก

“ที่ต้องการเร่งระบายข้าว ก็มีหลักฐานชัดเจนว่า ได้มีการระบายข้าวชุดนี้มาตลอด แต่ผู้ชนะไม่มารับข้าวทั้งสามครั้ง น่าจะคิดได้ว่าเพราะอะไร ที่สำคัญการระบายครั้งที่ 4 ที่คุณ (ภูมิธรรม) เป็นรัฐมนตรีดูแล ก็มีไอ้โม่งสั่งให้หยุดประมูล ก่อนยื่นซองคุณสมบัติเพียงวันเดียว เพียงเพื่อเก็บข้าวนี้ให้คุณเล่นละคร เพราะข้าวชุดนี้เหลือชุดสุดท้ายแล้ว” นพ.วรงค์ระบุ

ทั้งนี้ หลังจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงไม่เห็นด้วยทั้งแผ่นดิน “เดอะอ้วน-ภูมิธรรม เวชชยชัย” ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า “หากยังดรามากันไม่จบ ก็กังวลว่า จะไม่สามารถประมูลได้” พร้อมชี้แจงกรณีที่เคยมีผู้ชนะการประมูลข้าวดังกล่าวไปแล้ว แต่ไม่มานำข้าวออกไปว่า เกิดขึ้นจริง 4-5 ครั้งแล้ว เพราะราคาข้าวในครั้งนี้สูงมาก เมื่อประมูลแล้ว ราคากลับตก หากรับไปก็จะต้องขาดทุน ดังนั้น จึงเกิดการฟ้องร้องกัน โดยองค์การคลังสินค้ายังอยู่ระหว่างการฟ้องร้อง จึงยืนยันว่า ที่ผู้ประมูลทิ้งข้าว ไม่ใช่เพราะข้าวเน่า แต่เพราะราคาข้าวในปีดังกล่าวตก และการประมูลในครั้งนี้ ก็จะเขียนกฎเกณฑ์ให้ชัดเจนให้ผู้ที่ให้ราคาสูงสุด 5 อันดับแรก มีสิทธิชนะการประมูลข้าว เผื่อกรณีที่มีผู้สละสิทธิ์ และสามารถไปตรวจสอบคุณภาพข้าวก่อนได้ ซึ่งข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวนี้ ไม่มีค้างข้างสต๊อกในโครงการรับจำนำข้าวแล้ว และโกดังดังกล่าวที่ได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบ ก็เป็นเพียง 2 โกดังสุดท้ายที่เหลือ

เอาเป็นว่า คงต้องติดตามฉากจบของ “อ้วนชวนชิม กินข้าวเก่า 10 ปีโชว์” กับดรามาโละสต็อกข้าวเก่าลอตสุดท้ายเพื่อหวังผลในทางการเมือง โดยเฉพาะต่อตัว “นายปู” ที่เตรียมกำลังเจริญรอยตามพี่ชายแม้วกลับไทยว่า สุดท้ายแล้ว จะลงเอยอย่างไร แต่ที่แน่ๆ คืองานนี้ รัฐบาล โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยติดลบในทางการเมืองไปกระบุงโกย


กำลังโหลดความคิดเห็น