xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ครม. คอ รอ แม้ว “สายตรงบ้านจันทร์ฯ” เต็มแผง ก่อ “คลื่นใต้น้ำ” รอวันกระเพื่อม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ทำท่าจะราบรื่นดีการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งแรกของ “นายกฯ นิด” เศรษฐา ทวีสิน หากไม่เกิด “อาฟเตอร์ช็อก” กรณีการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ของ “ดร.ตั๊ก” ปานปรีย์ พหิทธานุกร ทันทีหลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง “ครม.เศรษฐา 1/1” ออกมา

มองไม่ผิดว่าการลาออกของ “ปานปรีย์” มาจากเหตุที่ถูกปรับออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี เหลือเพียงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตำแหน่งเดียว ซึ่งเจ้าตัวระบุไว้ในหนังสือลาออกว่า ส่งผลให้การทำงานที่ต้องพบปะประสานกับนานาชาติได้รับการยอมรับที่ลดลง

ขณะเดียวกันในทางส่วนตัวก็มองได้ว่าเป็นการถูก “ลดชั้น” ที่แม้จะไม่ได้เอ่ยถึงในหนังสือลาออก แต่รับรู้ได้ถึงความรู้สึก “เสียหน้า-เสียศักดิ์ศรี” จึงตัดสินใจแบบปัจจุบันทันด่วนเช่นนั้น

ทั้งนี้ “ปานปรีย์” รวมถึง “เศรษฐา” ต่างก็ยอมรับว่า ก่อนจะมีการทูลเกล้าฯ รายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ได้มีการพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวแล้ว แต่เมื่อมีการลาออกของ “ปานปรีย์” ก็ชี้ให้เห็นว่า การพูดคุยครั้งนั้นไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดว่า จะมีการปรับเปลี่ยนในส่วนของเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรี
และแม้ในทางข่าวจะรายงานตรงกันว่า จะมีการขยับในส่วนของเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีมาโดยตลอด แต่คาดว่า “ปานปรีย์” ยังคงมีความมั่นใจ และไม่เชื่อ “กระแสข่าว” จนมีประกาศอย่างเป็นทางการออกมา

 ทักษิณ ชินวัตร

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
เพราะในความเป็นจริงหาก “ปานปรีย์” รู้ตัวก่อน และรับ “หลักการ” ไม่ได้ตามที่ระบุในหนังสือลาออก ก็คงสามารถพูดคุยให้ถอนตัวตั้งแต่ก่อนทูลเกล้าฯ รายชื่อคณะรัฐมนตรีใหม่ เพื่อลดการเกิดแรงกระเพื่อมจากการปรับคณะรัฐมนตรีให้เหลือน้อยที่สุด

ด้วยต้องไม่ลืมว่า “ปานปรีย์” ก็เป็นทั้งสายตรง “นายใหญ่-นายหญิง” แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า และส่วนตัวก็มีความสัมพันธ์อันดีกับ “นายกฯ เศรษฐา”

อย่างไรก็ดียังมีการพิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ “ปานปรีย์” โดนลดชั้นหลุดจากรองนายกรัฐมนตรีด้วยว่า เป็นเพราะที่ผ่านมาไม่ยอมตามน้ำ-ตามใบสั่ง ที่เข้ามาเกี่ยวกับการพิจารณาเงินสรับสนุนจากกองทุนต่างๆ ที่ได้รับมอบหมาย โดยเฉพาะกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่มูลค่าหลักหลายหมื่นล้านบาท และกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ เป็นอาทิ

เป็นที่มาของคำขอจาก “น้องสาว” ที่ให้ “ปานปรีย์” มีอันเป็นไป ต้องพ้นเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรี แม้จะถูกมองว่า เป็นรัฐมนตรีสายตรง “พี่ชาย-พี่สะใภ้” ก็ตาม

เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าการปรับคณะรัฐมนตรีเศรษฐา 1/1 ที่ควรจะราบรื่น แต่กลับนำมาซึ่งคณะรัฐมนตรีเศรษฐา 1/2 ในแทบจะทันทีนั้น ทำให้เกิดแรงกระเพื่อม ผสมกับคลื่นใต้น้ำ สั่นสะเทือนภาพลักษณ์ของ “รัฐบาลเศรษฐา” ไม่น้อย

เพราะนอกเหนือจากกรณี “ปานปรีย์” แล้ว ประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์หนาหูไม่พ้นการปรับ “หมอชลน่าน” นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ออกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ทั้งเคยเป็นถึงหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ยอม “เสียรังวัด” จากกรณีฉีกสัตยาบันจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคก้าวไกล

ชะตากรรมของ “หมอชลน่าน” ทำให้คนในพรคคเพื่อไทย โดยเฉพาะระดับ สส.ที่มีพื้นฐานเติบโตมาจาก สส.เขต ต่างสัมผัสได้ถึงกลิ่นกรุ่น “ความใจดำอำมหิต” ของ “ระดับตัดสินใจ” กับสำนวน “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล”

เพราะ “หมอชลน่าน” ได้รับการยกย่องในฐานะคนทำงานให้กับพรรค รวมทั้งยังมีดีกรีถึงอดีตหัวหน้าพรรค ยอมเอาชื่อไปทิ้งแลกกับ “ดีลผสมพันธุ์ข้ามขั้ว” หากจัดอยู่ในกลุ่ม “รมต.แท้งกิ้ว” ที่ต้องให้ตำแหน่งตอบแทนบุญคุณให้นาน และมากกว่านี้

แม้จะมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงปัญหาการบริหารงานในกระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะกรณีที่แต่งตั้ง “หมอก้อย” ศรีภรรยาเข้าไปมีตำแหน่งก็ตาม แต่ก็รู้กันว่าเป็นเพียง “ข้ออ้าง” เพื่อเขี่ยออกจากเก้าอี้ เพิ่มที่ว่างให้ “ระดับตัดสินใจ” ได้ขยับขยายพื้นที่เพื่อจัดสรรประโยชน์ทางการเมือง ที่อยู่เหนือการทำงาน

เป็นถึงระดับอดีตหัวหน้าพรรคแต่กลับชื่อหลุดวงโคจรตั้งแต่การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งแรก แม้จะมี “สัญญาใจ” ว่าหากมีจังหวะเหมาะสม ก็จะได้รับการพิจารณากลับเข้าไปทำงานในคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง แต่ “คนการเมือง” รู้ดีว่า สายธารอำนาจสายนี้แทบไม่เคยไหลย้อนกลับ

ชะตากรรมของ “หมอชลน่าน” ที่ยืนหยัดต่อสู้กับพรรคมาตลอด สวนทางกับกลุ่มคนที่เคยถูกตราหน้าว่า “หักหลัง” โผไปอยู่ฝ่ายตรงข้ามเมื่อการเลือกตั้งปี 2562 ทั้ง “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ที่มั่นคงกับเก้าอี้เกรดเอเลี่ยมทองอย่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ไม่พอ ยังได้รับการอวยยศเป็นรองนายกรัฐมนตรีอีกตำแหน่งด้วย

รวมถึงคู่หูอย่าง “สมศักดิ์ เทพสุทิน” ที่ผละจากรองนายกรัฐมนตรีมาเสียบเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แทน “หมอชลน่าน” ก็ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงการตอบแทน “คนทำงาน” ของ “ระดับตัดสินใจ”

ปานปรีย์ พหิทธานุกร

 นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว
ไม่แปลกที่จะเกิดกระแส “คลื่นใต้น้ำ” จากทั้ง สส.ในพรรคเพื่อไทย ที่พยายามสอบถามถึงสาเหตุที่ “หมอชลน่าน” ถูกกระทำ ตลอดจน “คนเสื้อแดง” แบ็กอัปสำคัญของพรรคที่ข้องใจกับการปฏิบัติต่อคนทำงานอย่างโหดเหี้ยม กลับกันบรรดาแกนนำที่เคยเอาใจออกห่าง แต่ใกล้ชิด “นายใหญ่” กลับได้ดิบได้ดี

ยิ่งเมื่อพิจารณาการแต่งตั้ง ครม.เศรษฐา 1 ถึงการปรับเปลี่ยน ครม.เศรษฐา 1/1 และ 1/2 จะเห็นได้ชัดว่า เป็นการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรีในโควตาพรรคเพื่อไทย ล้วนแล้วแต่มีร่างเงาอิทธิพล “บ้านจันทร์ส่องหล้า” ครอบงำอยู่อย่างเห็นได้ชัด

เอาแค่ “ขาเข้า“ ในงวดนี้ ตั้งแต่ พิชัย ชุณหวชิร ที่จะมาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ถูกยกให้เป็น “สายตรงบ้านจันทร์ส่องหล้า” เป็นมือทำงานให้กับทั้ง “ทักษิณ-พจมาน” มาอย่างยาวนาน

และยังถูกยกให้เป็นมือนโยบายเบื้องหลัง “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ด้วย ซึ่งในช่วงปี 2558-2559 ระหว่างสืบพยานคดีไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ “ยิ่งลักษณ์” ตกเป็นจำเลย ก็ได้ยื่นชื่อของ “พิชัย” เข้าเป็นพยานไต่สวนปากสำคัญของคดีในฐานะผู้มีความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ คุณวุฒิ เป็นที่ยอมรับของผู้ประกอบวิชาชีพทางด้านบัญชี เพื่อนำสืบประเด็นโครงการรับจำนำข้าวมิได้มีการขาดทุน

“เผ่าภูมิ โรจนสกุล” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง คนรุ่นใหม่ในพรรคเพื่อไทย ที่ก้าวขึ้นมามีบทบาทในพรรคตั้งแต่ช่วงปี 2562 ดูแลด้านเศรษฐกิจ และทีมนโยบาย รวมถึงร่วมเป็นกรรมการบริหารพรรคมาโดยตลอด ผ่านการสนับสนุนโดย “เฮียอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แกนนำคนสำคัญของพรรค ที่เป็น “สายตรงบ้านจันทร์ส่องหล้า”

“พิชิต ชื่นบาน” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นที่รู้จักในฐานะมือกฎหมายตระกูลชินวัตร ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าทีมทนายความทำคดีต่าง ๆ ตั้งแต่รัฐประหารปี 2549 กระทั่งเคยถูกคำพิพากษาจำคุก 6 เดือน ไม่รอลงอาญา จากคดีถุงขนม 2 ล้านบาท

พิชิต ชื่นบาน

มาริษ เสงี่ยมพงษ์
ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ “พิชิต” ซึ่งเป็น สส.บัญชีรายชื่อ เป็นหนึ่งในผู้กลั่นกรองร่างกฎหมายต่าง ๆ ของพรรคก่อนเข้าสู่สภาฯ และเป็นหัวหน้าทีมกฎหมายต่อสู้คดีไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในคดีจำนำข้าวอีกด้วย แม้จะไม่สามารถว่าความได้ด้วยตัวเองก็ตาม

รวมถึง “อดีตทูตปู” มาริษ เสงี่ยมพงษ์ ที่ส้มหล่นได้มาเสียบเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แทน “ปานปรีย์” ก็เป็นอดีตทีมงานหน้าห้องนายกรัฐมนตรี ตึกไทยคู่ฟ้า สมัยนายทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี และ “มาริษ” เป็นข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ทำหน้าที่เสมือนเลขานุการส่วนตัวนายทักษิณ โดยเฉพาะเวลาไปราชการต่างประเทศ ซึ่งขณะที่ “ทักษิณ” ถูก คมช.ทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ระหว่างไปร่วมประชุมยูเอ็นที่สหรัฐอเมริกา ก็มี “ทูตปู” ติดตามอยู่เคียงข้างด้วย

ตัดมาสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ “มาริษ” ก็ถูกส่งมาช่วยงานที่ตึกไทยคู่ฟ้าเช่นกัน เช่นเดียวกับ 7 เดือนเศษในรัฐบาลเศรษฐา ที่ “อดีตทูตปู” มาคอยช่วยงานที่ทำเนียบรัฐบาล และยังเป็น ที่ปรึกษา รมว.ต่างประเทศ ของ “ปานปรีย์” ด้วย

เอาว่าขาเข้า 4 รายที่ว่าไปก็แปะยี่ห้อ “สายตรงจันทร์ส่องหล้า” กลางหน้าผากทั้งสิ้น

มีเพียง “จิราพร สินธุไพร” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หรือรู้จักกันในชื่อ “สส.น้ำ” ที่พื้นเพมาจากสส.ร้อยเอ็ด 2 สมัย ที่ดูห่างไกลความเป็นสายตรงบ้านจันทร์ส่องหล้า แต่หากลงลึกว่า “สส.น้ำ” เป็นบุตรสาวของ นิสิต สินธุไพร อดีต สส.ร้อยเอ็ด อดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน และอดีตแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปช.) แล้ว ก็อาจนับรวมไปได้ด้วย

จังหวะปรับคณะรัฐมนตรีกระชับอำนาจครั้งนี้ ทำให้เห็นภาพการที่ 14 รัฐมนตรีในโควตาพรรคเพื่อไทยแห่แหนกันไปรดน้ำดำหัว “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายดรัฐมนตรี ที่อยู่ระหว่างการพักโทษ ถึง จ.เชียงใหม่ เมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ที่น่าจะบ่งบอกทุกอย่างได้เป็นอย่างดี

ไม่เพียงแค่อิทธิพล “ทักษิณ” เท่านั้น ยังแพร่ไปถึงคนรอบข้างทั้ง “นายหญิงใหญ่” คุณพจมาน ชินวัตร อดีตภริยานายทักษิณ, “นายหญิงแดนไกล” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่อยู่ระหว่างการหนีโทษจำคุกที่ต่างประเทศ และกำลังหาทางกลับบ้านแบบเท่ๆ, “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวนายทักษิณ รวมไปถึง “ลูกอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และบุตรสาวของนายทักษิณ ด้วย

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ การขยับ “พ่อเสริม” เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช จาก รมว.วัฒนธรรม มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งมองว่าเป็นการอัปเกรดกระทรวง ก็มีร่างเงาอิทธิพลของ “นายกฯปู” ให้เห็นรางๆ โดยว่ากันว่าเป็นรีเควสจาก “หัวหน้าป๋อม” ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ บุตรชายนายเสริมศักดิ์ ที่มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับ “ยิ่งลักษณ์“ รวมไปถึง “แพทองธาร” การเดินเกมสลับเก้าอี้ข้ามกระทรวง

คล้ายกับ “จิราพร” ที่ได้รับการโปรโมทเป็นรัฐมนตรีหนอรก ก็ถูกวางตัวให้มาขับเคลื่อนงานซอฟท์พาวเวอร์แทน “หัวหน้าอิ๊ง” ที่เป็นรุ่นราวคราวเดียวกัน

ขณะที่ “เฮียเกรียง” เกรียง กัลป์ตินันท์ ยังเหนียวแน่นกับเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย หลังมีข่าวว่าจะถูกปรับออกมาตลอด ก็มีอิทธิฤทธิ์ของ “เจ๊แดง-เยาวภา” แบ็กอัปให้อีกแรง

เมื่อจำแนกแยกแยะ ครม.เศรษฐา 1/2 ที่เป็นบทสรุป ณ วันนี้ ก็ต้องบอกว่า ล้วนแล้วแต่มีร่องรอย “สายตรงบ้านจันทร์ส่องหล้า”

หรืออาจะเรียกว่าเป็น ครม. “คอ รอ แม้ว” ที่ดูจะมีอิทธิพลทาบทับอิทธิพลของ “นายกฯ นิด” ผู้มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญตัวจริง-เสียงจริง

และยังเป็นอิทธิพลที่เหนือกว่าความสำคัญของคนทำงาน เหนือการยึดโยงโควตา สส.เขต ที่เชื่อว่าจะกลาย “คลื่นใต้น้ำ” ที่รอเวลาสร้างแรงกระเพื่อมอีกครั้งในการปรับคณะรัฐมนตรีรอบหน้า.




กำลังโหลดความคิดเห็น