xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“เลสเตอร์” หวนคืน “พรีเมียร์ลีก” ความมหัศจรรย์จาก “เจ้าสัววิชัย” ถึง “อัยยวัฒน์”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ข่าวใหญ่ข่าวโตในแวดวงกีฬาฟุตบอลทั้งในอังกฤษและในประเทศไทยในห้วงที่ผ่านมา คงหนีไม่พ้นความสำเร็จของ “เลสเตอร์ ซิตี้” ที่สามารถคว้าลีกแชมป์เปี้ยนชิพ ลีกแชมเปี้ยนชิพ สมัยที่ 8 มาครองอย่างเป็นทางการหลังบุกไปถล่ม “เปรสตัน” ขาดลอย 3-0 ประตู เมื่อวันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา และสามารถตีตั๋วหวนคืนสู่ “พรีเมียร์ลีก” ได้สำเร็จ หลังจากตกชั้นไปเพียงแค่ฤดูกาลเดียว

พร้อมทั้งสร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมคว้าแชมเปี้ยนชิพได้มากที่สุดตลอดกาลแซงหน้า “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” ที่เคยทำให้ 7 สมัย โดยเลสเตอร์เคยได้มาก่อนหน้านี้ในฤดูกาล 1924-25, 1936-37, 1953-54, 1956-57, 1970-71, 1979-80 และ 2013-14

แน่นอนว่า ความสำเร็จที่เกิดขึ้นย่อมต้องกล่าวถึง “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” ประธานสโมสร ซึ่งเวลานี้ถูกนำไปเปรียบเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคที่ “เจ้าสัววิชัย ศรีวัฒนประภา” ผู้เป็นพ่อที่สามารถทำสำเร็จมาแล้วได้เช่นกันโดยพาเลสเตอร์ก้าวขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกได้ในปี 2014 หรือเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา

“ในวันนี้ทุกคนคงต้องร่วมเจ็บปวดด้วยกัน แต่เราจะกลับมาให้ได้”อัยยวัฒน์ส่งสารถึงแฟนบอลหลังจบฤดูกาล 2022-23 ที่ต้องตกมาเล่นในลีกแชมเปี้ยนชิพ

และเมื่อทำให้สำเร็จโดยกลับคืนสู่ลีกสูงสุดได้ อัยยวัฒน์ได้บอกเล่าความในใจเอาไว้ว่า “ผมยังจำความรู้สึกระหว่างผมกับพ่อตอนเราเลื่อนชั้นขึ้นมาในปี 2014 ครั้งนี้ ผมเชื่อว่า พ่อยังเป็นกำลังใจให้ผมและมอบพลังให้พวกเราทำสิ่งมหัศจรรย์ในซีซั่นนี้”

อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่า กว่าจะทำได้ “จิ้งจอกสยาม” ก็ต้องเผชิญกับความยากลำบากอยู่ไม่น้อยสำหรับทีมที่เคยอยู่ลีกสูงสุดและต้องตกชั้นไป ไม่ว่าจะเป็นปัญหาตัวผู้เล่น หรือเม็ดเงินใช้ในการทำทีมที่ต้องถูกลดลงไปโดยปริยาย ด้วยตามปกติสโมสรที่เล่นในพรีเมียร์ลีก จะได้เงินค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดขั้นต่ำปีละ 100 ล้านปอนด์ แต่เมื่อร่วงมาอยู่แชมเปี้ยนชิพ สโมสรจะได้เงินค่าลิขสิทธิ์เหลือ 7 ล้านปอนด์ต่อปี แต่ก็ยังโชคดีที่ได้เงินพิเศษ Parachute Payment ที่จะมอบให้กับทีมที่ตกชั้นจากลีกสูงสุดราวๆ 45-50 ล้านปอนด์ รวมกระทั่งถึงตัว “ผู้จัดการทีม” ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของทีม




ทั้งนี้ โจทก์ใหญ่ของเลสเตอร์และอัยยวัฒน์ก็คือ จะหาใครมาแทนที่ “ดีน สมิธ” ซึ่งไม่สามารถทำทีมอยู่รอดบนลีกสูงสุดได้ กระทั่งตกลงปลงใจที่จะไปดึง “เอ็นโซ่ มาเรสก้า” ที่เคยเป็นผู้ช่วยของ “เป๊ป กวาร์ดิโอล่า” เข้ามากู้วิกฤต โดยเซ็นสัญญาคุมทีมเป็นระยะเวลา 3 ปี ซึ่งนับเป็นการเลือกที่ถูกต้อง เพราะต้องยอมรับว่า การทำทีมของ “มาเรสก้า” คือหนึ่งในกุญแจแห่งความสำเร็จของสโมสร

กระนั้นก็ดี ภายใต้ข้อจำกัดในการทำทีมโดยเฉพาะปัญหาเรื่อง “เงิน” ทำให้เลสเตอร์ต้องขายบรรดานักเตะค่าตัวแพงออกไป อาทิ เจมส์ แมดดิสัน, ฮาร์วีย์ บาร์นส์, ยูริ ติเลอม็องส์, จอนนี่ อีแวนส์ และ อโยเซ่ เปเรซ เป็นต้น แต่เลสเตอร์ภายใต้การทำทีมของ “มาเรสก้า” ก็เสริมทัพได้อย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น แฮร์รี่ วิงส์, สเตฟีย์ มาวิดิดี้ และคอเนอร์ โคดี้ เป็นต้น รวมทั้งนักเตะคนสำคัญอย่าง “เจมี่ วาร์ดี้” ผู้ได้รับการขนานนามให้เป็น “เจ้าชายแห่งทัพจิ้งจอกสยาม” ที่รักและตัดสินใจอยู่กับทีมต่อไป ซึ่งบรรดาแฟนๆ ต่างลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า เขาเป็นคีย์แมนที่ทำให้ทีมแข็งแกร่งและประสบความเร็จอย่างที่เห็น

หลังเริ่มต้นฤดูกาล 14 เกมแรกเลสเตอร์เป็นไปอย่างสวยสดงดงาม โดยชนะ 13 เสมอ 0 แพ้ 1 เก็บไป 39 จาก 42 แต้ม นำเป็นจ่าฝูงแบบสบายใจ และหลังจากผ่านไป 32 เกม พวกเขาเก็บแต้มได้ 78 แต้ม ทิ้งห่างอันดับ 2 มากถึง “14 คะแนน” ซึ่ง ณ เวลานั้น ใครๆ ต่างก็พากันฟันธงว่า กับเกมที่เหลืออีก 14 นัดและฟอร์มที่โดดเด่นของทีม น่าจะทำให้เลสเตอร์คว้าแชมป์และเลื่อนชั้นอย่างไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก

ทว่า เรื่องก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด

เกมนัดที่ 33,34 และ 35 เลสเตอร์ แพ้รวด 3 นัดแบบที่ทุกคนตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นและทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ซึ่งก็แน่นอนว่า แฟนบอลจำนวนหนึ่งก็พากันก่นด่า “มาเรสก้า” อย่างสาดเสียเทเสีย แถมต่อมายังแพ้ให้กับมิลล์วอลล์ และ พลีมัธ อาร์ไกล์ สองทีมที่มีคะแนนอยู่ครึ่งล่างของตาราง ส่งผลทำให้สถานการณ์วิกฤติขั้นสุด เพราะมีโอกาสโดน 2 ทีมคู่แข่งคือ “ลีดส์ และอิปสวิช” แซงได้ตลอดเวลา

นอกจากนี้ เลสเตอร์ยังถูกซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลงไปอีก เมื่อถูกพรีเมียร์ลีกตั้งข้อหาว่าฝ่าฝืนกฎการเงิน หรือละเมิดกฎผลกำไรและความยั่งยืน (Profit and Sustainability Rule หรือ PSR) ในช่วง 3 ฤดูกาลหลังสุดที่ยังเล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีก และหากพบว่ามีความผิดจริง อาจมีความเสี่ยงถูกตัดแต้มเหมือนหลายทีมที่โดนไปแล้วก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ตาม อัยยวัฒน์ได้ออกโรงปกป้องสโมสรและต่อสู้อย่างเต็มที่ด้วยเห็นว่า “ไม่เป็นธรรม”

“ผมประหลาดใจมากที่พรีเมียร์ลีกดำเนินการต่อ เลสเตอร์ ซิตี้ ทั้งๆที่ เลสเตอร์ ไม่ได้เล่นในพรีเมียร์ลีกแล้ว โดยฟุตบอลลีกกลับให้ความร่วมมือที่จะลงโทษเราด้วย การกระทำของพรีเมียร์ลีกและฟุตบอลลีกไม่เป็นธรรมและไม่ชอบด้วยกฎหมาย เลสเตอร์ ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีมาโดยตลอด เลสเตอร์จะต่อสู้และปกป้องสิทธิของสโมสร แฟนบอลเลสเตอร์ และทุกคนที่คอยเป็นกำลังให้เราอย่างถึงที่สุด เพื่อทำให้ทุกคนเห็นว่า เลสเตอร์ ซิตี้ ทุกวันนี้ ไม่ได้เป็นแค่สโมสรฟุตบอล แต่เป็นแรงบันดาลใจให้แฟนบอลและคนจำนวนมากที่จะต่อสู้โดยไม่ยอมแพ้ เพื่อทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ถึงแม้จะเกิดเหตุการณ์อะไร เราก็จะทำหน้าที่เจ้าของทีมให้ดีที่สุดและจะเลื่อนชั้นกลับไปพรีเมียร์ลีกให้ได้”อัยยวัฒน์กล่าว

ในที่สุดการต่อสู้ของเลสเตอร์ก็เป็นผล เมื่ออนุญาโตตุลาการของสมาคมฟุตบอลอังกฤษตัดสินให้เลสเตอร์ชนะข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยประกาศชัดเจนว่า สมาคมฟุตบอลลีกอังกฤษ หรือ EFL ไม่มีสิทธิหักคะแนนในฤดูกาล 2023-24 เนื่องด้วยการกำหนดบทลงโทษอย่างเร่งด่วนก่อนวันที่ 4 พฤษภาคม 2567 ซึ่งเป็นการแข่งขันนัดสุดท้ายของเลสเตอร์ในฤดูกาลนี้นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย

แม้จะผ่านพ้นมาได้ แต่มรสุมที่ต้องเผชิญรวมทั้งปัญหาสารพัดสารพันที่รุมเร้าเข้ามาส่งผลต่อเลสเตอร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อเดินทางมาเกมนัดชี้ชะตาที่สำคัญคือ เกมนัดที่ 43 ซึ่งต้องเจอกับเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน เพราะพวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ “แพ้ไม่ได้” ขณะที่บรรดาแฟนบอลก็ไม่พอใจที่ทีมทำไม่ได้ดั่งใจ






ก่อนเกมจะเริ่ม “อัยยวัฒน์” ถึงกับต้องเขียนจดหมายลงหน้าเพจของสโมสร ความว่า

“เราเข้าสู่ช่วงสำคัญของฤดูกาล ซึ่งเป็นการต่อสู้เพื่อคว้าสิทธิ์เลื่อนกลับไปเล่นในพรีเมียร์ลีก ตอนนี้เรามุ่งหน้าสู่ 4 เกมสุดท้ายที่ชี้เป็นชี้ตาย ผมจึงอยากขอใช้โอกาสนี้ พูดคุยกับแฟนบอลทุกคนโดยตรง ศึกแชมเปี้ยนชิพ เป็นการแข่งขันที่ยาวนาน และที่ผ่านมาพวกเราได้สู้กันจนสุดพลัง เพื่อที่จะอยู่ในตำแหน่งที่สามารถกำหนดชะตาชีวิตได้ด้วยมือตัวเอง ดังนั้นตอนนี้เราทุกคนต้องรวมใจกันไว้ สู้ด้วยกัน ทั้งนักเตะ สตาฟฟ์ และกองเชียร์ เราต้องทำทุกอย่างเพื่อที่จะก้าวผ่านเส้นชัยไปให้ได้

“3 จาก 4 เกมที่เหลือ เราเล่นที่นี่ ที่สนามคิงเพาเวอร์ มันเป็นโอกาสทอง ที่เราต้องคว้ามาครองให้ได้ ดังนั้นส่งกำลังใจให้ทีมของเรา ด้วยพลังทั้งหมดที่คุณมี ถ้าเกิดสถานการณ์ดี เราได้เปรียบคู่แข่ง ให้ใช้พลังนั้นกดดันหนักๆ จนอีกฝ่ายเป๋ไปเลย แต่ถ้าเราพลาดพลั้งขึ้นมา ให้ใช้พลังเชียร์ของเราในการดึงทีมขึ้นมาจากเหวเพื่อสู้ต่อ คู่ต่อสู้ของเราต้องหวาดกลัวแน่ๆ ที่ไม่สามารถทำลายจิตใจอันแข็งแกร่งของเราได้ พวกเขาจะไม่สามารถทำลายความเป็นหนึ่งเดียวกันของเรา ความเชื่อมั่นของเรา เพราะจิ้งจอกฝูงนี้ไม่เคยยอมแพ้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

“จากเสียงนกหวีดแรก ถึงนกหวีดสุดท้าย เราต้องการทุกคนให้กลายเป็นผู้เล่นคนที่ 12 เพื่อช่วยซัพพอร์ททีม และช่วยทำให้คู่แข่งของเราเจอความยากลำบากอย่างที่สุด ผมอยากให้คู่แข่งของเรากลับบ้านไปโดยรู้สึกว่า 'แฟนบอลคือส่วนสำคัญที่ทำให้การแข่งออกมาเป็นแบบนี้' ดังนั้นนักเตะและแฟนบอล ถ้าเรารวมพลังกัน และใช้หัวใจทุกสิ่งทุกอย่างในสนาม เราจะได้ผลลัพธ์ที่เราต้องการ

“เรามาทำงานหนักในส่วนของพวกเรา และสู้ไปกับนักเตะนะ เพราะ Foxes. Never. Quit. ฝูงจิ้งจอกไม่มีวันยอมแพ้”

และสุดท้ายพวกเขาก็เอาชนะเวสต์บรอมวิชไปได้ จากนั้นก็เก็บชัยชนะในนัดที่เหลือไปได้อย่างสบายๆ โดยผลงานในลีก เลสเตอร์ ลงแข่งไปทั้งหมด 45 นัด ชนะได้ 31 นัด เสมอ 4 นัด และแพ้ไป 10 นัด ยิงได้ 89 ประตู เสียไป 39 ประตู ผลต่างประตูได้เสีย +50 และเก็บได้ถึง 97 คะแนน

“การกลับมาเป็นผู้ชนะคือความสำเร็จที่มหัศจรรย์ หลังจากการแข่งขันที่ยากลำบากและเข้มข้น ในท้ายที่สุด เราก็ทำได้ และเราได้นำสโมสรแห่งนี้ไปยังจุดที่สมควรจะอยู่” เอ็นโซ่ มาเรสก้า บอกกล่าวรู้สึก

ถึงตรงนี้ เป้าหมายสำคัญของ “เลสเตอร์” ภายในการนำทัพของ “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” หลังเลื่อนชั้นมาแล้ว ก็คือการประสบความสำเร็จในพรีเมียร์ลีก ส่วนจะถึงขั้นสามารถก้าวขึ้นไปสู่แชมป์ลีกสูงสูงสุดของประเทศอังกฤษเฉกเช่นเดียวกับที่ “เจ้าสัววิชัย” ทำได้มาแล้วหรือไม่ คงต้องติดตามกันต่อไป.




กำลังโหลดความคิดเห็น