ภาพหน้าจอทั้งโทรทัศน์และโซเชียลมีเดียต่างๆ สะท้อนถึงความโหดร้ายที่กองทัพอิสราเอลได้เข่นฆ่าชาวปาเลสไตน์เข้าสู่วันที่ 200 ในอาทิตย์นี้ ทั้งระเบิดด้วยขีปนาวุธฆ่าพลเรือนชาวปาเลสไตน์ที่ไม่มีอาวุธใดๆ ทั้งสิ้น หรือถูก Snipers ของกองกำลังความมั่นคงของอิสราเอล จงใจยิงผู้สื่อข่าวทั้งจากต่างประเทศและที่เป็นชาวปาเลสไตน์เอง (ตายไปกว่า 200 คนใน 200 วัน) เพื่อไม่ให้รายงานความชั่วร้ายของกองทัพอิสราเอลไปยังโลกภายนอกได้รับรู้ และเหล่าเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครองค์กรความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นของยูเอ็นคือ UNRWA, กาชาดสากล, เสี้ยววงเดือนแดง, ครัวกลางของโลก (WCK-World Central Kitchen) เป็นต้น ที่ต้องมาจบชีวิตลงจากการถูกกราดยิงหรือโดนระเบิดจาก IDF ตายไปกว่า 200 คนในเวลา 200 วัน
ทำให้เหล่ากลุ่มญาติของตัวประกันชาวอิสราเอลที่ยังถูกกักตัวจากฮามาส (เพื่อเอาไว้แลกตัวประกัน) ได้ชุมนุมกันหน้าบ้านนายกฯ เนทันยาฮู และที่เยรูซาเลมเพื่อกดดันให้รัฐบาลเนทันยาฮูลาออก เพราะครบ 200 วันแล้ว แต่ญาติๆ ของพวกเขาก็ยังไม่ได้รับความคืบหน้าที่รัฐบาลเนทันยาฮูคว้าน้ำเหลว-ไม่สามารถพาพวกเขากลับมาบ้านได้ และมีแต่จะทยอยตายจากไปจากการที่ทหาร IDF กราดยิงระเบิดจนอาคารที่ซ่อนตัวของตัวประกันเหล่านี้พังทลายลงมา ถึงมีรายงานข่าวลับที่ครม.สงครามของเนทันยาฮูต้องแจ้งให้ครอบครัวตัวประกันเหล่านี้ทราบถึงการพบศพตัวประกันเหล่านี้ ในท่ามกลางอาคารที่พังทลายจากแรงระเบิด
จนขณะนี้ ไม่มีการยืนยันว่า ตัวประกันยังรอดมีชีวิตเหลืออยู่กี่คน
น่าห่วงใยคนงานไทยที่ยังไม่ได้รับการปล่อยตัวออกมาเช่นกัน และยังไม่มีข่าวว่า ยังอยู่กันครบหรือไม่
นายกฯ เนทันยาฮูตอบบรรดาเหล่าญาติตัวประกันว่า เขาไม่เห็นด้วยที่จะให้จัดการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่ เพราะจะเป็นการเสียเวลาอันมีค่า ที่เขาจะต้องรีบทำศึกเพื่อปราบฮามาสให้สิ้นซาก แล้วค่อยจัดการเลือกตั้งใหม่
ทั้งๆ ที่ความจริงคือเหล่าบรรดาญาติตัวประกันมองไม่เห็นหนทางที่จะได้พบญาติๆ พวกเขาได้กลับมาอย่างมีชีวิต ตราบเท่าที่เนทันยาฮูยังไม่ยอมเจรจาแลกเปลี่ยนตัวประกัน...หากแต่ทำการบุกทำลายบ้านเรือนและกราดยิงสังหารหมู่โดยไม่ยอมหยุดยิงแม้ในช่วงรอมฎอนด้วยซ้ำ
ก็เพื่อยืดอายุความเป็นนายกฯ เนทันยาฮูต่อไป เพื่อนายกฯ เนทันยาฮูจะไม่ต้องไปขึ้นศาลกับข้อหาคอร์รัปชัน 4 คดี ที่ทำให้เกิดการเดินขบวนกดดันให้เขาลาออกตลอด 1 ปี (ก่อนหน้า 7 ตุลาคม)
รวมทั้งข้อหาฉกรรจ์ที่เขาทำให้บ้านเมืองแตกแยกสาหัส จนแม้แต่ระบบข่าวกรองที่ฮามาสจะบุกในช่วงเช้าวันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม นายกฯ ก็ตกข่าวกรองสำคัญชิ้นนี้ เพราะเกิดความแตกแยกทั้งในกองทัพ, ทั้งข้าราชการพลเรือน และระบบตุลาการ
เนทันยาฮูออกมาโกหกอย่างแผ่นเสียงตกร่องว่า IDF พยายามหลีกเลี่ยงอย่างที่สุดที่จะยิงระเบิดไปโดนพลเรือนปาเลสไตน์บาดเจ็บล้มตาย บ้านเรือนพังพินาศ รวมทั้งการยิงเหล่านักข่าวและอาสาสมัครองค์กรช่วยเหลือต่างๆ ยิ่งชาวตะวันตกที่เป็นอาสาสมัครต้องตายจากกระสุนระเบิดที่ส่งมาจากรัฐบาลตะวันตกด้วย
จึงเกิดปรากฏการณ์ประท้วงตามแคมปัสของมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐฯ ยังกะครั้งต่อต้านสงครามเวียดนาม เพื่อประท้วงนโยบายของรัฐบาลไบเดน ที่ยังยืนกระต่ายขาเดียวว่า ยังมั่นคงยืนหยัดสนับสนุนรัฐบาลอิสราเอลในการปราบเหล่าฮามาสให้สิ้นซาก ด้วยการส่งอาวุธและความช่วยเหลือมาให้อย่างคงเส้นคงวา...นี่เพิ่งผ่านงบก้อนโตให้ 26,000 ล้านเหรียญไปช่วยล่าสุด
เมื่อช่วง 1968-70 มีการประท้วงในแคมปัสใหญ่ๆ ทั้งต่อต้านการที่นักศึกษาชายจะถูกบังคับเกณฑ์ทหารไปรบในเวียดนาม เพื่อต่อสู้กับการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ นำโดยเวียดนามเหนือ...เพราะกลุ่มนักศึกษามองว่าเป็นสงครามที่ไม่เป็นธรรม เนื่องจากเวียดนามเหนือต้องการรวมชาติกับเวียดนามใต้ เพื่อขจัดอิทธิพลการครอบครองของกองทัพสหรัฐฯ ที่ใช้ทั้งอาวุธสงครามที่ทำให้พลเรือนเวียดนามตายกันเป็นเบือ รวมทั้งอาวุธสารเคมีเช่น ฝนเหลืองอันทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์จนพิกลพิการไปหลายชั่วอายุคน
นอกจากแคมปัสที่ฮาร์วาร์ด, เยล, คอร์เนลล์, โคลัมเบีย, เบิร์กลีย์ เป็นต้นในครั้งนั้น ก็ยังมีที่มหาวิทยาลัย Kent รัฐโอไฮโอ ซึ่งผู้บริหารมหาวิทยาลัยและผู้ว่าการรัฐโอไฮโอได้เรียกทหารรักษาดินแดนเข้ามาตั้งกองกำลัง (พร้อมอาวุธสงคราม) เพื่อเผชิญหน้าบังคับนักศึกษาให้เลิกยึดแคมปัส (ตึกอำนวยการ) จึงเกิดการปะทะแบบ 14 ตุลาฯ และ 6 ตุลาฯ ของบ้านเรา
ฝ่ายทหารรักษาดินแดนยิงนักศึกษาตายไป 4 คน และบาดเจ็บเป็นหลายสิบคน...ยิ่งเร่งทำให้เกิดการยึดแคมปัสขยายวงลามไปทั่วสหรัฐฯ และไปถึงยุโรปด้วย
วันนี้ กลุ่มนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย, นิวยอร์ก, เยล ได้จัดชุมนุมประท้วงนโยบายรัฐบาลที่ส่งอาวุธไปเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่กาซา...ฝ่ายบริหารมหาวิทยาลัยได้เรียกตำรวจเข้ามาปะทะนักศึกษาให้เลิกประท้วง และจับกุมหลายร้อยคน
การประท้วงกำลังขยายวงไปยังมหาวิทยาลัยมิชิแกน (เป็นรัฐที่มีอเมริกันอาหรับพำนักอยู่หนาแน่น) รวมทั้งที่เบิร์กลีย์ (เจ้าประจำในด้านการประท้วงนโยบายของรัฐบาลกลาง) และไปถึงมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย ข้อเรียกร้องให้รัฐบาลเลิกส่งอาวุธไปให้รัฐบาลสงครามของอิสราเอล และให้ปล่อยตัวเพื่อนนักศึกษาทั้งหมดที่ถูกจับกุม
ในช่วง 1960’s มีดาราดังๆ เช่น Jane Fonda ที่ออกมารณรงค์เห็นใจกองทัพเวียดนามเหนือที่ต่อสู้เพื่อปลดปล่อยเวียดนามจากการยึดครองของสหรัฐฯ
วันนี้กลุ่มดาราฮอลลีวูดเริ่มทยอยออกมาตั้งแต่ Susan Sarandon, Angelina Jolie ในช่วงแรกๆ ของสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่กาซา ซึ่งอิทธิพลของธุรกิจยิวที่ควบคุมอุตสาหกรรมบันเทิงและภาพยนตร์ได้เชือดไก่ให้ลิงดู โดย agent ของซูซาน ซาราดอน ได้ตัดเชือกเธอออกจากบริษัทเอเยนต์เรียบร้อยแล้ว
แต่ในงานคืนออสการ์วันที่ 10 มีนาคม ก็มีผอ.สร้างภาพยนตร์ชาวอังกฤษ Jonathan Glazer เขาเป็นคนยิวด้วยที่เข้ารับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมชื่อ “The Zone of Interest” ได้กล่าวอย่างเห็นอกเห็นใจต่อชาวกาซา จนทำให้เกิดคลื่นนักเขียนและผู้คนในวงการบันเทิงที่เข้าข้างฝ่ายรัฐบาลอิสราเอล ได้ออกมาโจมตีสุนทรพจน์รับรางวัลของ Glazer
พร้อมกับมีกลุ่มบุคคลในวงการบันเทิงอีกจำนวนหนึ่งเช่นกัน ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกสนับสนุนคำพูดของ Glazer ด้วย
ครั้งนี้ ผู้คนที่ออกมาสนับสนุนปาเลสไตน์ โดยต่อต้านนโยบายของไบเดนและชาติตะวันตก (นำโดยจี 7) จะกล้าออกมาแสดงความคิดเห็น รวมทั้งเจ้าหน้าที่หลายคนในกระทรวงการต่างประเทศ, กระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ที่ประกาศลาออกเพราะไม่สามารถทำตามนโยบายของรัฐบาลไบเดนที่ส่งอาวุธไปฆ่าชาวปาเลสไตน์ได้อีกต่อไป