ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - อาถรรพ์ “หมื่นดิจิทัล” แรงจริง อุตส่าห์ทะลุทะลวงแหก “ด่านแบงก์ชาติ - กฤษฎีกา-ป.ป.ช.” พ้นแล้ว ยังมาเจอ “ด่านเงินกู้ ธ.ก.ส.” ที่มีคำถามกันอื้ออึงว่าทำได้หรือไม่ได้ เพราะอาจผิดวัตถุประสงค์ของแบงก์ ผู้บริหาร ธ.ก.ส. มีความเสี่ยงอาจได้ย้ายบ้านไปนอนคุก และไม่แน่ว่าอาจต้องวนกลับไปให้กฤษฎีกาตีความอีกครั้ง
ต้องนับว่าการล้วงเอาเงินธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) วงเงิน 172,300 ล้านบาท มาใช้ในโครงการดิจิทัล วอลเลต ของรัฐบาลเพื่อไทย เพื่อแจกให้ “ประชาชนกลุ่มทำอาชีพการเกษตร” หรือเกษตรกร กว่า 17 ล้านคนเศษ จากกลุ่มเป้าหมายโครงการประมาณ 50 ล้านคนเศษนั้น เป็นการตีความสุดพิสดาร หรือแบบ “ศรีธนญชัย” ไต่เส้นไม่ให้ขัดต่อวัตถุประสงค์การจัดตั้ง ธ.ก.ส.
ด้วยความที่ “ไต่เส้น” สุดพิสดารจึงมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมา ถึงกับมีการก่อกระแสแห่ถอนเงินจาก ธ.ก.ส. กันเลยทีเดียว โดยน้ำหนักในการทักท้วงอยู่ที่ข้อกังวลของสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (สร.ธ.ก.ส.) ซึ่งขอให้ส่งเรื่องให้หน่วยงานกำกับดูแล ธ.ก.ส. ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พิจารณาว่ารัฐบาลสามารถกู้เงิน ธ.ก.ส. ไปดำเนินการโครงการ Digital wallet ได้หรือไม่ พร้อมกับขอให้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกา พิจารณาข้อกฎหมายว่า รัฐบาลสามารถกู้เงิน ธ.ก.ส.ไปดำเนินการโครงการ Digital wallet ได้หรือไม่
สร.ธ.ก.ส. ยังย้อนเหตุการณ์เมื่อปี 2557 ว่า มีฝ่ายการเมืองของ “รัฐบาลรักษาการ” ขณะนั้น พยายามกดดันให้บอร์ด ธ.ก.ส. อนุมัติเงินสภาพคล่องของธนาคาร 5 หมื่นล้านบาท นำไปจ่ายให้เกษตรกรที่ถือใบประทวนในโครงการรับจำนำข้าวเปลือก โดยไม่มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) รองรับ คล้าย ๆ จะบอกนัยต่อสังคมว่า ธ.ก.ส. กำลังเจอแรงกดดันให้ปล่อยกู้สำหรับโครงการแจกหมื่นดิจิทัล หรือไม่
ทางฝ่ายผู้บริหาร ธ.ก.ส. ไม่อาจนิ่งเฉย ออกประกาศชี้แจงโดยมีความตอนหนึ่งว่า โครงการดิจิทัล วอลเลต เป็นอีกหนึ่งโครงการของรัฐบาลที่ ธ.ก.ส.อยู่ระหว่างการประสานงานในรายละเอียดที่จะดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมายและการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม ซึ่งเป็นท่าทีคล้ายฝ่ายบริหารไม่ได้ละเลยข้อทักท้วงโดยจะทำให้รอบคอบ แต่ไม่ได้ตอบรับว่าจะส่งเรื่องไปให้กฤษฎีกาตีความ หรือส่งให้ สคร. และ แบงก์ชาติ พิจารณาเสียก่อน หรือไม่
เรื่องนี้ ทางรัฐบาลเองคงไม่ต้องการให้ ธ.ก.ส.ทำเช่นนั้น ไม่งั้นจะเหมือนพายเรือวนในอ่าง และกรณีเลวร้ายสุดหากถูกตีความว่า ธ.ก.ส. จะปล่อยกู้ให้โครงการดิจิทัล วอลเลต ไม่ได้ ก็คงเป็นเรื่องใหญ่ ไทม์ไลน์ที่รัฐบาลวางไว้แจกแน่ไตรมาส 4 ปีนี้ก็คงสะดุดอีกครั้ง
ขณะที่ทางกระทรวงการคลัง ซึ่งต้องตอบสนองนโยบายของรัฐบาลขานรับขึงขัง ธ.ก.ส. ปล่อยกู้ให้ได้ ไม่ผิดกฎกติกาแต่อย่างใด
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ยืนยันว่าตรวจสอบอำนาจหน้าที่ของ ธ.ก.ส. แล้วสามารถทำได้ และสภาพคล่อง ธ.ก.ส. มีเพียงพอ แต่ต้องรอให้งบประมาณปี 2568 ผ่านก่อน ส่วนการใช้เงินคืนให้กับ ธ.ก.ส. เป็นกระบวนการทางงบประมาณที่รัฐบาลได้ตั้งงบเพื่อใช้คืนธนาคารของรัฐเป็นระยะ ๆ ตามความเหมาะสมของงบประมาณในแต่ละปี
สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2567 ที่อยู่ระหว่างประกาศในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้ ในส่วนของการใช้หนี้คืน ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ ปี พ.ศ. 2561 มาตรา 28 วงเงินรวมทั้งสิ้น 81,481 ล้านบาท โดยในส่วนสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ภายใต้กระทรวงการคลัง จำนวน 79,106 ล้านบาทนั้น นำมาใช้หนี้ ธ.ก.ส. มากที่สุด จำนวน 65,595 ล้านบาท แบงก์ออมสิน 5,891 ล้านบาท เอสเอ็มอีแบงก์ 340 ล้านบาท บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) 6,443 ล้านบาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จำนวน 725 ล้านบาท และเอ็กซิมแบงก์ 108 ล้านบาท
ปลัดกระทรวงการคลัง ให้ความเชื่อมั่นว่า หนึ่ง ตามอำนาจหน้าที่ ธ.ก.ส.ปล่อยกู้ให้ได้ สอง ธ.ก.ส.มีสภาพคล่องเพียงพอ และสาม รัฐบาลวางแผนทยอยจ่ายคืนหนี้โดยใช้งบประมาณประจำปีตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐมาตรา 28
ทว่า ในมุมของ ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ระบุ หากตีความว่า ธ.ก.ส.ดำเนินการได้ จะเป็นการเปิดประตูขึ้นมาใหม่ต่อการดำเนินการของ ธ.ก.ส. ไม่ต้องเป็นกิจการที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรก็ได้ เพียงแค่ผู้รับเป็นเป็นเกษตรกรก็ถือว่าให้ได้แล้ว แบบนี้จะกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ที่รัฐบาลจะหยิบใช้เงินจาก ธ.ก.ส. ได้
เป็นการตอกย้ำอีกครั้งของหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคก้าวไกล ที่มองว่าการใช้ช่องทางตามมาตรา 28 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการแจกเงินดิจิทัล “ต้องตีลังกาตีความ” หรือ “อาศัยการไต่เส้นตีความ” เพื่อให้ ธ.ก.ส. แจกเงินดิจิทัล ซึ่งในตอนเปิดอภิปรายทั่วไปเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2567 ก็ซักถามกันแล้วว่าหากใช้วิธีนี้อาจไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของ ธ.ก.ส. เพราะวัตถุประสงค์การดำเนินงานตามพระราชบัญญัติ ธ.ก.ส. ในมาตรา 9 (3) เขียนไว้ชัดเจนว่า ให้เป็นสถาบันการเงินเพื่อการพัฒนาชนบท และธุรกรรมต่าง ๆ ต้องเป็นไปเพื่อทำให้เกิดการสร้างผลผลิต ลดต้นทุนเกษตรกร
ยังมีเสียงเตือนรัฐบาลจาก นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเคยนั่งเป็นอดีตประธาน ธ.ก.ส. ว่าให้ระวังการใช้เงิน ธ.ก.ส.ผิดวัตถุประสงค์ เช่นเดียวกัน เนื่องจากว่าตาม พ.ร.บ. ธ.ก.ส.นั้น ในหมวด 2 มาตรา 9 ได้ระบุวัตถุประสงค์ของ ธกส. ไว้ถึง 17 ข้อ โดย “การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่เกษตรกร..สำหรับการประกอบอาชีพเกษตรกรรม” น่าจะเป็นวัตถุประสงค์หลัก และยังมีวัตถุประสงค์อื่นๆ อีก 16 ข้อ ว่า ธกส. ทำอะไรได้บ้าง ทุกข้อโยงกับการส่งเสริมเกษตรกรในบริบทการทำอาชีพเกษตรกรรม ไม่ชัดเจนว่ามีข้อไหนเปิดให้ ธ.ก.ส.ปล่อยกู้ให้รัฐบาลนำมาแจกประชาชนได้ แม้ว่าบางคนมีอาชีพเกษตรกรรมก็ตาม เพราะวัตถุประสงค์การแจกเงินดิจิทัลประกาศชัดเจนว่าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และเพื่อการบริโภค ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการเกษตร และนับตั้งแต่มี พ.ร.บ.วินัยทางการคลัง ปี 2561 มาตรา 28 ย้ำชัดเจนว่ารัฐบาลจะใช้เงินของรัฐวิสาหกิจโดยขัดหรือไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ไม่ได้
“....เรื่องนี้ต้องดูให้ดี ประเด็นนี้ตรงกับที่แบงก์ชาติได้ออกมาเตือน ....” อดีตประธาน ธ.ก.ส. ระบุ
ก่อนหน้านี้ ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แสดงความเป็นห่วงถึงแหล่งที่มาของเงินที่ใช้ในโครงการดิจิทัล วอลเลต ต้องผ่านหลักเกณฑ์และกระบวนการให้ถูกต้องครบถ้วนตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ เพื่อไม่ให้กระทบทั้งต่อเสถียรภาพและด้านสภาพคล่อง
มีรายงานว่า ในการประชุมคณะกรรมการเงินดิจิทัลวอลเล็ต ชุดใหญ่ เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2567 ซึ่งมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน นั้น ตัวแทนจากแบงก์ชาติที่เข้าร่วมประชุม คือ นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน เข้าร่วมประชุมแทน ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ซึ่งติดภารกิจประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ตั้งข้อสังเกตถึงแหล่งเงินในโครงการดิจิทัล วอลเลต ซึ่งใช้เงินกู้จาก ธ.ก.ส. ว่าเป็นไปตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561มาตรา 28 หรือไม่ ธปท.แสดงความเป็นห่วง และมองว่าจะผิดวัตถุประสงค์ แต่ปลัดกระทรวงการคลัง ยืนยันว่าทำได้
ดร.ศักดิ์ณรงค์ ศิริพร ณ ราชสีมา รองเลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย อดีตนักวิชาการ ธ.ก.ส. ตั้งข้อสังเกตในทำนองเดียวกันว่า แม้ ธ.ก.ส. จะเป็นหน่วยงานของรัฐ ซึ่งรัฐบาลสามารถใช้กลไกภายใต้ พ.ร.บ. การเงินการคลัง มาตรา 28 เชื่อมโยงกับ พ.ร.บ. ธ.ก.ส. มาตรา 9 (3) มาเป็นข้ออ้างความชอบธรรมตามกฎหมายที่เห็นว่าเปิดช่องให้กระทำได้นั้น คำถามที่ต้องหาคำตอบก็คือ ทำได้จริงหรือไม่ ซึ่งควรให้กฤษฎีกา ธปท. และ สคร. พิจารณาให้ชัดเจนเสียก่อนว่า ธ.ก.ส.จะปล่อยกู้ให้รัฐบาลนำไปใช้ในโครงการดิจิทัล วอลเลต ได้หรือไม่ ตามข้อเรียกร้องของสหภาพฯ ธ.ก.ส.
สำหรับประเด็นที่ว่า ธ.ก.ส.มีสภาพคล่องเพียงพอหรือไม่นั้น ปลัดกระทรวงการคลัง ยืนยันว่ามีเพียงพอต่อการดำเนินนโยบาย แต่สำหรับหัวหน้าทีมเศรษฐกิจก้าวไกล ตั้งคำถามว่า ธ.ก.ส.มีเงินสดหมุนเวียนอยู่กว่า 3 แสนล้านบาทนั้น เมื่อรัฐบาลจะเอามาแจกดิจิทัล วอลเลต อาจกระทบกับโครงการอื่น ๆ หรือการปล่อยกู้ให้เกษตรกรหรือไม่ และจะกระทบกับแผนงานของ ธ.ก.ส. ที่ทำอย่างต่อเนื่อง เช่น พักหนี้เกษตรกร หรือจ่ายเงินให้ชาวนา วงเงินรวมกว่า 60,000 ล้านบาท หรือไม่
อย่างไรก็ดี ในมุมมองของ รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง และอดีตกรรมการและประธานกรรมการบริหารความเสี่ยง ธ.ก.ส. คาดการณ์ว่ารัฐบาลอาจต้องขยับเพดานภาระผูกพันตามมาตรา 28 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ เป็น 35% ของงบประมาณในอนาคตหากต้องใช้มาตรการกึ่งการคลังดูแลเศรษฐกิจเพิ่มเติม เพราะการใช้สภาพคล่องและกู้เงินจาก ธ.ก.ส.เพื่อใช้ในโครงการดิจิทัล วอลเลต จะทำให้ภาระผูกพันตามมาตรา 28 แตะเพดาน 32% ของงบประมาณที่ขยับลงมาจากระดับ 35% ก่อนหน้านี้
สำหรับ ธ.ก.ส. เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่ต้องปฏิบัติตามพันธกิจที่กำหนดไว้ตามกฎหมายและตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาล การใช้สภาพคล่องของ ธ.ก.ส. สนับสนุนโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเลต รศ.ดร.อนุสรณ์ บอกว่าสามารถทำได้บนเงื่อนไขที่มั่นใจว่า ธ.ก.ส.มีสภาพคล่องเพียงพอโดยไม่กระทบต่อการดำเนินงานตามพันธกิจสำคัญ และต้องทำให้เกิดความมั่นใจต่อการดำเนินงานของ ธ.ก.ส. ไม่มีการถอนเงินฝากออกไปมากกว่าปกติ
นอกจากนั้น ต้องบันทึกบัญชีแยกออกจากกันอย่างชัดเจนระหว่างบัญชีดำเนินการตามปรกติ และบัญชีดำเนินการเพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐ โดยเฉพาะโครงการดิจิทัล วอลเลต รวมทั้งมีแผนการชำระเงินคืนและชดเชยรายได้จากการดำเนินการแจกเงินดิจิทัลให้เกษตรกร อย่างชัดเจนอย่างน้อยปีละ 4-5 หมื่นล้านบาท เงินที่เกษตรกรได้รับแจกไปจาก ธ.ก.ส.ควรนำไปประกอบอาชีพเพื่อเพิ่มรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิต
รศ.ดร.อนุสรณ์ ย้ำเตือนต้องไม่ลืมว่าการแจกเงินดิจิทัลวอลเลต ผ่านการใช้สภาพคล่อง ธ.ก.ส. เป็นการดำเนินการมาตรการกึ่งการคลังและก่อภาระผูกพันผ่านหน่วยงานของรัฐ ซึ่งต้องอยู่ในกรอบมาตรา 28 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ เพื่อควบคุมไม่ให้รัฐบาลใช้จ่ายเงินเกินตัว และพึงตระหนักว่าภาระผูกพันเหล่านี้จะกลายเป็นหนี้สาธารณะได้หากรัฐบาลไม่สามาถเก็บภาษีหรือหารายได้เพิ่มขึ้นได้ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม หากส่องงบดุลและหนี้ที่รอชดเชยจากรัฐบาลงวด 9 เดือน ปีบัญชี 2566 (ณ 31 ธันวาคม 2566) พบว่า ธ.ก.ส. มีสินทรัพย์รวม 2,244,588.99 ล้านบาท เป็นรายการเงินสด 20,724.59 ล้านบาท, เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้และดอกเบี้ยรับสุทธิ 1,154,250.77 ล้านบาท, เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ตามธุรกรรมนโยบายรัฐและดอกเบี้ยค้างรับสุทธิ 71,087.52 ล้านบาท และลูกหนี้รอชดเชยจากรัฐบาลตามธุรกรรมนโยบายรัฐ 619,173.81 ล้านบาท
ส่วนหนี้สินรวม 2,089,368.84 ล้านบาท สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) มีจำนวน 89,961 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อทั้งหมด 5.43% โดยเป็น NPL สินเชื่อตามธุรกรรมนโยบายรัฐ 9,331.64 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อตามธุรกรรมนโยบายรัฐ 9.34%
สำหรับบัญชีลูกหนี้รอชดเชยจากรัฐบาลตามธุรกรรมนโยบายรัฐ จำนวน 619,173.81 ล้านบาท พบว่า รัฐบาลมีหนี้สินค้างชำระ ธ.ก.ส. ในโครงการรับจำนำสินค้าเกษตร (รวมทุกผลผลิตการเกษตร) ปีการผลิต 2552 ปีการผลิต 2554/55 ปีการผลิต 2555/56 และปีการผลิต 2556/57 รวมทั้งสิ้น 236,306 ล้านบาท
ทั้งนี้ รายงานในเอกสารประกอบคำชี้แจงงบประมาณของสถาบันการเงินเฉพาะกิจต่อ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ประจำปี 2566 ในส่วนยอดคงค้างภาระที่รัฐต้องรับชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ ตามมาตรา 28 ของ พ.ร.บ.การเงินการคลัง 2561 พบว่า ธ.ก.ส. มียอดคงค้างที่รัฐต้องรับชดเชยมากที่สุดจำนวน 885,327 ล้านบาท คิดเป็นกว่า 83% ของยอดคงค้างทั้งหมดกว่า 1 ล้านล้านบาท
หากรัฐบาลจะหยิบยืมเงินจาก ธ.ก.ส.มาแจกในโครงการดิจิทัล วอลเลต อีก 172,300 ล้านบาท นั่นหมายถึงเม็ดเงินที่รัฐต้องจ่ายคืนให้กับ ธ.ก.ส. พุ่งทะลุ 900,000 ล้านบาท เลยทีเดียว …จะไหวกันไหม?
นอกจากเรื่องเงินกู้ ธ.ก.ส. แล้ว ยังมีข้อห่วงกังวลที่แบงก์ชาติทักท้วงมาตลอด คือ ต้องการให้ทำเฉพาะกลุ่มเพื่อสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ และไม่ส่งผลต่อเสถียรภาพทางการคลังมากเกินไป หากการใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มขึ้น หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นจะปรับลดลงอย่างไร
อีกเรื่องคือระบบการชำระเงินซึ่งเป็นระบบเปิดใหม่ และเป็นแบบOpen Loop ซึ่งมีความซับซ้อน ใช้เวลา ใช้ทรัพยากรในการทำ โดย ธปท.อยากเห็นระบบที่มีความเสถียรและปลอดภัย รวมทั้งต้องดูแลข้อมูลส่วนบุคคลได้ และป้องกันในเรื่องของภัยไซเบอร์ เพราะอาจมีผลต่อเสถียรภาพระบบการชำระเงิน
กว่านโยบายเรือธงจะกางใบ กว่าเม็ดเงินแจกดิจิทัล วอลเลต จะลงถึงมือประชาชนในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ยังต้องฝ่าฟันอีกหลายด่าน รอลุ้นกันยาวไป