"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
หากถามว่า ใครคือนักวิชาการรัฐศาสตร์สองคนที่มีอิทธิพลในระดับแนวหน้าในโลกทางวิชาการ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการศึกษาเรื่องอำนาจและการตัดสินใจในทศวรรษ 1960 และ 1970 คำตอบคือ ปีเตอร์ บาครัค (Peter Bachrachและ มอร์ตัน บารัตซ์ (Morton Baratz) ผลงานชิ้นสำคัญของพวกเขา “สองหน้าของอำนาจ” (Two Faces of Power,1962) ท้าทายมุมมองที่มีอยู่เดิมเกี่ยวกับอำนาจในฐานะพลังที่มองเห็นได้และชัดเจน โดยโต้แย้งว่าอำนาจยังทำงานในแบบที่ละเอียดอ่อนและแนบเนียนอีกด้วย
บาครัคและบารัตซ์นำเสนอแนวคิด
“ใบหน้าที่สองของอำนาจ” ซึ่งหมายถึงความสามารถของบุคคลหรือกลุ่มในการควบคุมวาระและจำกัดขอบเขตของการตัดสินใจ โดยการเก็บประเด็นบางอย่างออกจากห้องประชุมหรือเวทีสาธารณะ พวกเขาอธิบายว่าอำนาจรูปแบบนี้มักใช้ผ่านการไม่ตัดสินใจ ซึ่งผู้มีอำนาจจะป้องกันไม่ให้มีการหยิบยกประเด็นที่ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามองค์การหรือสังคมขึ้นมาพิจารณาอย่างเป็นทางการ
งานของพวกเขาขยายความเข้าใจเกี่ยวกับอำนาจให้ไกลเกินกว่ามุมมองพหุนิยมแบบดั้งเดิม ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ความขัดแย้งที่สังเกตได้และในกระบวนการตัดสินใจ บาครัคและบารัตซ์เน้นย้ำถึงความสำคัญของการพิจารณาบริบททางสังคมและการเมืองที่กว้างขึ้นในกระบวนการตัดสินใจ รวมถึงบทบาทของโครงสร้างสถาบันและบรรทัดฐานทางวัฒนธรรมในการกำหนดวาระ
ในผลงานเรื่อง “อำนาจและความยากจน: ทฤษฎีและการปฏิบัติ” (Power and Poverty: Theory and Practice,1970) บาครัคและบารัตซ์ได้พัฒนาแนวคิดต่อไป โดยสำรวจวิธีการที่อำนาจถูกแบ่งและใช้ในสังคม พวกเขาชี้ว่าอำนาจไม่ได้เกี่ยวกับการชนะความขัดแย้งเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการกำหนดความชอบและการรับรู้ของผู้อื่น ซึ่งมักเป็นวิธีที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้มีอำนาจ โดยผู้ที่ไร้อำนาจจะตกอยู่ในภาวะที่เสียเปรียบ
แนวคิดเรื่องอำนาจของบาครัคและบารัตซ์ มีผลกระทบต่อสาขารัฐศาสตร์และอื่น ๆ อีกมากมาย ความเข้าใจในมิติอำนาจที่ซ่อนเร้นมีอิทธิพลต่อทฤษฎีประชาธิปไตย การเคลื่อนไหวทางสังคม และนโยบายสาธารณะ และยังคงมีการอ้างถึงและถกเถียงกันอย่างกว้างขวางโดยนักวิชาการและผู้ปฏิบัติงาน งานของพวกเขาช่วยให้เข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับวิธีการที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อนของการดำเนินอำนาจในสังคม
แนวคิดสองหน้าของอำนาจ
ใบหน้าแรกของอำนาจคือ การใช้อำนาจที่มองเห็นได้และชัดเจนในกระบวนการตัดสินใจและความขัดแย้งที่สังเกตได้ ซึ่งเป็นใบหน้าที่นำเสนอโดย โรเบิร์ต ดาห์ล และ บาครัคและบารัตซ์ ก็ยอมรับการดำรงอยู่ของใบหน้านี้ของอำนาจ แต่เขามองว่า การมองอำนาจเพียงหน้าเดียวนั้นยังไม่ครอบคลุม เขาจึงเสนอแนวคิดใบหน้าที่สองของอำนาจขึ้นมา
เราสามารถเห็นใบหน้าแรกของอำนาจในเวทีการต่อสู้ทางนโยบายและการตัดสินใจทางการเมือง ตัวอย่างเช่น ในการประชุมสภาเทศบาลนคร กลุ่มสองกลุ่มกำลังถกเถียงกันว่าจะสร้างสวนสาธารณะแห่งใหม่หรือศูนย์การค้า กลุ่มที่สนับสนุนสวนสาธารณะนำเสนอข้อโต้แย้งของตน ในขณะที่กลุ่มที่สนับสนุนศูนย์การค้านำเสนอข้อโต้แย้งของตน พวกเขาแข่งขันกันอย่างเปิดเผยเพื่อโน้มน้าวสมาชิสภาเทศบาลนครให้ลงคะแนนเสียงเข้าข้างตน กลุ่มที่โน้มน้าวสมาชิกสภาส่วนใหญ่ได้จะเป็นฝ่ายชนะการตัดสินใจ นี่เป็นตัวอย่างของใบหน้าแรกของอำนาจ ซึ่งความขัดแย้งเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ และผลลัพธ์ถูกกำหนดโดยการแข่งขันโดยตรง
ขณะที่ ใบหน้าที่สองของอำนาจคือ การใช้อำนาจโดยการควบคุมวาระการประชุมและกำหนดประเด็นปัญหาที่จะนำมาสู่วาระการตัดสินใจ อำนาจลักษณะนี้ไม่ค่อยเปิดเผยและเกี่ยวข้องกับความสามารถในการป้องกันไม่ให้ประเด็นบางอย่างถูกนำมาอภิปรายในที่สาธารณะ เกี่ยวกับความสามารถในการกำหนดวาระการประชุมและตัดสินใจว่าอะไรเป็นที่ยอมรับทางการเมือง หรือหัวข้อใดที่ละเอียดอ่อน มีความเสี่ยง หรือไร้สำคัญเกินกว่าจะหยิบมาพูดคุยกัน มิติของอำนาจนี้มีความละเอียดอ่อนและร้ายกาจมากกว่าใบหน้าแรก เนื่องจากสามารถกำหนดขอบเขตทางการเมืองโดยไม่มีความขัดแย้งหรือการตัดสินใจอย่างเปิดเผย หรือเป็นการได้ชัยชนะโดยไม่ต้องทำสงครามนั่นเอง
การที่รัฐบาลเศรษฐาไม่พูดเรื่องการปฏิรูปกองทัพเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการไม่ตัดสินใจ รัฐบาลพยายามหลีกการใช้คำว่า “ปฏิรูปกองทัพ” เพราะกลัวว่าจะไปกระทบผลประโยชน์ของทหาร และอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อรัฐบาล รัฐบาลจึงไม่หยิบยกประเด็นการปฏิรูปกองทัพขึ้นมาพิจารณา เช่นเดียวกันกับการยกเลิกเกณฑ์ทหาร แม้ว่าในช่วงก่อนการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยมีการกล่าวถึงประเด็นนี้ชัดเจน แต่เมื่อเป็นรัฐบาลแล้วกลับหลีกเลี่ยงไม่ตัดสินใจโดยพยายามซุกเรื่องนี้เอาไว้ใต้พรม
สำหรับในเรื่องการควบคุมวาระเห็นได้จากการที่คณะรัฐประหารซึ่งยึดอำนาจในปี 2557 ให้ความสำคัญกับประเด็นบางอย่างและกีดกันประเด็นอื่น ๆ ออกจากวาระแห่งชาติ คณะรัฐประหารให้ความสำคัญอย่างมากกับประเด็นอย่างความมั่นคงแห่งชาติ และยุทธศาสตร์ชาติ ในขณะเดียวกันก็ละเลยหรือปิดกั้นการอภิปรายเกี่ยวกับการปฏิรูปประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยการควบคุมวาระ คณะรัฐประหารสามารถกำหนดการเล่าเรื่องทางการเมืองและรักษาการควบคุมอำนาจเอาไว้ ในขณะเดียวกัน ก็กีดกันประเด็นที่อาจเป็นภัยคุกคามอำนาจของคณะรัฐประหารอย่างการปฏิรูปประเทศและการแก้ไขรัฐธรรมนูญออกไป
อีกตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ กลุ่มผลประโยชน์ทางธุรกิจที่มีอำนาจสูงมีอิทธิพลต่อการกำหนดวาระการเมืองในประเทศไทย ผู้นำธุรกิจและบริษัทขนาดใหญ่มักใช้อิทธิพลทางเศรษฐกิจของตนเพื่อกำหนดลำดับความสำคัญและนโยบายของรัฐบาล เช่น การวิ่งเต้นเพื่อโครงการโครงสร้างพื้นฐาน เงินอุดหนุน หรือการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบที่เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมของตน ในขณะเดียวกัน ประเด็นที่สำคัญสำหรับคนไทยทั่วไป เช่น สิทธิแรงงาน การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และสวัสดิภาพของผู้บริโภค มักได้รับความสนใจน้อยหรือถูกตัดออกจากวาระนโยบายโดยสิ้นเชิง
ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการไม่ตัดสินใจและการควบคุมวาระสามารถทำงานในบริบททางการเมืองของไทยเพื่อรักษาโครงสร้างอำนาจที่มีอยู่และให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจเหนือสาธารณชนทั่วไปได้อย่างไร
นอกเหนือจากการไม่ตัดสินใจแล้ว วิธีการอย่างที่ผู้มีอำนาจมักนิยมใช้คือ “การสร้างความเชื่อเชิงอคติ” ซึ่งเป็นวิธีการที่ผู้มีอำนาจกำหนดค่านิยม แนวปฏิบัติทางสังคม การเมือง และวัฒนธรรมในทางที่เป็นประโยชน์ต่อบางกลุ่มมากกว่ากลุ่มอื่นอย่างเป็นระบบ
จินตนาการถึงสังคมที่ค่านิยมทางวัฒนธรรมที่ครอบงำคือ ความรับผิดชอบและการพึ่งพาตนเองของปัจเจกบุคคล ในสังคมนี้ การพูดคุยเกี่ยวกับความยากจนและความเหลื่อมล้ำมักจะมุ่งเน้นไปที่ความล้มเหลวและทางเลือกส่วนบุคคลมากกว่าอุปสรรคเชิงระบบและความไม่เท่าเทียมทางโครงสร้าง ระบบคุณค่าที่มีอำนาจครอบงำนี้ทำให้โครงการสวัสดิการสังคมและนโยบายการกระจายรายได้เป็นเรื่องยากที่จะได้รับการยอมรับ เนื่องจากถูกมองว่าขัดแย้งกับความเชื่อหลักของสังคม นี่เป็นตัวอย่างของการสร้างความเชื่อเชิงอคติ ซึ่งค่านิยมทางวัฒนธรรมที่มีอำนาจเหนือกำหนดเงื่อนไขของการถกเถียงและจำกัดช่วงของวิธีแก้ปัญหาที่ยอมรับได้
ในชีวิตจริงของหลายสังคมมีความเชื่อที่แพร่หลายว่าความสำเร็จถูกกำหนดโดยคุณความดีส่วนบุคคล การทำงานหนัก และความสามารถเป็นหลัก ระบบความเชื่อนี้ซึ่งมักเรียกว่าระบบคุณธรรม ซึ่งสามารถใช้เพื่ออธิบายและคงไว้ซึ่งความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่ เมื่อกลุ่มที่ด้อยโอกาสพยายามดิ้นรนต่อสู้เพื่อความสำเร็จ ความยากลำบากของพวกเขามักถูกมองว่าเป็นข้อบกพร่องของตัวเองมากกว่าอุปสรรคเชิงระบบอย่างเช่นการเลือกปฏิบัติ การเข้าถึงการศึกษาและทรัพยากรที่ไม่เท่าเทียมกัน หรือการกดขี่ในอดีต การสร้างความเชื่อเชิงอคตินี้ที่เป็นประโยชน์ต่อค่านิยมหลักที่ครอบงำ และทำให้นโยบายและโครงการที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเท่าเทียมถูกขัดขวาง
หรือในบางประเทศ เช่น ประเทศไทย ระบบการเลือกตั้งได้รับการออกแบบในลักษณะที่เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มบางกลุ่มมากกว่ากลุ่มอื่นอย่างเป็นระบบ เช่น การเลือกตั้งสมาชิวุฒิสภา (ส.ว.) ที่มีการกีดกันสิทธิในการเลือกตั้งของประชาชนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นการให้สิทธิเลือกตั้งเฉพาะคนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปและต้องเป็นผู้สมัครแข่งขันเพื่อตำแหน่ง ส.ว. อีกด้วย ส่วนผู้ใดที่ไม่ได้สมัคร ส.ว. แม้อายุเกิน 40 ปี ก็ไม่มีสิทธิในการเลือกตั้ง
กลยุทธ์อีกประการหนึ่งของใบหน้าที่สองของอำนาจคือ “การทำให้บางกลุ่มรับรู้และรู้สึกว่าไร้อำนาจ” ซึ่งจะส่งผลให้ไม่เกิดการท้าทายโครงสร้างอำนาจเดิม หรือทำให้การดำเนินการเพื่อส่งเสริมสนับสนุนผลประโยชน์ของกลุ่มที่ไร้อำนาจน้อยลง ในบางประเทศ ผู้หญิงอาจถูกกีดกันไม่ให้แสวงหาอาชีพหรือตำแหน่งผู้นำบางอย่าง เนื่องจากบรรทัดฐานทางวัฒนธรรมและภาพเหมารวมทางเพศที่เน้นบทบาทของพวกสตรีในฐานะแม่บ้านและผู้ดูแลบุตรธิดา บรรทัดฐานและภาพเหมารวมเหล่านี้มักได้รับการเสริมพลังโดยสื่อมวลชน ระบบการศึกษา และสถาบันทางสังคมอื่น ๆ ซึ่งสามารถสร้างความรู้สึกไร้อำนาจในหมู่ผู้หญิง และทำให้พวกเธอไม่กล้าท้าทายความไม่เท่าเทียมทางเพศหรือเรียกร้องผลประโยชน์ทางวิชาชีพและการเมืองของตนเอง นี่เป็นตัวอย่างของวิธีที่อำนาจสามารถทำงานผ่านการกำหนดการรับรู้และความรู้สึกในลักษณะที่เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มที่มีอำนาจเหนือกว่า
อย่างไรก็ตาม การถูกอำนาจที่เหนือกว่ากดทับ ปั่นหัว และสร้างความเชื่อเชิงมายาคติ จะทำให้สังคมเกิด ความขัดแย้งแฝง ขึ้นมา ความขัดแย้งแฝง หมายถึง การที่กลุ่มที่ถูกกีดกัน กดทับ และปั้นหัวจากการใช้อำนาจของกลุ่มที่มีอำนาจเหนือกว่าเกิดความไม่พอใจอย่างแพร่หลาย แต่ความขัดแย้งเหล่านี้ยังคงซ่อนเร้นหรือถูกปิดกั้น เพราะประชาชนถูกทำให้เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นไปไม่ได้ หรือบางกลุ่มก็กลัวผลกระทบที่จะตามมาจากการออกมาพูดหรือกระทำที่ท้าทายกลุ่มผู้มีอำนาจ
ตัวอย่างเช่น ชุมชนที่ผู้อยู่อาศัยไม่พอใจกับคุณภาพของบริการสาธารณะ เช่น โรงเรียน สวนสาธารณะ และการขนส่ง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลท้องถิ่นถูกควบคุมโดยกลุ่มผู้นำธุรกิจที่มีความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้น ซึ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจมากกว่าการลงทุนทางสังคม ผู้อยู่อาศัยอาจรู้สึกว่าปัญหาและความกังวลของพวกเขาไม่ได้รับการรับฟังหรือไม่ได้รับการแก้ไข แต่อาจลังเลที่จะพูดออกมาอย่างเปิดเผยเนื่องจากความรู้สึกไร้อำนาจ หรือความกลัวต่อการถูกตอบโต้
ในบางประเทศ ชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์หรือศาสนาอาจเผชิญกับการเลือกปฏิบัติและการกีดกัน แต่อาจไม่สามารถท้าทายความไม่ยุติธรรมเหล่านี้ได้อย่างเปิดเผยเนื่องจากความกลัวความรุนแรง การข่มเหง หรือการขับออกจากสังคม กลุ่มเหล่านี้อาจมีความไม่พอใจและความขุ่นเคืองอย่างลึกซึ้ง แต่อาจรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีทางที่จะแสดงความกังวลของตนได้อย่างปลอดภัยหรือมีประสิทธิภาพ นี่เป็นตัวอย่างของความขัดแย้งแฝงที่ความไม่เท่าเทียมกันของอำนาจป้องกันไม่ให้กลุ่มบางกลุ่มสนับสนุนสิทธิและผลประโยชน์ของตนเองอย่างเปิดเผย
บาครัคและบารัตซ์ยังอธิบายว่า อำนาจไม่ใช่แค่เรื่องของการกระทำหรือทางเลือกของปัจเจกบุคคลเท่านั้น แต่ยังถูกกำหนดและจำกัดโดยโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองในวงกว้างที่บุคคลและกลุ่มต่าง ๆ ดำเนินการอยู่ด้วย โครงสร้างเหล่านี้รวมถึงสถาบัน กฎหมาย นโยบาย บรรทัดฐานทางวัฒนธรรม และมรดกทางประวัติศาสตร์ที่กำหนด "กฎของเกม" และกำหนดการกระจายทรัพยากร โอกาส และอิทธิพลในสังคม
ในสังคมที่ความมั่งคั่งถูกรวมศูนย์อยู่ในมือของชนชั้นนำจำนวนน้อย โครงสร้างทางเศรษฐกิจนี้ทำให้คนรวยมีอิทธิพลเหนือการตัดสินใจทางการเมืองอย่างไม่ได้สัดส่วน เนื่องจากพวกเขาสามารถใช้ทรัพยากรของตนเพื่อรณรงค์ ล็อบบี้นักการเมือง และกำหนดความคิดเห็นของสาธารณชนผ่านการเป็นเจ้าของสื่อและการโฆษณา ในขณะเดียวกัน แรงงานและคนจนอาจต้องดิ้นรนเพื่อให้เสียงของตนได้ยินหรือผลประโยชน์ของพวกเขาได้รับการเป็นตัวแทนในเวทีการเมือง เนื่องจากพวกเขาขาดทรัพยากรทางการเงินและการเชื่อมต่อทางสังคมที่จะใช้อิทธิพลทางตรงได้
ในหลายประเทศ โครงสร้างของระบบการศึกษาสามารถทำหน้าที่สืบทอดและเสริมพลังให้แก่ความไม่เท่าเทียมกันของอำนาจแบบข้ามรุ่น เด็กจากครอบครัวที่ร่ำรวยมีโอกาสเข้าถึงโรงเรียนเอกชนที่มีคุณภาพสูง การติวเตอร์ และกิจกรรมเพิ่มความรู้ที่ให้พวกเขาได้เปรียบในการแข่งขันในการเข้ามหาวิทยาลัยและอนาคตทางอาชีพ ในขณะเดียวกัน เด็กจากพื้นฐานที่ด้อยโอกาสอาจเข้าเรียนในโรงเรียนรัฐบาลที่ได้รับทุนต่ำและแออัด ซึ่งจำกัดโอกาสในการเคลื่อนย้ายทางสังคมของพวกเขา โครงสร้างทางการศึกษานี้สามารถคงอยู่ในวงจรของอำนาจและความไร้อำนาจ เนื่องจากผู้ที่มีทรัพยากรและโอกาสมากกว่ามีตำแหน่งที่ดีกว่าในการรักษาสถานะที่มีสิทธิพิเศษและส่งผ่านไปยังลูกหลานของพวกเขา
การเน้นย้ำถึงปัจจัยเชิงโครงสร้างที่มีผลต่ออำนาจ ท้าทายความคิดที่ว่าอำนาจเป็นเพียงเรื่องของทางเลือกหรือการกระทำของปัจเจกบุคคลเท่านั้น การทำความเข้าใจอย่างเต็มที่ว่าอำนาจดำเนินการในสังคมอย่างไร จำเป็นต้องดูบริบททางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองในวงกว้างที่กำหนดโอกาสและข้อจำกัดที่กลุ่มต่าง ๆ เผชิญ มุมมองนี้สามารถช่วยให้เราระบุและจัดการกับอุปสรรคและความไม่เท่าเทียมกันในระบบที่อาจฝังอยู่ในโครงสร้างของสังคมและสถาบันได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
โดยสรุป แนวคิดเรื่องอำนาจของบาครัคและบารัตซ์ ได้ขยายความเข้าใจของเราอย่างมากเกี่ยวกับวิธีการทำงานของอำนาจในสังคม แนวคิด “สองหน้าของของอำนาจ” ทำให้เห็นว่าอำนาจสามารถใช้ได้ไม่เพียงแต่ผ่านความขัดแย้งที่มองเห็นได้และกระบวนการตัดสินใจเท่านั้น หากแต่ยังผ่านวิธีการที่ซ่อนเร้นและทางอ้อมอีกด้วย เช่น การไม่ตัดสินใจ การควบคุมวาระ และการสร้างความเชื่อเชิงอคติ ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความสนใจในวิธีการที่กลุ่มที่มีอำนาจเหนือกว่าสามารถกำหนดความเชื่อ การรับรู้ และโอกาสของผู้อื่นในลักษณะที่ผลิตซ้ำความไม่เท่าเทียมและความอยุติธรรม และพวกเขายังเน้นย้ำถึงปัจจัยเชิงโครงสร้างที่มีผลต่ออำนาจ โดยชี้ว่าอำนาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของการกระทำของปัจเจกบุคคลเท่านั้น แต่ยังถูกกำหนดโดยบริบททางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองในวงกว้างที่บุคคลและกลุ่มต่าง ๆ ดำเนินการอยู่ด้วย