เป็นช่วงดึกของวันเสาร์ที่ 13 เมษายน ที่คนไทยกำลังเฉลิมฉลองเข้าสู่จักรราศีใหม่อันเป็นปีใหม่ของไทย...ก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิสลาม (IRGC) ของอิหร่านได้เริ่มยิงขีปนาวุธชนิดเส้นตรงและเส้นโค้ง (Ballistics) รวมทั้งเครื่องร่อนบรรทุกระเบิ ดและโดรนพิฆาตสมรรถนะสูง เป็นการระดมยิงเข้าใส่เป้าหมายสำคัญทางทหารของอิสราเอล; การโจมตีครั้งนี้นับรวมได้กว่า 300 ลูก (อาจเท่ากับจำนวนประชากรของสหรัฐฯ ที่ 330 ล้าน) และเป็นการเปิดหน้าชกทางทหารอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นระหว่างกองทัพอิหร่านและอิสราเอล; เนื่องจากในอดีตตั้งแต่การปฏิวัติอิสลามที่อิหร่านปี 1979 (เป็นเวลา 45 ปีมาแล้ว) จะเกิดการโจมตีกันผ่านตัวแทนเช่น กองกำลังติดอาวุธของเฮซบอลเลาะห์ที่เลบานอน (พันธมิตรของอิหร่าน) ยิงเข้าใส่อิสราเอล หรืออิสราเอลโจมตีกบฏฮูตีที่เยเมน (กบฏฮูตีก็ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน) รวมทั้งกองกำลังติดอาวุธของซีเรียและอิรักที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน ก็ถูกโจมตีจากอิสราเอลมาตลอด
เดิมกษัตริย์ชาห์ของอิหร่าน เป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ และเปิดบ่อน้ำมันอิหร่านให้บริษัทจากตะวันตก นำโดยอังกฤษ, สหรัฐฯ เข้าไปยึดสัมปทานการสำรวจและขุดเจาะในอิหร่าน ขณะเดียวกัน กษัตริย์ชาห์ก็มีความสัมพันธ์เป็นพันธมิตรแน่นแฟ้นกับอิสราเอลตามการกำกับของสหรัฐฯ
จนถึงการปฏิวัติอิสลามโค่นพระเจ้าชาห์แห่งอิหร่าน จากการนำของท่านผู้นำจิตวิญญาณโคมัยนี (ที่ต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ที่ฝรั่งเศส ในสมัยพระเจ้าชาห์); อิหร่านได้ตัดสัมพันธ์กับอิสราเอล และมีการต่อสู้ผ่านตัวแทนทั้งสองฝ่ายมาตลอด
สาเหตุที่อิหร่านระดมโจมตีอิสราเอลครั้งนี้ ก็เนื่องจากเมื่อค่ำวันที่ 1 เมษายน (วัน April Fools’ Day นั่นแหละ) ได้มีเครื่องบินล่องหน F35 ซึ่งเป็น Fighter Jet ผลิตที่สหรัฐฯ ได้บุกเข้าไปสาดขีปนาวุธทรงพลังเข้าใส่อาคาร 5 ชั้นอันเป็นที่ตั้งของสถานกงสุลอิหร่านประจำซีเรีย โดยอาคารกงสุลอยู่ภายในบริเวณของสถานทูตอิหร่านในกรุงดามัสกัส (เมืองหลวงของซีเรีย)
ไม่เพียงอาคารสถานกงสุลพังทลายล้มครืนลงมา แต่ยังทำให้สถานทูตแคนาดาที่ตั้งอยู่ใกล้เคียง ได้รับแรงระเบิดของขีปนาวุธจนเสียหายยับเยินด้วย
ทางการอิหร่านแถลงด้วยความโกรธแค้นว่า มีผู้เสียชีวิตทันที 16 คน ในจำนวนนี้มีนายพลระดับผบ.ของหน่วยกองกำลังผสม (อิหร่าน, อิรัก, ซีเรีย) เสียชีวิตถึง 2 คน อีก 5 คนเป็นระดับที่ปรึกษาของกองทัพอิหร่าน
ทางการอิหร่านออกแถลงการณ์ว่า ฝีมือของกองกำลังอิสราเอล ที่ใช้เครื่องบินรบสมรรถนะสูงของสหรัฐฯ ในการปฏิบัติการ และเป็นการโจมตีดินแดนของอิหร่าน เพราะเป็นเขตสถานทูตของอิหร่าน และการละเมิดกฎการทำสงคราม ซึ่งจะห้ามการบุกโจมตีสถานทูต (เพราะสถานทูตจะมีบทบาทสำคัญที่จะใช้การเจรจาสัมพันธ์ทางการทูต แทนที่จะใช้การรบทางทหารในการแก้ข้อพิพาทระหว่างประเทศ)
อิหร่านประกาศจะตอบโต้ด้วยการตั้งเป้าโจมตีผลประโยชน์ของอิสราเอลทุกแห่งในโลก เพราะเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่จะปกป้องภัยคุกคามจากอิสราเอลที่ได้บุกโจมตีดินแดนของอิหร่าน
อิสราเอลไม่ได้ออกมายอมรับหรือปฏิเสธการยิงขีปนาวุธทำลายสถานกงสุล และสังหาร ผบ.ของอิหร่านในครั้งนี้
แต่มีเสียงจากเหล่าประเทศอาหรับ และตุรเคียประณามการกระทำของอิสราเอล...รวมทั้งจากผู้นำฝ่ายตะวันตกที่ขอให้อิหร่านอดกลั้นเพื่อไม่ให้มีการยกระดับการพิพาทระหว่างอิหร่านและอิสราเอล เป็นการขยายวงการสู้รบกระจายไปยังดินแดนทั่วตะวันออกกลาง
เมื่ออิสราเอลนำเรื่องดินแดนของตนถูกละเมิดอธิปไตยจากการโจมตีของอิสราเอลเข้าสู่คณะมนตรีความมั่นคง เพื่อให้มีการประณามอิสราเอล ผลปรากฏว่า สหรัฐฯ ใช้สิทธิวีโตข้อมติโดยให้เหตุผลตะแบงว่า สถานกงสุลอิหร่านถูกบิดเบือนไม่ได้นำมาใช้ตามบทบาทของสถานทูตและสถานกงสุล เพราะมีนายพลอิหร่านจัดการประชุมลับทางทหารใช่หรือไม่ ทั้งๆ ที่อิหร่านต้องเสียผบ.ไปถึง 2 คน
นสพ.NYT (ซึ่งมีนักข่าวและคอลัมนิสต์เป็นชาวยิวส่วนใหญ่) กลับเสนอรายงานจากแหล่งข่าว 4 คนของกองทัพอิสราเอลว่า เป็นปฏิบัติการของหน่วยงานความมั่นคงของอิสราเอลนั่นแหละ
มติของคณะมนตรีความมั่นคงครั้งนี้ นับว่าเป็นสองมาตรฐานของสหรัฐฯ เพราะในเมื่อดินแดนอิหร่านถูกโจมตีด้วยอาวุธร้ายแรง แต่สหรัฐฯ กลับขวางมติ ขณะที่สหรัฐฯ กลับลงคะแนนประณามฮามาสอย่างรุนแรงในการใช้กำลังบุกอิสราเอลเมื่อ 7 ตุลาคม แต่กลับสนับสนุน (ด้วยเงินและอาวุธ) แก่รัฐบาลอิสราเอล เพื่อทำลายล้างฮามาส โดยบอกว่า เป็นความชอบธรรมของอิสราเอล! ทั้งๆ ที่อิสราเอลกราดยิงระดับฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ที่กาซา โดยยกเอาเหตุผลการจะปราบฮามาสมาบังหน้า
ที่อิสราเอลโจมตีสถานกงสุลอิหร่านเมื่อ 13 เมษายนนี้ มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากการบิดเบือนเปลี่ยนเรื่องที่อิสราเอลกำลังเป็นจำเลยของประชาคมโลก หลังจากการใช้ขีปนาวุธไล่ตามจี้ยิงทำลายรถ 3 คันขององค์กรครัวกลางของโลก (World Central Kitchen) จนทำให้อาสาสมัครจากสหรัฐฯ, อังกฤษ, แคนาดา, ออสเตรเลีย, โปแลนด์ ตายไปจำนวนหนึ่ง และเกิดแรงกดดันรัฐบาลของประเทศเหล่านี้ ให้ทบทวนนโยบายการส่งอาวุธไปช่วยรัฐบาลเนทันยาฮูเพื่อไปปราบฮามาส (แต่อาวุธกลับมาฆ่าคนของรัฐบาลตะวันตกเหล่านั้นเสียเอง)
ขณะที่อิสราเอลกำลังถูกประณามจากทั่วโลกถึงความโหดเหี้ยมที่ใช้การอดอาหารเป็นอาวุธ พร้อมๆ กับการฆ่าเด็กและผู้หญิงเพื่อให้สูญสิ้นเผ่าพันธุ์, อิสราเอลก็จึงหันเหความสนใจทั่วโลกมาที่อิหร่านแทน
และเมื่ออิหร่านได้โจมตี (อย่างเบาๆ) อิสราเอลในคืนวันที่ 13 เมษายน ยังทำให้รัฐบาลตะวันตกแทนที่จะทบทวนลดหรือระงับส่งอาวุธให้เนทันยาฮู (เพื่อมาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์)...กลับหันหลัง 180 องศา รีบส่งระบบป้องกันขีปนาวุธให้อิสราเอลทันที...รวมถึงประเทศอาหรับชั้นนำเช่น ซาอุดีอาระเบีย และจอร์แดน กลับส่งระบบป้องกันขีปนาวุธมาช่วยอิสราเอลทันที
อิสราเอลคำนวณมาอย่างดี ยิงนกทีเดียวได้นกเป็นฝูง จนทำให้พันธมิตรตะวันตกแทนที่จะโดดเดี่ยว อิสราเอลกลับกุลีกุจอมาช่วยอิสราเอลสู้กับอิหร่านอย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว
และถ้าความตึงเครียดเพิ่มอุณหภูมิสูงขึ้นในตะวันออกกลาง น่าจะทำให้ราคาน้ำมันขยับขึ้น (ถ้าอิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซ) ซึ่งจะทำให้เงินเฟ้อให้สหรัฐฯ พุ่งใช้ทันที จนทำให้เฟดไม่สามารถลดดอกเบี้ยได้ตลอดปีนี้ และจะฉุดคะแนนของไบเดนจนทำให้ทรัมป์ชนะเลือกตั้ง สมใจเนทันยาฮูและครม.สงครามนั่นเอง