เป็นเวลาเกือบ 6 เดือนที่กองทัพอิสราเอลได้ถล่มกาซาด้วยอาวุธสงคราม ทำลายอาคารบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของพลเรือนชาวกาซาจนพังพินาศเกือบ 90% และทำลายชีวิตทารก, เด็กๆ, ผู้หญิงที่ตายไป 2/3 ของผู้เสียชีวิตกว่า 32,000 คน และยังมีผู้บาดเจ็บพิการสาหัสอีกกว่า 7 หมื่นคน รวมที่บาดเจ็บและตายที่กาซาเกิน 1 แสนคนจากความโหดร้ายของกองทัพอิสราเอล ที่กราดยิงไม่เลือกหน้าเพื่อขับไล่ชาวกาซาให้ออกไปจากดินแดนถิ่นฐานบ้านเรือนที่ตั้งรกรากอยู่มานานนับพันปี...แต่ใช้เหตุผลบังหน้าว่า ต้องบุกเข้ากาซาด้วยอาวุธสงครามเพื่อปราบพวกฮามาสที่บุกถล่มอิสราเอลเมื่อ 7 ตุลาคม และจับตัวประกันไป 200 กว่าคน โดยจะต้องปราบฮามาสให้สิ้นซากแบบถอนรากถอนโคนเท่านั้น
ในที่สุดด้วยการตายอย่างกลาดเกลื่อนของชาวกาซา และช่วงหลังที่อิสราเอลได้เพิ่มวิธีกำจัดชาวกาซาให้สูญสิ้นแบบล้างเผ่าพันธุ์ โดยวิธีผิดกฎแห่งสงคราม (Laws of Wars) คือ ขัดขวางการส่งอาหาร, น้ำ, ยาที่ทางยูเอ็นได้รับบริจาคมาจากนานาประเทศ โดยกีดขวางไม่อนุญาตให้รถบรรทุกความช่วยเหลือจำนวนเป็นพันๆ คันที่จอดรออยู่ที่หน้าด่านราฟาห์ ไม่ให้ผ่านด่านเพื่อไปช่วยจากการอดตาย ขาดอาหาร ของชาวกาซา โดยอิสราเอลได้เพิ่มยุทธวิธีใช้อาหารเป็นอาวุธด้วย
ในช่วงก่อนเที่ยงของวันจันทร์ที่ 25 มีนาคม ได้มี 10 ประเทศสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคง (ชนิดไม่ถาวร) ประกอบด้วย แอลจีเรีย, เอกวาดอร์, กายอานา, ญี่ปุ่น, มอลตา, โมซัมบิก, เซียร์ราลีโอน, สโลวาเนีย, เกาหลีใต้ และสวิตเซอร์แลนด์ ได้เสนอร่างมติเพื่อให้มีการหยุดยิงทันทีที่กาซา เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมได้เดินทางไปถึงชาวกาซาผู้หิวโหย ปรากฏว่า มตินี้ผ่านออกมาเป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน โดยทั้ง 10 ประเทศสมาชิกชนิดไม่ถาวรได้ยกมือผ่านท่ามกลางการอภิปรายอย่างเผ็ดร้อนจากหลายประเทศที่มองว่า อิสราเอลจงใจขัดขวางไม่ให้หยุดยิง และใช้อาหารเป็นอาวุธด้วย
คราวนี้สมาชิกถาวรถึง 4 ประเทศก็ยกมือสนับสนุนร่างมติหยุดยิงครั้งนี้ด้วย ทั้งๆ ที่แต่เดิมในการเสนอร่างมติหยุดยิงที่เสนอเข้ามา 6 ครั้งนั้น จะถูกวีโตโดยประเทศสมาชิกถาวรนี้แหละ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ได้วีโตมาแล้วประมาณ 6 ครั้ง เพิ่งมีครั้งวันที่ 22 มีนาคม ที่สหรัฐฯ เป็นฝ่ายเสนอมติเข้าพิจารณาเอง ก็ถูกวีโตโดยรัสเซียและจีน และยังมีแอลจีเรียที่โหวตไม่รับร่างของสหรัฐฯ ด้วยซ้ำ
ในการยกมือเมื่อวันที่ 25 มีนาคมนี้ สหรัฐฯ งดออกเสียงซึ่งนับเป็นการเปลี่ยนท่าทีจากที่เคยคัดค้านมาตลอด และทำให้นายกฯ เนทันยาฮู ของอิสราเอลไม่พอใจมากที่สหรัฐฯ ไม่วีโต ถึงกับประกาศยกเลิกการประชุมร่วมของรมต.หลายคน (กลาโหม, ต่างประเทศ) ของอิสราเอล ที่กำลังเดินทางตามคำเชิญของปธน.ไบเดนให้ไปประชุมหาทางออกของสงคราม โดยกำหนดประชุมที่ทำเนียบขาวในอาทิตย์นี้
สำหรับร่างที่สหรัฐฯ เสนอในวันที่ 22 มีนาคม ให้มีการหยุดยิงนั้น ฝ่ายรัสเซียและจีนมองว่า มีเงื่อนไขการต้องปล่อยตัวประกันที่ฮามาสควบคุมอยู่ให้ออกมาให้หมดก่อน จึงจะมีการหยุดยิงจากฝ่ายอิสราเอล ซึ่งรัสเซียและจีนมองว่า การหยุดยิง (โดยอิสราเอล) ต้องไม่มีเงื่อนไขไปผูกกับการเปลี่ยนตัวประกัน ซึ่งเงื่อนไขนี้เป็นเงื่อนไขของฝ่ายอิสราเอลมาตั้งแต่ต้น
ทันทีที่มติหยุดยิงผ่านคณะมนตรีความมั่นคงเมื่อวันที่ 25 มีนาคม มีเสียงปรบมือดีใจกระหึ่มในคณะมนตรีความมั่นคง
แต่ทางอิสราเอลไม่พอใจอย่างยิ่ง และขณะนี้ก็ยังไม่มีความแน่นอนว่า อิสราเอลจะยอมหยุดยิงหรือไม่ และถ้าไม่ยอม (ดังที่ได้ประกาศมาก่อนหน้านั้น) จะต้องมีมาตรการอื่นใดจากคณะมนตรีความมั่นคงในการบังคับใช้มตินี้
ในช่วงบ่ายวันที่ 25 มีนาคมนี้ ก็มีการนำเสนอรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่กาซา โดยผู้แทนพิเศษที่ได้รับแต่งตั้งจากยูเอ็นให้ไปทำรายงานมา; ด้วยตำแหน่ง Special Rapporteur คือนางฟรานเชสกา อัลบานีส (Francesca Albanese) นักกฎหมายสิทธิมนุษยชนโดยอาชีพ และเป็นนักวิชาการ นักวิจัยชาวอิตาเลียนที่ได้รับคัดเลือกมารับตำแหน่งนี้ตั้งแต่ปี 2022 (2 ปีนี้) ที่เป็นผู้หญิงคนแรกที่มารับตำแหน่งนี้
เธอได้ไปทำรายงานที่กาซาตั้งแต่มารับตำแหน่ง โดยเฉพาะตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม ซึ่งรายงานจากเธอ (และคณะ) สรุปได้ว่า กองทัพอิสราเอลได้มีเจตนาจงใจให้เกิดการฆ่าหมู่แก่ชาวกาซาด้วยอาวุธสงคราม รวมทั้งการทำร้ายร่างกายและจิตใจจนชาวกาซาได้รับบาดเจ็บทนทุกข์ทรมานไม่เพียงจากอาวุธสงครามที่ทำลายบ้านเรือนที่อยู่อาศัยที่ทำมาหากิน แต่ยังใช้ความอดอยากหิวโหยเป็นอาวุธ รวมทั้งการขับไล่ให้ต้องพลัดพรากจากบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ทั้งจากการระเบิดทำลายบ้านพักอาศัย และบังคับให้อพยพจากบ้านเกิดไปอยู่ยังดินแดนที่อดอยากยากแค้นยิ่งขึ้น
รายงานของฟรานเชสกา ได้ฟันธงว่า เป็นการกระทำผิดถึง 3 ข้อใน 5 ข้อที่ร้ายแรงต่อกฎด้านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ซึ่งเธอได้ตั้งคำถามว่า ประชาคมโลกคือประเทศต่างๆ ทำไมจึงยังทนให้อิสราเอลมีปฏิบัติการโหดเหี้ยมต่อการทำลายล้างมนุษยชาติได้ถึงเพียงนี้
เธอเรียกร้องให้มีการคว่ำบาตรต่ออิสราเอลต่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในครั้งนี้
เธอได้รวบรวมเก็บบันทึกเป็นหลักฐานทั้งคำพูดและท่าทีของผู้นำ ครม.สงครามของอิสราเอล ที่ได้แสดงในที่สาธารณะ อันเป็นหลักฐานการจงใจมีเจตนาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างแจ่มชัด ที่จะฆ่าและขับไล่ชาวปาเลสไตน์ให้ออกไปจากกาซา เพื่ออิสราเอลจะได้เข้าครอบครองดินแดนกาซาเพื่อทำเป็นนิคมของชาวอิสราเอล (หรือจะเป็นบ้านพักตากอากาศ รีสอร์ตด้วย)
เธอจบท้ายรายงานถึงการโกหกของกองทัพ และผู้นำอิสราเอลที่ทยอยกรอกหูชาวโลกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่าฮามาสใช้โรงพยาบาลและโรงเรียนเป็นโล่กำบังแหล่งแอบซ่อนอาวุธและกองบัญชาการเพื่อหาเหตุผลที่กองทัพอิสราเอลจะเข้าทำลายโครงสร้างพื้นฐานของชุมชนคือ ทั้งโรงเรียนและโรงพยาบาลซึ่งเป็นวิธีล้างสมองถ่ายข้อมูลเท็จที่พูดซ้ำๆ จนข้อมูลเท็จก็จะกลายเป็นข้อมูลที่กลายเป็นที่ยอมรับว่าถูกต้องเป็นจริง
ซึ่งข้อมูลเท็จนี้กลายเป็นข้อมูลถูกต้อง เมื่อใช้ซ้ำๆ ผ่านสื่อต่างๆ ก็เป็นวิธีที่ฮิตเลอร์ใช้ปราบยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นเอง