คอลัมน์...ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
หลังจากใช้เวลายาวนาน 14 ปีด้วยทรัพยากรอันประมาณค่ามิได้ ในที่สุดพระราชวังต้องห้ามก็สำเร็จเป็นรูปเป็นร่าง โดยในเบื้องต้นนี้จะได้กล่าวถึงวังนี้โดยภาพรวม ว่าสามารถแบ่งได้เป็นสองส่วนคือวังส่วนนอกและวังส่วนใน ส่วนรายละเอียดของวังสองส่วนนี้จะได้กล่าวถึงต่อไปเป็นการเฉพาะ
ในการอธิบายนับจากนี้ไปจะให้ชื่อเรียกสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ในพระราชวังต้องห้ามด้วยภาษาไทยประกอบไปด้วย ทั้งนี้ขอกล่าวด้วยว่า ชื่อภาษาไทยที่ให้ไว้นี้เป็นการแปลโดยอนุมาน และแปลโดยเทียบเคียงกับภาษาอังกฤษที่ทางการจีนได้แปลเอาไว้ ซึ่งก็พบว่า ฝ่ายจีนเองก็แปลแตกต่างกันไปในรูปคำมากกว่าหนึ่งสำนวน แต่โดยรวมแล้วความหมายมิได้แตกต่างกันมากนัก
ในที่นี้จะพยายามแปลให้สมกับที่เป็นเวียงวัง ซึ่งอาจมิต้องด้วยความเห็นของผู้รอบรู้ในภาษาจีนหรือเรื่องจีนก็เป็นได้
วังส่วนนอกจัดเป็นส่วนที่ใช้ว่าราชการและงานพระราชพิธีต่างๆ ในส่วนนี้จะเริ่มนับตั้งแต่ประตูสวรรค์สันติ (เทียนอันเหมิน, Gate of Heavenly Peace) ประตูเรืองรอง (อู่เหมิน, Meridian Gate) พระที่นั่งบรมบรรสาน (ไท่เหอเตี้ยน, Hall of Supreme Harmony) พระที่นั่งมัชฌิมาบรรสาน (จงเหอเตี้ยน, Hall of Central Harmony) พระที่นั่งพิทักษ์บรรสาน (เป่าเหอเตี้ยน, Hall of Preserving Harmony) และสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ที่ตั้งอยู่ในแนวแกนกลางของวังในส่วนนี้
จะเห็นได้ว่า วังส่วนนอกนี้จะมีพระที่นั่งสามองค์ดังกล่าวเป็นโครงสร้างหลัก และทำให้พระที่นั่งทั้งสามองค์นี้ถูกเรียกรวมว่า สามพระที่นั่งใหญ่ (The Three Great Halls) พระที่นั่งทั้งสามนี้จะถูกขนาบข้างด้วย พระที่นั่งบุปผวรรณ (เหวินฮวาเตี้ยน, Hall of Literary Flowers) ทางด้านตะวันออก และพระที่นั่งเสนาเสถียร (อู่อิงเตี้ยน, Hall of Military Strength) ทางด้านตะวันตก
ส่วนวังส่วนในประกอบไปด้วย วังสวรรค์พิสุทธิ์ (เฉียนชิงกง, Palace of Heavenly Purity) พระที่นั่งสมานศานต์ (เจียวไท่เตี้ยน, Hall of Union and Peace) วังโลกยศานต์ (คุนหนิงกง, Palace of Earthly Tranquility) และราชอุทยานหลวง (อี้ว์ฮวาหยวน, The Imperial Garden) โดยทั้งหมดนี้ยังคงจัดอยู่ในแนวแกนกลางของพระราชวังต้องห้าม และแต่ละข้างตะวันออกกับตะวันตกยังมีวังขนาบข้างอีกข้างละหกองค์ วังในส่วนในนี้จัดเป็นที่พำนักของจักรพรรดิและพระบรมวงศานุวงศ์มาตั้งแต่สมัยหมิงจนถึงสมัยชิง
ทั้งหมดจากที่กล่าวมานี้จะมีอยู่สี่เส้นทางที่ทางการจีนเปิดให้สาธารณชนได้เข้าเยี่ยมชมได้ โดยเส้นทางแรกคือ เส้นทางที่นับจากประตูเรืองรองตลอดจนพระที่นั่งและวังต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น แล้วมาจบลงตรงทางออกท้ายพระราชวังต้องห้ามที่ประตูเทพฤทธิ์ (เสินอู่เหมิน, Gate of Martial Spirit)
เส้นทางที่สองและสามก็คือ เส้นทางด้านตะวันตกและตะวันออกที่ประกอบไปด้วยวังข้างละหกองค์ โดยวังแต่ละองค์ล้วนที่ชื่อเรียกและมีรายละเอียดของหน้าที่ใช้สอยเฉพาะ ในที่นี้ขอละไว้ไม่กล่าวถึงในตอนนี้ แต่จะกล่าวถึงเฉพาะบางองค์ที่มีเรื่องเล่าต่อไปข้างหน้า
ส่วนเส้นทางที่สี่คือ เส้นทางที่อยู่นอกเส้นทางตะวันออกออกไป เส้นทางนี้ประกอบไปด้วยพระที่นั่งราชบรรพชนสักการ (เฟิ่งเซียนเตี้ยน, Hall for Ancestor Worship) ฉากบังเก้ามังกร (จิ่วหลงปี้, Nine Dragons Screen) พระที่นั่งบรมจักรวรรดิราช (ฮว๋างจี๋เตี้ยน, Hall of Imperial Supremacy) วังอายุมงคลวัฒนสันติ (หนิงโซ่วกง, Palace of Tranquil Longevity) หอรมณียสังคีต (ซั่งอินเก๋อ, Pavilion of Cheerful Melodies) อายุมงคลวัฒนสำราญสถาน (เล่อโซ่วถัง, Hall of Joyful Longevity) และพระราชอุทยานเฉียนหลง (เฉียนหลงฮวาหยวน, Emperor Qianlong’s Garden)
จากที่สาธยายมาโดยสังเขปนี้มีที่น่าสังเกตว่า ชื่อของพระที่นั่งองค์สำคัญที่ใช้เป็นที่ว่าราชการนั้นจะมีคำว่า เหอ เป็นคำสำคัญประกอบอยู่ในชื่อด้วย การตั้งชื่อด้วยคำนี้ย่อมมิใช่ตั้งขึ้นอย่างลอยๆ ไร้ที่มาที่ไป ซึ่งในที่นี้เห็นควรอธิบายขยายความคำนี้ให้กระจ่างในความสำคัญนั้น
คำว่า เหอ แปลว่า เสมอกัน ประนีประนอม สมประโยชน์ สมยอม สามัคคี ร่วมกัน และยังเป็นคำเชื่อมในบางกรณีคือแปลว่า และ กับ
ที่สำคัญ ธรรมเนียมจีนตั้งแต่อดีตจะนำมาเปรียบเทียบกับภาวะของ ฟ้าดิน (เทียนตี้) ว่า ภาวะของ ฟ้า (เทียน) ซึ่งบอกเวลากลางวันกลางคืน กับภาวะของ ดิน (ตี้) ซึ่งบอกทำเลที่ตั้งที่เป็นประโยชน์นั้น ยังไม่สำคัญเท่ากับภาวะขอ มนุษย์ (เหญิน) ที่พึงมีความสัมพันธ์ที่เสมอกันหรือ เหอ ที่เรียกรวมกันว่า เหญินเหอ
คำกล่าวข้างต้นหมายความว่า ความเป็นไปของ ฟ้าดิน ไม่ว่าจะเป็นไปอย่างถูกต้องตามฤดูกาลหรือความอุดมสมบูรณ์หรือไม่ก็ตาม ก็ยังมิอาจเทียบเทียมหรือสำคัญเท่าความสมัครสมานสามัคคี ความร่วมมือร่วมใจ การประนีประนอม ที่เป็นไปอย่างเสมอกันของมนุษย์
กล่าวอีกอย่างคือ แม้ฝนฟ้าจะไม่ตกต้องตามฤดูกาล อากาศวิปริตผิดอาเพศ หรือแผ่นดินจะแห้งแล้งแตกแยกไปทุกหัวระแหง ก็ยังสู้ความร่วมมือร่วมใจของมนุษย์มิได้ ด้วยเหตุดังนั้น สังคมจีนจึงใช้คำว่า เหอ มาสื่อถึงภาวะดังกล่าว บางที่ถึงกับเขียนคำนี้ตัวโตๆ ด้วยพู่กันจีนไว้ตรงผนังอาคาร เพื่อเป็นอนุสติแก่ผู้พบเห็นว่า การบรรสานหรือ เหอ นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง
อนึ่ง คำว่า เหอ นี้เป็นคำเดียวกับคำว่า ฮั้ว ซึ่งเป็นคำในเสียงจีนแต้จิ๋วที่ไทยเรารู้จัก แต่เป็นคำที่มีความหมายเชิงลบในทำนองสมรู้ร่วมคิดในการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดร่วมกัน เพื่อให้สมประโยชน์ที่ตนต้องการด้วยการกีดกันผู้อื่นออกไปอย่างไม่เป็นธรรมและไม่บริสุทธิ์ใจ
อย่างไรก็ตาม การที่พระที่นั่งในพระราชวังต้องห้ามมีชื่อเช่นนี้ย่อมมีความหมายต่อการเมืองการปกครองอย่างยิ่ง คือเป็นชื่อที่บ่งชี้ว่าราชสำนักจีนให้ความสำคัญกับการบรรสานในทางการเมือง และเห็นว่า ความสำเร็จใดๆ ย่อมมาจากการบรรสานที่ดีอย่างแน่นอน
อีกประเด็นหนึ่งที่พึงกล่าวถึงเช่นกันคือ กระเบื้องเคลือบหลังคาสีเหลืองทองและกำแพงหรือผนังสีแดงที่ปรากฏไปทั่ววังนั้น ก็มิใช่สีที่กำหนดขึ้นโดยเพ่งที่ความงามเป็นหลัก หากแต่ถูกเลือกและถูกออกแบบภายใต้ความเชื่อที่มีมาแต่โบราณในเรื่อง ยิน-หยัง และธาตุทั้งห้าคือ โลหะ ไม้ น้ำ ไฟ และดิน อีกด้วย
ทั้งนี้สีแดงและสีเหลืองจะสื่อถึงอำนาจที่เหนือกว่าโดยเชื่อกันว่า ธาตุทั้งห้าที่ตั้งอยู่อย่างกลมกลืนจะมีสีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นศูนย์กลาง และเป็นศูนย์กลางนี้ตั้งยืนอยู่กลางโลกในฐานะที่โลกเป็นแหล่งกำเนิดสรรพสิ่งภายใต้ดวงตะวัน ส่วนสีแดงเป็นสัญลักษณ์ของไฟ และไฟก็เป็นแหล่งกำเนิดของความสว่าง
จากความหมายข้างต้น สีทั้งสองจึงถูกนำมาใช้กับที่ว่าราชการและที่พำนักของจักรพรรดิ ด้วยถือเป็นบุคคลที่มีฐานะสูงสุดที่มีความสง่างาม และเป็นผู้นำสูงสุดที่มีอำนาจเด็ดขาดที่เป็นศูนย์กลางของโลก
จากเหตุนี้ กระเบื้องเคลือบหลังคาสีเหลืองทองกับกำแพงหรือผนังสีแดง จึงเป็นเครื่องหมายที่สำคัญของพระราชวังต้องห้าม และห้ามผู้ใดนำสีทั้งสองนี้ไปใช้ไม่ว่าจะโดยส่วนตัวหรือที่ใด ยกเว้นก็แต่ในศาลเจ้าหรือศาสนสถาน และวังหรือตำหนักของเจ้าชายแห่งราชวงศ์เท่านั้น
ถึงที่สุดแล้วความหมายของคำว่า บรรสาน และหลังคากระเบื้องเคลือบสีเหลืองทองกับกำแพงหรือผนังสีแดงจากที่ว่ามานี้แท้จริงแล้วก็คือ อุดมการณ์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่สื่อได้อย่างวิจิตรพิสดารและงดงามด้วยศิลปะชั้นสูง และอย่างที่จะหาที่ไหนให้ได้ยลเยือนมิได้อีกแล้ว