"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
จูดิธ พาเมลา บัตเลอร์ (Judith Pamela Butler) เกิดปี 1956 เป็นนักปรัชญาและนักวิชาการเพศสภาพชาวอเมริกัน มีผลงานจำนวนมากที่มีอิทธิพลต่อแวดวงวิชาการและการเคลื่อนไหวทางสังคม เช่นขบวนการสตรีนิยมคลื่นลูกที่สาม ปรัชญาการเมือง จริยธรรม ทฤษฎีวรรณกรรม และกลุ่มเพศหลากหลาย(LGBTQIA+) แนวคิดอำนาจของบัตเลอร์แสดงออกผ่านแนวคิดที่สำคัญสามประการคือ “การสวมแสดงบทบาท” (Performativity) การก่อรูปของอัตบุคคล (Subjectivation) และ ความเปราะบางและความอ่อนแอ (Precarity and Vulnerability) แต่ก่อนที่จะกล่าวถึงรายละเอียดของแนวคิดเหล่านี้ จะขอแนะนำหนังสือที่สำคัญบางเล่มของบัตเลอร์ เผื่อว่าผู้อ่านท่านใดสนใจจะได้ไปหาอ่านได้ในภายหน้า
เล่มแรกคือ “ปัญหาทางเพศ: สตรีนิยมและการโค่นล้มอัตลักษณ์ (1990) งานชิ้นสำคัญนี้ให้เหตุผลว่าเพศไม่ใช่ความเป็นจริงทางชีววิทยาโดยธรรมชาติ แต่เป็นโครงสร้างอำนาจทางสังคมที่ดำเนินการ ตอกย้ำ และผลิตซ้ำผ่านการกระทำในชีวิตประจำวัน และมีการนำเสนอแนวคิดเรื่อง “การสวมแสดงบทบาท” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาทฤษฎีสตรีนิยมและทฤษฎีเควียร์ (Queer theory) หรือทฤษฎีที่ใช้ในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการแยกแยะความแตกต่างและความซับซ้อนของเพศและเพศภาวะที่อยู่นอกระบบการแบ่งขั้วทางเพศแบบเดิมที่แบ่งเฉพาะเป็นหญิง-ชาย เท่านั้น
อีกเล่มหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อการทำความเข้าใจกลไกของอำนาจในการสร้างตัวตนของบุคคลคือ “ชีวิตจิตใต้สำนึกแห่งอำนาจ: ทฤษฎีในการยอมจำนน” (The Psychic Life of Power: Theories in Subjection, 1997) ผลงานชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่า อำนาจดำเนินการสร้างอัตบุคคลอย่างไร โดยโต้แย้งว่าปัจเจกบุคคลไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่ก่อน แต่ถูกประกอบสร้างขึ้นผ่านความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ในปีเดียวกัน บัตเลอร์ก็ได้เขียนหนังสือออกมาอีกเรื่องหนึ่งคือ “คำพูดที่น่าตื่นเต้น: การเมืองของการสวมบทบาท” (Excitable Speech: A Politics of the Performative, 1997) หนังสือเล่มนี้สำรวจความสัมพันธ์ระหว่างภาษาและการแสดงออก โดยอธิบายว่าการกระทำทางคำพูดสามารถผลิตและเสริมสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจได้
บัตเลอร์ผลิตผลงานออกมาอย่างต่อเนื่องอีกหลายเล่ม เช่น “บันทึกสู่ทฤษฎีการแสดงออกของการชุมนุม” (Notes Toward a Performative Theory of Assembly, 2015) หนังสือเล่มนี้สำรวจแนวคิดของการชุมนุม โดยอธิบายว่าเป็นพื้นที่สำคัญสำหรับการกระทำและการต่อต้านทางการเมือง และ “พลังแห่งอหิงสา: พันธนาการทางจริยธรรมและการเมือง” (The Force of Nonviolence: An Ethico-Political Bind, 2020) หนังสือเล่มนี้ตรวจสอบนัยทางจริยธรรมและการเมืองของอหิงสา โดยเห็นว่าเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม งานของเธอมีพลังในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักวิชาการและนักเคลื่อนไหวทั่วโลก และอิทธิพลของเธอที่มีต่อความคิดร่วมสมัยก็ไม่อาจปฏิเสธได้
แนวคิดของ บัตเลอร์ เกี่ยวกับอำนาจแตกต่างจากแนวคิดดั้งเดิมที่มองว่าอำนาจเป็นพลังที่กดขี่จากบนลงล่างโดยผู้ที่มีตำแหน่งสูง แต่ บัตเลอร์ โต้แย้งว่าอำนาจเป็นปรากฏการณ์ที่ซับซ้อนและหลากหลายแง่มุม ซึ่งดำเนินการผ่านเครือข่ายของความสัมพันธ์ทางสังคม วาทกรรม และแนวปฏิบัติ อำนาจไม่ใช่สิ่งที่บุคคลครอบครอง แต่เป็นสิ่งที่ถูกเจรจาต่อรองและผลิตซ้ำผ่านปฏิสัมพันธ์และการแสดงในชีวิตประจำวัน บัตเลอร์ โต้แย้งว่าหมวดหมู่อัตลักษณ์ เช่น เพศสภาพ เพศวิถี และเชื้อชาติ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นธรรมชาติหรือมีมาแต่กำเนิด แต่เป็นผลผลิตของวาทกรรมอันทรงพลังที่กำหนดและจำกัดความรู้สึกของบุคคลเกี่ยวกับตนเองและความเป็นไปได้ในการกระทำ
ในมุมมองของบัตเลอร์ อำนาจทำงานผ่านวาทกรรม หรือวิธีการที่ภาษาและความรู้กำหนดความเข้าใจของเราต่อความเป็นจริง แนวคิดนี้ บัตเลอร์ ได้รับอิทธิพลจาก มิเชล ฟูโกต์ ที่ว่าอำนาจไม่ได้ดำรงอยู่ในรูปแบบของสถาบันหรือปัจเจกบุคคลที่เด่นชัด แต่แทรกซึมอยู่ในวาทกรรม วาทกรรมสร้างระบบของความรู้และความจริง ซึ่งกำหนดสิ่งที่คิดและพูดได้ในบริบทที่กำหนด สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องของความจริงที่เป็นกลาง แต่เป็นผลผลิตของความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ตัวอย่างเช่น วาทกรรมทางการแพทย์กำหนดความเข้าใจของเราเกี่ยวกับร่างกาย สุขภาพ และความเจ็บป่วย วาทกรรมนี้ไม่ได้เป็นเพียงการสะท้อนความจริง แต่ยังสร้างความจริงชุดหนึ่งซึ่งมีผลกระทบต่อวิธีที่เราปฏิบัติต่อร่างกายและจัดการกับความเจ็บป่วย นี่คือตัวอย่างของวิธีที่อำนาจทำงานผ่านวาทกรรม
อย่างไรก็ตาม บัตเลอร์เน้นว่าอำนาจไม่ได้เป็นแรงกดทับที่เป็นเอกภาพหรือเป็นไปในทิศทางเดียว วาทกรรมมีความไม่คงที่และขัดแย้งในตัวเอง ซึ่งสร้างพื้นที่สำหรับการต่อต้านและการเปลี่ยนแปลง ปัจเจกบุคคลไม่ใช่เพียงแค่ผู้รับวาทกรรมอย่างเฉื่อยชา แต่เข้าไปมีส่วนร่วมกับวาทกรรมอย่างกระตือรือร้น พวกเขาสามารถยอมรับ ต่อต้าน หรือปรับเปลี่ยนความหมายที่วาทกรรมนำเสนอ ผ่านกระบวนการนี้ พวกเขาจึงมีส่วนในการผลิตและเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ตัวอย่างเช่น ขบวนการเพศทางเลือกได้ท้าทายวาทกรรมทางการแพทย์และศาสนาที่แสดงถึงรสนิยมทางเพศที่ไม่ใช่รักต่างเพศว่าเป็นความผิดปกติหรือบาป ผ่านการสร้างวาทกรรมใหม่ของความภาคภูมิใจและการยืนยันตัวตน พวกเขาได้ปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์เชิงอำนาจและสร้างพื้นที่ใหม่สำหรับอัตลักษณ์และการแสดงออกทางเพศ
แนวคิดที่ทำให้ บัตเลอร์ มีชื่อเสียงคือ แนวคิดเรื่อง “การสวมแสดงบทบาท” ที่อ้างอิงจากงานของ มิเชล ฟูโกต์ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าอัตลักษณ์ไม่ใช่แก่นแท้ที่ตายตัว แต่เป็นชุดของการกระทำและพฤติกรรมที่ซ้ำ ๆ กัน อันเป็นการสร้างภาพลวงตาของตัวตนที่มั่นคงและสอดคล้องกัน “การสวมแสดงบทบาท” เหล่านี้ไม่ได้เป็นไปโดยสมัครใจทั้งหมด แต่ถูกบังคับโดยโครงสร้างอำนาจเชิงบรรทัดฐานที่ควบคุมชีวิตทางสังคม บัตเลอร์ โต้แย้งว่าหมวดหมู่ที่กำหนดอัตลักษณ์เองก็เป็นผลผลิตของความสัมพันธ์เชิงอำนาจ และกระบวนการ “การก่อรูปเป็นอัตบุคคล” ก็เกี่ยวข้องกับการนำเอาหมวดหมู่เหล่านี้มาใช้ และการควบคุมตนเองให้สอดคล้องกับข้อเรียกร้องของหมวดหมู่เหล่านั้น ดังเช่น เพศสภาพไม่ใช่สิ่งที่เรา “เป็น” แต่เป็นสิ่งที่เรา “ทำ” ผ่านการแต่งกาย การแสดงท่าทาง การพูด และพฤติกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน การแสดงออกเหล่านี้สร้างและธำรงรักษาอัตลักษณ์ทางเพศของเรา ในขณะเดียวกันก็ทำให้เพศสภาพดูเหมือนเป็นธรรมชาติและเป็นสากลด้วย
ตัวอย่างที่ชัดเจนของ “การสวมแสดงบทบาท” ของเพศสภาพ ได้แก่ 1). การแต่งกาย ผู้หญิงสวมกระโปรงและชุดเดรส ในขณะที่ผู้ชายสวมกางเกงและเสื้อเชิ้ต การแต่งกายเหล่านี้ไม่ได้เป็นธรรมชาติของเพศ แต่เป็นการแสดงออกทางวัฒนธรรมของความเป็นหญิงและความเป็นชาย 2). บทบาทที่คาดหวังทางเพศ ความคาดหวังทางสังคมที่ว่าผู้หญิงควรเป็นผู้ดูแลและเลี้ยงดูลูก ในขณะที่ผู้ชายควรเป็นผู้นำและหาเลี้ยงครอบครัว สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่คุณลักษณะตามธรรมชาติของเพศ แต่เป็นบทบาททางเพศที่ถูกสร้างขึ้นและถูกผลิตซ้ำผ่านการกระทำ 3). ภาษาและการสื่อสาร การใช้ภาษาแตกต่างกันระหว่างเพศหญิงและชาย เช่น ผู้หญิงมักถูกสอนให้พูดจาสุภาพและอ่อนโยน ในขณะที่ผู้ชายถูกกระตุ้นให้แสดงความมั่นใจ สิ่งเหล่านี้เป็นการแสดงออกทางภาษาที่สร้างและเสริมอัตลักษณ์ทางเพศ
บัตเลอร์ เน้นว่า “การสวมแสดงบทบาท” ไม่ใช่การแสดงที่ผู้คนเลือกได้อย่างอิสระ แต่เป็นผลมาจากการทำซ้ำและการอ้างอิงบรรทัดฐานทางเพศ ในขณะเดียวกัน แนวคิดนี้ก็เปิดโอกาสให้มีการต่อต้านและปฏิเสธบรรทัดฐานเหล่านั้น เพื่อสร้างการแสดงออกทางเพศแบบใหม่ การเข้าใจ “การสวมแสดงบทบาท” ของเพศสภาพสามารถช่วยให้เราท้าทายความคิดที่ว่าเพศเป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่เกิดและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และเปิดพื้นที่ให้มีการสร้างอัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลายและยืดหยุ่นมากขึ้น
ความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจ และ “การสวมแสดงบทบาท” นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งในทฤษฎีของ บัตเลอร์ เธอโต้แย้งว่าอำนาจไม่ได้เป็นเพียงแรงกดดันจากภายนอกที่ควบคุมหรือจำกัดเรา แต่เป็นสิ่งที่สร้างและกำหนดอัตลักษณ์และการกระทำของเรา ความสัมพันธ์นี้สามารถอธิบายได้ดังนี้
1). อำนาจสร้างบรรทัดฐานและความคาดหวังทางสังคม โครงสร้างอำนาจทางสังคม เช่น บรรทัดฐานทางเพศ กำหนดว่าการแสดงออกแบบใดที่ถือว่า "ปกติ" หรือ "เหมาะสม" อำนาจเหล่านี้สร้างขอบเขตที่ให้ “การสวมแสดงบทบาท” ดำเนินไป
2.) การสวมแสดงบทบาททำให้อำนาจดำรงอยู่ ผ่านการทำซ้ำของการกระทำและพฤติกรรมที่สอดคล้องกับบรรทัดฐานทางสังคม “การสวมแสดงบทบาท” ทำให้โครงสร้างอำนาจดูเหมือนเป็นธรรมชาติและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ การแสดงออกซ้ำ ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่รักษาและสืบทอดระบบอำนาจต่อไป
3). อำนาจกำหนดตัวตนของเรา บัตเลอร์โต้แย้งว่าอำนาจไม่ได้เพียงแค่กดขี่เรา แต่ยังสร้างเราในฐานะ “ปัจเจกบุคคล” ผ่านการทำตามบรรทัดฐานทางสังคมซ้ำ ๆ เราจึงกลายเป็น “อัตบุคคล” ที่เข้าใจได้ภายในระบบอำนาจนั้น
อย่างไรก็ตาม บัตเลอร์ ยังเน้นย้ำถึงศักยภาพในการต่อต้านและล้มล้างภายในโครงสร้างอำนาจเหล่านี้ ด้วยการเปิดเผยธรรมชาติที่ไม่แน่นอนและถูกประกอบสร้างขึ้นของหมวดหมู่อัตลักษณ์ บัตเลอร์ เปิดพื้นที่ให้บุคคลท้าทายและเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์เชิงอำนาจเชิงบรรทัดฐานที่จำกัดพวกเขา ผ่านการกระทำ “ความยุ่งเหยิงทางเพศ” (Gender trouble) และรูปแบบอื่น ๆ ของการแสดงที่ท้าทายกฎเกณฑ์ บุคคลสามารถทำลายความเป็นธรรมชาติอันเป็นที่ยอมรับของวาทกรรมกระแสหลัก และสร้างความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ในการดำรงอยู่และการกระทำในโลก
กล่าวคือ แม้ว่าอำนาจจะกำหนดการแสดงบทบาทของเรา แต่ บัตเลอร์ เชื่อว่ายังมีพื้นที่สำหรับการต่อต้าน ผ่านการใช้ “การสวมแสดงบทบาท” แบบใหม่ที่ท้าทายหรือปฏิเสธบรรทัดฐานที่มีอยู่ การแสดงออกที่แตกต่างหรือการกระทำที่ไม่สอดคล้องกับความคาดหวังทางสังคมสามารถเปิดเผยธรรมชาติที่ไม่คงที่ของโครงสร้างอำนาจและสร้างพื้นที่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจและ “การสวมแสดงบทบาท” เป็นความสัมพันธ์แบบวงจร อำนาจสร้างบรรทัดฐานที่กำหนดการแสดงบทบาท และในทางกลับกัน การสวมแสดงบทบาทก็ทำให้โครงสร้างอำนาจดำรงอยู่ อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์นี้ไม่ได้ตายตัว เนื่องจาก “การสวมแสดงบทบาท”ยังเป็นจุดที่สามารถต่อต้านและเปลี่ยนแปลงระบบอำนาจได้เช่นกัน การเข้าใจความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนนี้เป็นหัวใจสำคัญของทฤษฎีเพศสภาพและอำนาจของบัตเลอร์
แนวคิดสำคัญที่เชื่อมโยงกับอำนาจอีกแนวคิดหนึ่งของบัตเลอร์คือ “การก่อรูปของอัตบุคคล” บัตเลอร์โต้แย้งว่าอำนาจไม่เพียงแต่ควบคุมประชากร แต่ยังสร้างพวกเขาด้วย ผ่านกระบวนการก่อรูปของอัตบุคคล ปัจเจกบุคคลถูกสร้างขึ้นในฐานะประชากรภายใต้ความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่มีอยู่ กล่าวอีกนัยหนึ่ง บุคคล (Subject) ไม่ได้เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ก่อนหรือเป็นอิสระจากโครงสร้างอำนาจ แต่ถูกสร้างขึ้นผ่านกระบวนการของอำนาจ อย่างไรก็ตาม กระบวนการนี้ไม่เคยสมบูรณ์หรือมีลักษณะตายตัว เนื่องจากปัจเจกบุคคลสามารถต่อต้านและบิดเบือนโครงสร้างอำนาจที่กำหนดพวกเขา
“การก่อรูปของอัตบุคคล” เป็นกระบวนการที่อำนาจสร้างและกำหนดอัตบุคคล ผ่านกระบวนการนี้ ปัจเจกบุคคลกลายมาเป็นอัตบุคคลที่เข้าใจได้และมีตัวตนภายในระบบของความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่กำหนด พูดอีกอย่างหนึ่ง เราไม่ได้เกิดมาพร้อมกับอัตลักษณ์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิด แต่กลายเป็นอัตบุคคลผ่านการทำตามและการแสดงออกซ้ำ ๆ ของบรรทัดฐานทางสังคม ตัวอย่างเช่น เราไม่ได้เกิดมาพร้อมกับอัตลักษณ์ทางเพศ แต่กลายเป็นอัตบุคคลที่มีเพศผ่านการทำตามบรรทัดฐานและความคาดหวังทางเพศที่สังคมกำหนด เราเรียนรู้ที่จะแสดงออกในฐานะผู้หญิง ผู้ชาย หรืออัตลักษณ์ทางเพศอื่น ๆ ผ่านการทำตามรหัสการแต่งกาย ท่าทาง และพฤติกรรมที่เฉพาะ ผ่านกระบวนการนี้ เราจึงกลายเป็นอัตบุคคลที่มีเพศสภาพที่เข้าใจได้ภายในระบบความสัมพันธ์เชิงอำนาจทางเพศ
อย่างไรก็ตาม บัตเลอร์ เน้นว่ากระบวนการ “การก่อรูปของอัตบุคคล” ไม่ได้เป็นไปในทางเดียวหรือสมบูรณ์ อัตบุคคลไม่ใช่ผลผลิตที่เสร็จสมบูรณ์ของอำนาจ แต่เป็นสิ่งที่ไม่เสถียรและต้องถูกสร้างขึ้นใหม่อยู่เสมอผ่านการแสดงออก นอกจากนี้ กระบวนการ “การก่อรูปของอัตบุคคล” ยังสร้างความเป็นไปได้ในการต่อต้านและการปฏิเสธ เมื่อเราทำตามบรรทัดฐาน เราก็จำลองและเลียนแบบพวกมันด้วย ซึ่งเปิดพื้นที่ให้มีการเลียนแบบที่ผิดพลาดหรือการทำซ้ำที่เปลี่ยนไป การเลียนแบบที่ผิดเหล่านี้สามารถเปิดเผยธรรมชาติที่ไม่มั่นคงของบรรทัดฐาน และสร้างความเป็นไปได้สำหรับการก่อรูปของอัตบุคคลแบบใหม่ ความเข้าใจนี้ช่วยให้เรามองเห็นว่าอัตลักษณ์ไม่ได้ตายตัว แต่สามารถปรับเปลี่ยนและเปลี่ยนแปลงได้ผ่านการแสดงออกที่แตกต่างออกไป เปิดทางให้มีการต่อต้านและการก่อรูปของอัตบุคคลแบบใหม่
ความเปราะบางและความอ่อนแอ ก็เป็นแนวคิดที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของบัตเลอร์ ความเปราะบาง หมายถึงสภาวะของความไม่มั่นคงและความเสี่ยงที่มนุษย์ทุกคนเผชิญ มันเป็นผลมาจากการที่เราอยู่ภายใต้เงื่อนไขทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองที่ไม่มั่นคง ซึ่งทำให้เราอ่อนแอต่อความรุนแรง ความเจ็บป่วย ความยากจน และการถูกกีดกัน บัตเลอร์ระบุว่าความเปราะบางนี้เป็นสภาวะที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ของการมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ข้อยกเว้นแต่เป็นกฎ อย่างไรก็ตาม ความเปราะบางไม่ได้กระจายไปอย่างเท่าเทียมกัน บางกลุ่ม เช่น คนยากจน ผู้อพยพ และชนกลุ่มน้อยทางเพศ ตกอยู่ในสภาวะที่เปราะบางมากกว่า เนื่องจากอคติทางสังคม การกีดกัน และความไม่เท่าเทียม ในแง่นี้ ความเปราะบางจึงเป็นผลมาจากการจัดระเบียบทางอำนาจ ไม่ใช่แค่สภาวะของปัจเจกบุคคล
ความอ่อนแอ (Vulnerability) เกี่ยวข้องกับแนวคิดเรื่องความเปราะบาง แต่มุ่งเน้นไปที่สภาพร่างกายและจิตใจของความเป็นมนุษย์ ในฐานะสิ่งมีชีวิต เรามีร่างกายที่อ่อนแอและเปราะบาง ซึ่งเปิดรับต่อความเจ็บปวด บาดเจ็บ และตาย เรามีความอ่อนแอทางอารมณ์และจิตใจ ซึ่งทำให้เราต้องพึ่งพาความรักและการยอมรับจากผู้อื่น บัตเตอร์เห็นว่าความอ่อนแอนี้ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเอาชนะหรือปฏิเสธ แต่เป็นสิ่งที่เราต้องยอมรับและยอมรับในฐานะเงื่อนไขพื้นฐานของความเป็นมนุษย์
แนวคิดเรื่องความเปราะบางและความอ่อนแอเป็นการท้าทายต่อปัจเจกนิยมเสรีนิยมดั้งเดิม และเรียกร้องให้เรายอมรับสภาวะที่เปราะบางและพึ่งพาอาศัยกันของมนุษย์ การยอมรับนี้ไม่ใช่สัญญาณของความอ่อนแอ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของจริยธรรมและการเมืองที่เข้มแข็งและเห็นอกเห็นใจมากขึ้น และยังนำไปสู่การเมืองของการไม่ใช้ความรุนแรงและสันติภาพด้วย ด้วยการยอมรับความอ่อนแอร่วมกันของเรา เราสามารถพัฒนาจริยธรรมของการไม่ใช้ความรุนแรงและความเห็นอกเห็นใจ เห็นอกเห็นใจผู้อื่นในความเปราะบางและทุกข์ทรมานของพวกเขา ส่งเสริมรูปแบบใหม่ ๆ ของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและสันติภาพ
กล่าวโดยสรุปได้ว่า แนวคิดของ บัตเลอร์ เกี่ยวกับอำนาจ ถือเป็นการปฏิวัติความเข้าใจแบบดั้งเดิมที่มองอำนาจเป็นพลังกดขี่ทิศทางเดียว ด้วยการเน้นย้ำลักษณะอำนาจที่ซับซ้อน มีผลิตภาพ และมีความสัมพันธ์กัน และบทบาทของวาทกรรมและการสวมแสดงบทบาทในการกำหนดความเป็นจริงทางสังคม อัตลักษณ์ การก่อรูปของอัตบุคคล และความเปราะบางและความอ่อนแอ ผลงานของเธอมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อการถกเถียงร่วมสมัยเกี่ยวกับเพศสภาพ เพศวิถี และความยุติธรรมทางสังคม ข้อเท็จจริงของเธอยังคงสร้างแรงบันดาลใจให้นักวิชาการและนักกิจกรรมตั้งคำถามกับความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่กำหนดชีวิตของเรา และจินตนาการถึงความเป็นไปได้ใหม่ ๆ สำหรับการต่อต้านและการเปลี่ยนแปลงด้วยการเมืองแบบสร้างสรรค์