ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - มีข้อมูลออกมาให้ล้วงแคะแกะเกากันอย่างต่อเนื่อง สำหรับ “บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หลัง “พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์” รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) เดินทางมายื่นคำร้องขอออกหมายจับกลุ่มนายตำรวจพร้อมพลเรือนในความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิดฐานฟอกเงินและเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน ตามที่สมคบกัน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5, 9, 10
ทั้งนี้ รายชื่อที่ปรากฏตามคำร้องขอของตำรวจนั้นประกอบด้วย 1.พ.ต.อ.กิตติชัย สังขถาวร รอง ผบก.ภ.จว.สงขลา 2.ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ หวัดแวว 3.ส.ต.อ.ณัฐนันท์ ชูจักร และ 4.นายณพรรษกร (อู๊ด หาดใหญ่) ข้อหา “สมคบฯ ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน” ส่วนอีก 1 คนนั้น เนื่องจากเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ศาลจึงอนุมัติให้เป็น “หมายเรียก” แทน
อย่างไรก็ตาม แม้ไม่ได้มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการว่า นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่รายนั้นเป็นใคร แต่ก็เป็นที่รับรู้กันว่าคือ “บิ๊กโจ๊ก” เพราะผู้ที่ถูกออกหมายจับนั้นแล้วแต่มีสายสัมพันธ์กับนายตำรวจคนดังทั้งสิ้น โดยเป็นผลมาจากการสืบสวนสอบสวนเส้นทางการเงินที่เชื่อมโยงคดีของ สน.เตาปูน ที่พนักงานสอบสวนเคยขอออกหมายจับคดีพนันออนไลน์ ต่อมาจับกุมผู้ต้องหาได้บางส่วน 1 ในนั้นมีนาง พ. (นาม สมมติ) ผู้จัดการเว็บพนัน BNKMaster เป็นที่มาของการขยายผลกระทั่งสามารถออกหมายจับครั้งนี้
ขณะที่ทีมทนายออกมาปฏิเสธว่า “บิ๊กโจ๊ก” ไม่ข้องเกี่ยวกับผู้ต้องหาทั้ง 4 คน พร้อมยืนยันด้วยว่า ตรวจสอบแล้วไม่พบการออกหมายเรียกแต่อย่างใด แต่ที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กับทีมทนายยังบอกด้วยว่า ถ้าตัวเองโดนดำเนินคดี ก็พร้อมจะแฉออกมา ให้ “ตายหมู่” และ “สะเทือน” ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติแน่ เพราะฝั่งตนก็มีหลักฐานเรื่องเส้นทางการเงินไปถึงข้าราชการหลายคนเช่นกัน ซึ่งหลายคนก็ภาวนาให้ทำจริง จะได้ช่วยกันสังคายนาสำนักงานตำรวจแห่งชาติครั้งใหญ่กันเสียที
ความน่าสนใจของเรื่องนี้อยู่ตรงที่การทำให้เห็นว่า เส้นทางเงินจากเว็บพนันที่มาถึงมือตำรวจนั้นมีจำนวนนวนมาก และสะท้อนให้เห็นว่า ที่ผ่านมามีตำรวจทำมาหากินเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน และบรรดาผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับทั้ง 4 คนล้วนแล้วแต่เป็น “ทีมโจ๊ก” ทั้งสิ้น ซึ่งแม้ทั้งหมดจะปฏิเสธทุกข้อหา แต่การที่ศาลอนุมัติหมายจับให้ก็ย่อมต้องเห็นข้อมูลบางประการที่มีน้ำหนักเพียงพออย่างแน่นอน
นั่นเป็นเพียง คดีล่าสุดที่เพิ่งเกิดขึ้นเท่านั้น เพราะในความจริงแล้ว เรื่องของ “บิ๊กโจ๊ก” ยังมีอีกมาก จนถึงกลับต้องกล่าวว่า ซึ่งจะว่าไปก็เห็นได้ชัดว่าเต็มไปด้วยซูเปอร์คอนเนกชันที่คอยอุปถัมภ์ค้ำชูอย่างกว้างขวาง เรียกว่าเป็น “ตัวตึงแห่งยุคสมัย” ไม่แพ้ “นายใหญ่คนเสื้อแดง” ที่ไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว
ป.ป.ช.เละยิ่งกว่าโจ๊ก
ประเด็นแรกที่ต้องกล่าวถึงก็คือ เมื่อไล่เรียง “เส้นเงิน” ของคดีเว็บพนันออนไลน์มินนี่ก่อนหน้านี้ ซึ่งหนึ่งในผู้ต้องหาคือ “พ่อบ้านนายตำรวจใหญ่” ก็พบด้วยว่า มีความโยงโยกับ “อดีตบิ๊ก ป.ป.ช.” โดยในหลักฐานที่ยื่นขอออกหมายจับนั้น พบ “เส้นเงิน” ซึ่งคาดว่าเป็นกำไรจากเว็บพนันออนไลน์ โอนเข้าบัญชีพ่อบ้านนายตำรวจใหญ่ จากนั้นก็มีการผ่องถ่ายโดยใช้ “บัญชีม้าหญิง” อีกตัวใช้จ่ายรับรองดูแลส่วนตัวให้แก่เจ้าหน้าที่ป.ป.ช. หลายคน
อาทิ เป็นค่าใช้จ่ายรองรับดูแลส่วนตัว เป็นค่าเครื่องบินให้กับชุด เจ้าพนักงาน ป.ป.ช.จำนวนหลายคน ที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ ให้เดินทางไปที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลาเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2565 นอกจากนี้ยังพ่วง จ่ายค่าเครื่องให้ลูก-เมีย และ แฟนของเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ในเที่ยวบินนี้ด้วย ซึ่งกรณีนี้เห็นว่าอยู่ในระหว่างสืบสวนของ บก.ปปป.
สำหรับ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. 3 ราย ที่ร่วมบินทริปหาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อ 11 มีนาคม 2565 โดยใช้ “บัญชีม้าสาว” จ่ายค่าตั๋วเครื่องบิน โรงแรมหรู สปา ทัวร์ไหว้พระประกอบไปด้วย
1. นาย ส. พร้อม ลูก-เมีย
2. นาย จ. พร้อมกิ๊กสาว
3. นาย ว.
โดยเมื่อเดินทางกลับมาจากหาดใหญ่ กิ๊กสาว ของ “นาย จ.” ได้รับการอนุเคราะห์ให้เข้ารับราชการตำรวจ นอกจากนี้ยังมีเครือญาติที่เป็นผู้ชายอีกคนของ “นาย จ.” ยังได้รับการฝากฝังเข้าทำงานที่หน่วยงานความมั่นคงแห่งหนึ่ง ในเวลาเดียวกันมีหญิงสาว ที่เป็นเครือข่ายของ พรรคพวก “นาย ส.” ก็ได้รับการอนุเคราะห์ให้เข้ารับราชการตำรวจด้วย อีก 1 คน ซึ่งทำให้ถึง “บางอ้อ” เลยว่า ทำไมป.ป.ช.จึงช่วยให้รอดคดีอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นคดีที่เกิดขึ้นในอดีตหรือปัจจุบันก็ตาม
งานนี้เรียกว่าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) “เละเป็นโจ๊ก” กันเลยทีเดียว
นอกจากนั้น ยังมีกรณีที่ “นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์” ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรรม เข้าพบ พ.ต.ต.ทิฆัมพร ทองกลอย สว.สอบสวน กก.5 บก.ปปป เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษ ป.ป.ช. ตามความผิด ม. 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ กรณีมีการรับคดี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ไปทำเอง และมีการเรียกคดีของ พ.ต.อ. ภาคภูมิ พิศมัย จากอัยการมาทำอีก
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า มี ป.ป.ช.รายหนึ่ง กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีความสนิทสนมกันส่วนตัว ในคดีที่มีการไต่สวนที่อยู่ในความดูแลของ ป.ป.ช.ท่านนั้นจะไม่มีการชี้มูลความผิด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เลย ซึ่งส่วนความสัมพันธ์ของทั้งสองนั้น ขณะนี้จเรตำรวจแห่งชาติได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว
ส่วนกรณีฟอกเงินจากการขายพระเครื่องนั้น ทราบมาว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นนายหน้าซื้อขายพระระหว่างอดีตข้าราชการกับเซียนพระชื่อดังเมืองชล โดยได้รับค่านายหน้ามาประมาณกว่า 10 ล้านบาท ก่อนจะนำเงินไปซื้อปืน ซึ่งเรื่องนี้ตนจะยื่นเรื่องให้กับสรรพากร ในวันที่ 22 มีนาคมนี้ เพื่อให้ตรวจสอบถึงเส้นทางการเงินส่วนนี้ว่ามีการเสียภาษีด้วยหรือไม่
ไขปริศนาเส้นทาง “ทองแท่ง” มูลค่าร้อยล้าน
ไม่เพียงเท่านั้น ในห้วงเวลาเดียวกันก็ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่อง “ทองคำแท่ง” ของนายตำรวจใหญ่โผล่ออกมาอีก โดยเป็น “ทองคำแท่ง” ที่น้ำหนักถึง 11,000 บาท ซึ่งถ้าคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันบาทละ 36,500 บาท ก็ต้องมี 400 กว่าล้านบาทเป็นอย่างน้อย
ขุมทรัพย์นี้ถูกค้นพบจากทีมสอบสวนคดีส่วยมินนี่ ที่กลุ่มลูกน้องคนสนิท “บิ๊กโจ๊ก ที่ถูกดำเนินคดี จากบันทึกของ “พ.ต.ท.คริษฐ์” ที่ระบุว่า “พ.ต.ต.ชานนท์ อ่วมทร” กับพวก จัดการขายทองคำน้ำหนักรวม 11,000 บาท ช่วงระหว่างเดือนกุมภาพันธ์- มีนาคม 2563 ในขณะที่ตอนนั้นราคาทองคำประมาณบาทละ 24,000 บาท
หลักฐานชัดยิ่งกว่าชัด พบว่า พ.ต.ต. ชานนท์ ได้ขายทองแท่งด้วยตัวเขาเอง ให้กับห้างทองชื่อดังย่านเยาวราชเป็นทองคำน้ำหนัก 3,000 บาท ได้เงินไปครั้งนั้น 74 ล้านบาทเศษ
นอกจากนี้ ยังพบบันทึกเกี่ยวกับขุมทรัพย์ทองคำทั้งที่สั่งให้หน้าม้าเดินขาย และพ.ต.ต.ชานนท์ นำไปขายเองได้เงินไปถึง 249 ล้านบาท จากการขายทองคำให้ร้านทองในเครือเดียกันเพียง 3-4 ครั้ง
ฟังว่า ตอนนี้ ทีมสอบสวนกำลังสืบหาเส้นทางการเงิน ว่าเงินที่ได้จากการขายทองคำมหาศาลถึง 249 ล้านบาทนั้น จากบัญชีนายเวรแล่นต่อไปยังบัญชีของใครบ้าง !?
สำหรับตัว พ.ต.ต.ชานนท์นั้น หากยังจำกันได้ในปฏิบัติการบุกค้นเมื่อปลายปี2566 ตำรวจชุดทำคดีออกหมายค้นบ้านหลังสโมสรตำรวจที่อ้างว่าเช่าจาก “เสี่ยแต๋ม อุดร” ก็เพราะมีหมายจับ พ.ต.ต.ชานนท์ และสืบทราบว่า พ.ต.ต.ชานนท์ พักอาศัยที่บ้านในซอยวิภาวดี 60 ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งได้จับกุมตัวชานนท์ที่บ้านของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นั่นเอง
พ.ต.ต.ชานนท์ มีภาระต้องตอบคำถามแรกก่อนเลยว่า ก่อนจะขายทองไป 200-300 ล้านบาท เขาเอาเงินจากไหนมาซื้อทองคำน้ำหนักรวมถึงหมื่นกว่าบาท ?
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ที่สำนักงาน ปปง. ในแถลงผลสรุปการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ประจำเดือน มี.ค.67 หนึ่งในหัวข้อแถลงก็มีเรื่อง “ทอง” ดังกล่าวอยู่ด้วย โดย “นายวิทยา นีติธรรม” ผอ.กองกฎหมาย และในฐานะโฆษกสำนักงาน ปปง. แจกแจงถึงกรณีดังกล่าวว่า จะต้องลงไปตรวจสอบให้ครบถ้วนมากยิ่งขึ้นว่ามีการปฏิบัติครบถ้วนตามกฎหมายหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นพบว่ามีการทำธุรกรรมซื้อขายทองคำจริง โดยจะมอบหมายให้กองกำกับและตรวจสอบลงไปแสวงหาข้อมูล แต่ต้องใช้ระยะเวลาและจะมีการรายงานให้รับทราบอีกครั้ง
นอกจากนั้น ในกรณีที่เป็นข้าราชการตำรวจระดับสูงแล้วมีการนำทองไปซื้อขาย ก็จะต้องมีการประสานสอบถามข้อมูลกับทางสำนักงาน ป.ป.ช. เพราะจะต้องมีการยื่นบัญชีทรัพย์สิน ไว้มาตรวจสอบประกอบคู่กัน ส่วนจะมีการเชิญนายตำรวจระดับสูงเข้ามาชี้แจงหรือไม่นั้น ขอตรวจสอบข้อมูลรายละเอียดที่จะได้รับจากพนักงานสอบสวน สน.เตาปูน ก่อน
...เห็นข้อมูลและการขยับเขยื้อนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว งานนี้ต้องใช้คำว่า “เละเป็นโจ๊ก” อย่างแน่นอน