ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เป็นไปตามไฟต์บังคับ มติของที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่เป็นเอกฉันท์ ให้เสนอเรื่องพร้อมความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรคก้าวไกล
อันเป็น “อาฟเตอร์ช็อก” ผลพวงจากกรณีที่ ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์วินิจฉัยว่า การกระทำของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” และ “พรรคก้าวไกล” ที่เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แล้วใช้เป็นนโยบายในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง เป็นการใช้สิทธิ หรือเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ “คดีล้มล้างการปกครอง” เมื่อวันที่ 31 ม.ค.67
โดยมาตรา 92 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ที่ระบุว่า “เมื่อคณะกรรมการมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองใดกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ ให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคการเมืองนั้น
มี (1) ของมาตรา 92 ระบุว่า “กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ”
หลังมีข่าวว่า กกต.ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรค บรรดาแกนนำ-แกนตาม รวมถึง ”เสี่ยเอก“ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งถือเป็นศาสดาค่ายสีส้ม ต่างออกมา “สั่นสู้-สั่งเสีย” ไม่ยี่หระกับการจะถูกยุบพรรคอีกคำรบ พร้อมขู่คำรามด้วยว่า “ยิ่งยุบ-ยิ่งโต”
เอาเข้าจริงเรื่องยุบพรรคพรรคไม่ใช่เรื่องใหม่ และเชื่อว่า มีการเตรียมการ-เตรียมใจไว้แล้ว โดย“ค่ายสีส้ม” พรรคก้าวไกล เองก็เป็นผลพวงมาจาก “รุ่น 1” พรรคอนาคตใหม่ ถูกศาลวินิจฉัยยุบพรรคจากกรณีการรับบริจาคเงินไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดย “ธนาธร” และคณะ ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี
ก็มีการคาดกันว่าการวินิจฉัยยุบพรรตก้าวไกลในคดีล้มล้างการปกครองครั้งนี้ ก็น่าจะเป็นไปตามร่องของอดีตพรรคอนาคตใหม่ คือถูกยุบพรรค พร้อมตัดสิทธิ์คณะกรรมการบริหารพรรค
เมื่อสำรวจตรวจสอบรายชื่อสารบบกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ขณะถูกร้องคดีล้มล้างการปกครอง หรือในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง พ.ค.66 ที่ตอนนั้น “แด๊ดดี้ทิม-พิธา” ยังเป็นหัวหน้าพรรคอยู่ ซึ่งเข้าข่ายจะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง พบว่ามีอยู่เพียง 10 คน อันเป็นเตรียมใจว่า อาจจะถูกยุบพรรคตั้งแต่ต้น จึงแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคเท่าที่จำเป็น
โดย 10 กรรมการบริหารพรรค ประกอบด้วย “พิธา” หัวหน้าพรรค, “โกต๋อม” ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน ในฐานะเลขาธิการพรรคขณะนั้น, ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ เหรัญญิกพรรค, ณกรณ์พงศ์ ศุภนิมิตตระกูล นายทะเบียนสมาชิกพรรค ที่เหลือเป็นกรรมการบริหารพรรคตามสัดส่วนอีก 6 คน คือ ปดิพัทธ์ สันติภาดา, สมชาย ฝั่งชลจิตร, อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล, อภิชาต ศิริสุนทร, เบญจา แสงจันทร์ และสุเทพ อู่อ้น
โดยในจำนวนนี้มีที่เป็น สส.ปัจจุบันอยู่ 7 คน เว้น ณธีภัสร์-ณกรณ์พงศ์-อมรัตน์ ไม่ได้เป็น สส.ชุดปัจจุบัน (ปัจจุบัน ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 และ สส.พิษณุโลก ย้ายไปสังกัดพรรคเป็นธรรม)
ว่ากันว่าพรรคก้าวไกลมีการวางฉากทัศน์ทางการเมืองไว้ 2 ฉากด้วยคือ คือทางหนึ่ง รอดคดียุบพรรค ก่อนจะมีการปรับโครงสร้างพรรคครั้งใหญ่ที่เดิมกำหนดไว้ในช่วงเดือน เม.ย.67 ที่คาดว่าจะดัน “พิธา” คัมแบ็กมาเป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้ง และให้มวยแทนอย่าง “ชัยธวัช” กลับมาเป็นเลขาธิการพรรค
อีกทาง หากถูกยุบพรรค ก็จะดันแกนนำแถว 2-3 ขึ้นมานำพรรคใหม่ที่มีการเตรียมเทกโอเวอร์พรรคการเมืองในระบบมารีโนเวทเป็น “ค่ายสีส้ม เฟส 3” เหมือนตอนพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ แล้วเทกโอเวอร์ “พรรคผึ้งหลวง” มาทำพรรคก้าวไกล
ส่วน 10 กรรมการบริหารพรรคโดนหนักกว่ารุ่น “ธนาธร” ที่โดนแบนแค่ 10 ปี เพราะความผิดฐานล้มล้างการปกครอง มีโทษตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต
สำหรับรายชื่อแกนนำแถว 2-3 ที่คาดว่าจะขึ้นมาแทนที่รุ่นพี่ที่จะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง นำโดย “เจ๊ไหม” ศิริกัญญา ตันสกุล ที่ถูกวางตัวเป็นแคนดิเดตหัวหน้าพรรคคนใหม่ โดยมีรายชื่อแคนดิเดตผู้บริหารพรรค อาทิ พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์, ณัฐวุฒิ บัวประทุม, วิโรจน์ ลักขณาอดิศร, พริษฐ์ วัชรสินธุ, ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์, ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ, ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล, สุรเชษฐ์ ประวีณวงษ์วุฒิ และ รังสิมันต์ โรม เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ต้องไม่ลืมว่า ยังมี “อาฟเตอร์ช็อก” จากคดีล้มล้างการปกครอง ที่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ยังได้ระบุชี้ชัดลงไปอีกว่า มี สส.ก้าวไกล จำนวน 44 คน ร่วมลงลายมือชื่อเพื่อยื่นเสนอร่างกฎหมายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เสมือนเป็นการชี้เป้าให้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบจริยธรรม 44 สส.ก้าวไกลดังกล่าวด้วย ซึ่งหากมีการชี้มูลความผิดก็ต้องส่งฟ้องต่อศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
เทียบเคียงกับกรณีที่ “สาวช่อ” พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า และอดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ที่ถูก “ประหารชีวิตทางการเมือง” โดย ศาลฎีกาฯ พิพากษา เมื่อเดือน ก.ย.66 ว่า กระทำการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง จากกรณีโพสต์ภาพและข้อความในลักษณะเป็นการกระทำอันมิบังควรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ลงเฟซบุ๊กส่วนตัว และสั่งเพิกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งตลอดไป
ที่สำคัญกรณี “พรรณิการ์” เป็นการกระทำก่อนที่จะเข้ามาเป็น สส. ขณะที่ 44 สส.เพิ่งเซ็นเสนอกฎหมายกันเมื่อไม่กี่ปีก่อน ทำให้หลายคนมองว่า “รอดยาก”
สำหรับรายชื่อ 44 สส.ประกอบไปด้วย 1.พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ, 2.พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ สส.บัญชีรายชื่อ, 3.ธีรัจชัย พันธุมาศ สส.บัญชีรายชื่อ, 4.ญาณธิชา บัวเผื่อน สส.จันทบุรี, 5.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ, 6.กัญจน์พงศ์ จงสุทธนามณี สส.บัญชีรายชื่อ, 7.เบญจา แสงจันทร์ สส.บัญชีรายชื่อ, 8.พ.ต.ต.ชวลิต เลาหอุดมพันธ์ สส.บัญชีรายชื่อ, 9.นิติพล ผิวเหมาะ สส.บัญชีรายชื่อ, 10.เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร สส.กทม., 11.ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม.,
12.ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ, 13.ปดิพัทธ์ สันติภาดา สส.พิษณุโลก, 14.อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล สส.บัญชีรายชื่อ, 15.ประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ สส.บัญชีรายชื่อ, 16.ปริญญา ช่วยเกตุ คีรีรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ, 17.ณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ, 18.ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.กทม., 19.ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ สส.บัญชีรายชื่อ, 20.สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา สส.นครปฐม, 21.วรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ, 22.คำพอง เทพาคำ สส.บัญชีรายชื่อ
23.สมเกียรติ ถนอมสินธุ์ สส.กทม., 24.ทองแดง เบ็ญจะปัก สส.สมุทรสาคร, 25.จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา, 26.จรัส คุ้มไข่น้ำ สส.ชลบุรี, 27.สุเทพ อู่อ้น สส.บัญชีรายชื่อ, 28.ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สส.บัญชีรายชื่อ, 29.อภิชาติ ศิริสุนทร สส.บัญชีรายชื่อ, 30.องค์การ ชัยบุตร สส.บัญชีรายชื่อ, 31.พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ สส.บัญชีรายชื่อ, 32.ณัฐพล สืบศักดิ์วงศ์ สส.บัญชีรายชื่อ, 33.ศักดินัย นุ่มหนู สส.ตราด
34.มานพ คีรีภูวดล สส.บัญชีรายชื่อ, 35.วาโย อัศวรุ่งเรือง สส.บัญชีรายชื่อ, 36.วรรณวิภา ไม้สน สส.บัญชีรายชื่อ, 37.วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ, 38.สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ, 39.ทวีศักดิ์ ทักษิณ สส.บัญชีรายชื่อ, 40.สมชาย ฝั่งชลจิตร สส.บัญชีรายชื่อ, 41.สมเกียรติ ไชยวิสุทธิกุล สส.บัญชีรายชื่อ, 42.วุฒินันท์ บุญชู สส.สมุทรปราการ, 43.รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ และ 44.สุรวาท ทองบุ สส.บัญชีรายชื่อ
จำนวนนี้โดยมากก็ยังเป็น สส.สังกัดพรรคก้าวไกลในสภาชุดปัจจุบันอยู่ และส่วนใหญ่ก็ถือเป็นระดับ “แกนนำ” ของพรรค มีเพียงบางส่วนที่เว้นวรรคไม่ได้ลงสมัคร เช่น “พิจารณ์-อมรัตน์-ญาณธิชา” หรือบางส่วนที่ย้ายพรรคไปแล้ว เช่น “สมเกียรติ ถนอมสินธุ์-ทองแดง เบ็ญจะปัก” เป็นต้น
โดย สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. คาดว่า คดียุบพรรคก้าวไกลของศาลรัฐธรรมนูญจะใช้เวลาพิจารณาไม่เกิน 2 เดือนนับจากนี้ เพราะแทบไม่ต้องไต่สวนใหม่ แต่อาจมีการเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงเพิ่มเติมได้
ขณะที่ขั้นตอนพิจารณาจริยธรรมร้ายแรง 44 สส. อาจใช้เวลาราว 1 ปี
ประเมินแบบ “เลวร้ายที่สุด” พรรคก้าวไกลถูกยุบ กรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิ์ และ 44 สส.ถูกตัดสินว่าฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง และถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง เท่ากับว่า “แกนนำ-ตัวตึง” ของ “ค่ายสีส้ม” ก็ต้องปิดฉากเส้นทางการเมืองของตัวเองกันยกแผง
แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะตามคติ “ค่ายสีส้ม” ที่ว่า พรรคอนาคตใหม่-พรรคก้าวไกล คือผู้คนและการเดินทาง ที่ไม่ได้ยึดติดกับตัวบุคคล
ตามไทม์ไลน์ 2 คดี อาจดันให้แถว 2-3 ใน 44 สส.ขึ้นมาขับเคลื่อนพรรคใหม่ก่อนคดีจริยธรรมจะตัดสิน แต่หากไม่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง ก็อาจดันแถว 3 ขึ้นมานำพรรคใหม่ไปเลย
โดยคาดว่า “ไอติม” พริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรค ที่แม้จะขึ้นมานำพรรค แม้จะมีสายเลือด “ค่ายสะตอ” พรรคประชาธิปัตย์ ก็ตาม แต่เป็นที่ถูกอกถูกใจ “บอสใหญ่” และเตรียมดันขึ้นมาชูแทน ”แด๊ดดี้ทิม“ อยู่แล้ว
สมทบด้วย บรรดาผู้แทนฯ “ดาวรุ่ง” ที่เริ่มฉายแสงเห็นแววในช่วงต้นของสภาฯชุดนี้ อาทิ “ทนายแจม” ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กทม., “เสี่ยแบงค์” ศุภณัฐ มีนชัยนันท์ สส.กทม., “สาวผึ้ง” พนิดา มงคลสวัสดิ์ สส.สมุทรปราการ, “กู๊ดดี้” ชยพล สท้อนดี สส.กทม., “ทนายจอจาน” เอกราช อุดมอำนวย สส.กทม. และ “อ้ายตี๋” ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส.เชียงใหม่ รวมไปถึงเซเลปฯอย่าง “หนุ่มเพชร” กรุณพล เทียนสุวรรณ หรือ “สาวหมิว” สิริลภัส กองตระการ สส.บัญชีรายชื่อ เป็นต้น
บวกกับ “ตัวตึง” ระดับฮาร์ดคอร์ ที่เพิ่งเข้ามาเป็น สส.ไม่ได้มีส่วนในคดีของรุ่นพี่ ทั้ง “สาวไอซ์” รักชนก ศรีนอก สส.กทม. ที่แม้จะถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก 6 ปี ไม่รอลงอาญา ในคดีผิดตามมาตรา 112 และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ แล้ว แต่ก็ยังอยู่ในชั้นการต่อสู้อุทธรณ์-ฎีกา ถือว่ายังมีเวลาในสภาฯอีกพักใหญ่, “โตโต้” ปิยรัฐ จงเทพ สส.กทม. อดีตแกนนำการ์ดกลุ่มวีโว่ ที่ปัจจุบันเป็น ก็เพิ่งถูกอัยการสั่งฟ้องต่อศาลกาฬสินธุ์คดี มาตรา 112 เมื่อกลางปี 2566 และ “ลูกเกด” ชลธิชา แจ้งเร็ว สส.ปทุมธานี อดีตนักกิจกรรมนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่มีมีคดีมาตรา 112 อยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นศาลอาญา
หากเป็นไปตามฉากทัศน์ที่ว่าไปจริง ก็ต้องดูว่าค่านสีส้ม เฟส 3 จะ “ยิ่งยุบ ยิ่งโต” แบบ 6 ล้านเสียงของพรรคอยาคตใหม่ มาเป็น 14 ล้านเสียงของพรรคก้าวไกล
หรือจะ “เลี้ยงไม่โต” เพราะมีข้อหา “ล้มล้างฯ” แปะอยู่กลางหน้าผากกันแน่.