xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เวียงวังหมื่นปี (2) เพื่อโอรสแห่งสวรรค์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


1.แปลนของพระราชวังต้องห้าม - – - เส้นแบ่งโดยประมาณระหว่างเขตพระราชฐานชั้นใน (ด้านเหนือ) และเขตพระราชฐานชั้นนอก (ด้านใต้) A. ประตูอู่ B. ประตูเฉินอู่ C. ประตูซีหวา D. ประตูตงหวา E. ป้อมมุมกำแพง F. ประตูไท่เหอ G. พระที่นั่งไท่เหอ H. ตำหนักอู่หยิง J. ตำหนักเหวินฮวา K. พระที่นั่งหน่านซัน L. พระตำหนักเฉียนชิง M. อุทยานหลวง N. ตำหนักหย่างซิน O. พระที่นั่งเฉียนหลง(ภาพ : วิกิพีเดีย)
ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล

 การสร้างพระราชวังต้องห้ามก็เหมือนกับการสร้างสิ่งปลูกสร้างทั่วไป ที่อย่างไรเสียจะต้องมีการวาดภาพเค้าโครงของวังก่อนว่าควรจะสร้างอะไรบ้าง แต่ที่ต่างออกไปจากสิ่งปลูกสร้างทั่วไปก็คือ นี่คือวังที่มิใช่บ้านไม่กี่สิบกี่ร้อยตารางวาหรือคฤหาสน์ของมหาเศรษฐี แต่เป็นที่สิงสถิตของมนุษย์ที่ถูกยกให้เป็นโอรสแห่งสวรรค์ ภาพร่างของวังถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ภาพร่าง แต่ภาพนั้นก็ต้องบ่งบอกถึงหน้าที่ของวังเอาไว้ก่อนว่าควรมีสิ่งปลูกสร้างอะไรบ้าง 


เหตุฉะนั้น ภาพร่างของวังในเบื้องต้นจึงถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วนตามการใช้งาน นั่นคือ ส่วนหน้าที่เป็นที่ว่าราชการของจักรพรรดิ ส่วนหลังที่เป็นที่พำนักของจักรพรรดิและพระบรมวงศานุวงศ์ ส่วนซ้ายที่เป็นที่ตั้งหอบุรพจักรพรรดิ ส่วนขวาที่เป็นที่ตั้งศาลเทพยดา

กล่าวเฉพาะสองส่วนหลังข้างต้น หอบุรพจักรพรรดิเดิมที่จักรพรรดิใช้เซ่นบวงสรวงดวงวิญญาณของอดีตจักรพรรดิในวาระต่างๆ เพื่อความเป็นสิริมงคลของจักรพรรดิและพระบรมวงศานุวงศ์ ปัจจุบันได้ถูกเปลี่ยนมาเป็นห้องจัดแสดงปฏิบัติการพระราชวัง (Worker’s Palace Culture) ส่วนศาลเทพยดาที่แต่เดิมจักรพรรดิใช้เซ่นบวงสรวงฟ้าดินให้แผ่นดินและพืชผลอุดมสมบูรณ์นั้น ก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นสวนจงซัน (Zhongshan Park)

การเปลี่ยนแปลงนี้ย่อมเป็นไปตามยุคสมัยที่ความเชื่อได้เปลี่ยนไปตามกาลเวลาแล้วนั้นเอง

พ้นไปจากภาพร่างโครงสร้างกว้างๆ ของวังแล้ว ผู้ออกแบบยังกำหนดให้ด้านท้ายของวังที่เป็นทิศเหนือเป็นที่ตั้งของเนินเขาจิ่ง (จิ่งซัน) ในแง่นี้จึงมองได้ว่า เนินเขาจิ่งที่เป็นฉากหลังนี้จะคอยระวังหลังให้กับวัง เพื่อการทำหน้าที่ของวังเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เรารู้ด้วยว่า วังนี้หันหน้าไปทางทิศใต้ ซึ่งสอดคล้องกับหลักเฟิงสุ่ย (ฮวงจุ้ย) ในคติความเชื่อของจีน

ต่อมาเป็นชื่อของวังที่เรียกว่า พระราชวังต้องห้าม ซึ่งมีคำถามว่า ทำไมจึงต้อง “ต้องห้าม”  ด้วย

 เกี่ยวกับเรื่องนี้ขอเริ่มจากความหมายของชื่อที่แท้จริงก่อนคือชื่อที่ว่า นครต้องห้าม ซึ่งตรงกับชื่อในภาษาอังกฤษว่า Forbidden City นั้นในภาษาจีนคือ จื่อจิ้นเฉิง (紫禁城) คำสำคัญของชื่อนี้อยู่ตรงคำว่า จื่อ ที่แปลว่า สีม่วง สีนี้เป็นสัญลักษณ์ของดาวเหนือ อันเป็นดาวที่อุปมาจักรพรรดิเป็นผู้ปกครองโลกในฐานะโอรสแห่งสวรรค์ และเป็นผู้รักษาดุลยภาพของโลกกับจักรวาลให้เป็นระเบียบ ฐานะเช่นนี้จึงสูงส่งเกินเอื้อมของสามัญชนคนธรรมดา 

เมื่อคติความเชื่อเป็นเช่นนี้ วังแห่งนี้จึงมีนัยต้องห้ามสำหรับสามัญชนคนธรรมดา ชื่อของวังนี้หากแปลตรงตัวจึงคือ นครสีม่วงต้องห้าม แต่เนื่องจากคำว่า นคร (เฉิง) เป็นคำที่เปรียบจักรพรรดิสถิตย์ในเมืองอันเป็นที่เฉพาะของพระองค์ ในขณะที่ความเป็นจริงคือ วัง หาใช่ นคร ไม่ ภาษาไทยจึงเรียกชื่อวังนี้ตามคติความเชื่อของไทยด้วยคำว่า วัง งานศึกษานี้จึงเรียกวังนี้ว่า พระราชวังต้องห้าม

จากภาพร่างโครงสร้างของวังก็ดี หรือฐานคิดคติความเชื่อของวังก็ดี เมื่อจะต้องลงมือสร้างจริงๆ แล้ว การสร้างก็ต้องสร้างให้สอดคล้องกับภาพร่างและคตินั้นไปด้วย ถึงตรงนี้หากคิดคล้อยตามไปด้วยก็จะพอมองออกว่า งานสร้างวังนี้ไม่เพียงต้องใช้ทรัพยากรมากมายมหาศาลเท่านั้น หากแม้แต่ทรัพยากรที่จะใช้สร้างนั้นก็ย่อมมิใช่ทรัพยากรธรรมดาๆ ด้วยเช่นกัน

ที่สำคัญ ทรัพยากรนี้ย่อมต้องมีมนุษย์รวมอยู่ด้วย ซึ่งก็คงไม่ใช่แค่ไม่กี่สิบกี่ร้อยหรือกี่พันคน

เมื่อความต้องการทรัพยากรเป็นไปตามภาพร่างและคติความเชื่อเช่นนั้น การแสวงหากับการใช้ทรัพยากรจึงเป็นเรื่องที่มโหฬารพันลึก เริ่มจากช่างหัตถกรรมที่เกณฑ์มาจากทั่วประเทศไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนคนที่มีตั้งแต่ช่างแกะสลัก ช่างเขียน ช่างไม้ ช่างตัดเย็บผ้า ช่างก่อสร้าง ฯลฯ ตลอดจนสถาปนิกและวิศวกร

พ้นไปจากนี้ก็คือ นักบวชหรือผู้มีความรู้เรื่องศาสตร์ในการสร้างบ้านแปลงเมือง กลุ่มหลังนี้ถ้าเรียกกันในปัจจุบันก็คือ บุคลากรสายมู

กล่าวเฉพาะงานด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมแล้ว จีนมีภูมิปัญญาทางด้านนี้มานานนับพันปีแล้ว งานออกแบบเพื่อสร้างบ้านแปลงเมืองของแต่ละราชวงศ์มีหลักฐานระบุถึงเรื่องนี้ บางสมัยยังระบุชื่อของสถาปนิกและวิศวกรด้วยว่าได้ทำอะไรอย่างไรไปบ้าง

ในยุคที่เทคโนโลยียังมิได้เจริญก้าวหน้าดังทุกวันนี้ เฉพาะรูปร่างหน้าตาของแบบแปลนของวังนี้จะถูกวาดให้อยู่บนกระดาษแต่ละแผ่นอย่างไร ซึ่งคงไม่ใช่แผ่นสองแผ่นอย่างแน่นอน

ในส่วนของแรงงานเข้มข้นนั้นมีหลักฐานว่า มีการเกณฑ์แรงงานนี้นับล้านคน เพื่อขนสิ่งของหรือทรัพยากรจากที่ต่างๆ มายังเมืองหลวงปักกิ่ง โดย  ไม้ขนาดใหญ่ จะขนมาจากป่าในมณฑลซื่อชวนหรือเสฉวน กุ้ยโจว กว่างซี หูหนัน และอวิ๋นหนันหรือยูนนาน และด้วยขนาดและน้ำหนักของไม้เหล่านี้ทำให้การขนย้ายต้องกระทำผ่านทางน้ำเป็นหลัก ทางบกเป็นรอง

ถัดมาคือ  หินอ่อน  จากเมืองฝังซันที่อยู่นอกเมืองปักกิ่งออกไปไม่ไกลนัก หินสีมาจากอำเภอจี้ (จี้เสี้ยน) ปัจจุบันคือเมืองจี้ (จี้โจว) หินแกรนิตจากอำเภอชีว์หยัง (ชีว์หยังเสี้ยน) ทั้งสองแห่งนี้ล้วนอยู่ในเหอเป่ย ของที่มีขนาดใหญ่และน้ำหนักมากนี้ในบางช่วงจะถูกขนผ่านฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ บางช่วงต้องเผชิญกับแรงคลื่นที่สาดกระแทกด้วยความเชี่ยวกรากของแม่น้ำ บางช่วงจักต้องลากจูงด้วยเลื่อนบนหิมะหรือน้ำแข็ง

ซ้ำร้ายบางช่วงที่การขนย้ายมิอาจผ่านไปได้ ก็ต้องใช้วิธีขุดเพื่อปรับพื้นที่ให้สามารถขนย้ายไปได้ มีบางพื้นที่ที่ต้องขุดทุกๆ 500 เมตรก็มี ดังนั้น ช่วงการขนย้ายที่ดีที่สุดก็คือช่วงฤดูร้อน โดยเฉพาะการขนย้ายหินขนาดใหญ่ที่ทำโดยการกลิ้งไปบนท่อนไม้ แต่ที่ว่าดีนี้ก็ต้องคิดด้วยว่า การขนย้ายจะต้องใช้แรงงานกี่ร้อยคนประกอบด้วยเช่นกัน

ส่วน อิฐ ที่ใช้สร้างกำแพงมาจากเมืองหลินชิงในซันตง กระเบื้องปูพื้นมาจากเมืองซูโจวในเจียงซูที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นกระเบื้องคุณภาพสูง เวลาเคาะจะมีเสียงกังวานเหมือนเสียงเคาะโลหะ จนได้รับฉายาว่า “กระเบื้องทองคำ” 

ในด้านของกระเบื้องขัดเงาหรือกระเบื้องเคลือบจะมาจากแหล่งเตาเผาสองแห่งคือ แหล่งเตาเผาหลิวหลีฉั่งในปักกิ่ง และแหล่งเตาเผาหลิวหลีชีว์ชุน ปัจจุบันคือเขตเหมินโถวโกวในปักกิ่ง

ทรัพยากรจากที่กล่าวมานี้จะเห็นได้ว่า เฉพาะการขนย้ายไม้ขนาดใหญ่ หินอ่อน หินสีนั้น จะต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะมาถึงปักกิ่ง จะต้องใช้แรงงานกี่ร้อยคนต่อไม้หนึ่งต้นหรือหินหนึ่งก้อน จะต้องเผชิญกับการสูญเสียระหว่างทางไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุหรือการป่วยไข้ไปเท่าไร

ที่สำคัญ การก่อสร้างพระราชวังต้องห้ามภายใต้เงื่อนไขข้างต้นนี้ใช้เวลาตั้งแต่ ค.ศ.1406 จนถึง ค.ศ.1420 รวม 14 ปี เหตุดังนั้น จำนวนแรงงานเข้มข้นและแรงงานทักษะย่อมต้องมีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป จำนวนแรงงานตามตัวเลขที่ให้ไว้ข้างต้นจึงอาจมีมากกว่าที่กล่าวมา

ในประการต่อมา ทรัพยากรที่ประมาณค่าไม่ได้นี้เป็นไปเพื่อสนองตอบต่อคติความเชื่อของจีนที่มีต่อจักรพรรดิที่เป็นศูนย์กลางของจักรวาลและของโลก ที่คอยบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ราษฎรในฐานะที่เป็นตัวแทนจากสวรรค์ ซึ่งก็คือ ฐานคติความเชื่อเรื่องโอรสแห่งสวรรค์

 ฐานคติความเชื่อนี้ดำรงมาช้านานนับพันปี จักรพรรดิแต่ละองค์แต่ละสมัยล้วนสร้างพระราชวังของตนภายฐานคตินี้ทั้งสิ้น ชั่วอยู่แต่ว่ามันได้เสื่อมสลายไปตามกาลเวลาและสถานการณ์ กรณีของพระราชวังต้องห้ามนี้จึงคือการดำรงอยู่ของฐานคติดังกล่าว ที่ยังคงเหลือตกทอดให้เห็นจนปัจจุบันนี้ 


กำลังโหลดความคิดเห็น