"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
สลาวอย ชิเชค (Slavoj Žižek) นักปรัชญาร่วมสมัยชาวสโลวีเนีย เกิดในปี 1949 เป็นนักทฤษฎีวัฒนธรรมและปัญญาชนสาธารณะ เป็นผู้อำนวยการระดับนานาชาติของสถาบันเบิร์คเบ็คเพื่อมนุษยชาติ (Birkbeck Institute for the Humanities) แห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน ศาสตราจารย์รับเชิญที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก และเป็นนักวิจัยอาวุโสของภาควิชาปรัชญาของมหาวิทยาลัยลูบลิยานา ทำงานเกี่ยวกับปรัชญาภาคพื้นทวีปยุโรปเป็นหลัก (โดยเฉพาะลัทธิเฮเกลเลียน จิตวิเคราะห์ และลัทธิมาร์กซิสม์) และทฤษฎีการเมือง รวมถึงการวิจารณ์ภาพยนตร์และเทววิทยา
ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขาคือ “วัตถุอันทรงค่าของอุดมการณ์”. (The Sublime Object of Ideology) ในปี 1989 ซึ่งเป็นหนังสือเล่มแรกของเขาเป็นภาษาอังกฤษ เขาเขียนหนังสือมากกว่า 50 เล่มในหลายภาษาและพูดได้หลายภาษา ได้แก่ สโลวีเนีย เซอร์โบ-โครเอเชีย อังกฤษ เยอรมัน และฝรั่งเศส เขามีรูปแบบที่แปลกประหลาดของการปรากฏตัวต่อสาธารณะ ทั้งในแง่ การวิจารณ์นิตยาสารและผลงานทางวิชาการ โดดเด่นด้วยการใช้เรื่องตลกและตัวอย่างวัฒนธรรมป๊อป รวมถึงการยั่วยุทางการเมืองอย่างท้าทาย ซึ่งทำให้เขามีชื่อเสียง เป็นที่โต้แย้ง และเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในและนอกแวดวงวิชาการ
ชิเชค นำเสนอมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์และซับซ้อนเกี่ยวกับธรรมชาติของอำนาจ โดยมีรากฐานจากจิตวิเคราะห์ของลาก็องและทฤษฎีมาร์กซิสต์ เขาท้าทายแนวคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับอำนาจและนำเสนอความเข้าใจที่หลากหลายมิติเกี่ยวกับการพัวพันของประธานหรือตัวตนของมนุษย์ในโครงสร้างอำนาจต่าง ๆ สำหรับชิเชค อำนาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของพลังทางกายภาพหรือการบังคับเท่านั้น แต่มันดำเนินการในระดับสัญลักษณ์และวาทกรรมเป็นหลัก เขาระบุว่าอำนาจมีความสามารถในการกำหนดและควบคุมกรอบการรับรู้และเข้าใจความเป็นจริง อำนาจเชิงสัญลักษณ์นี้แสดงให้เห็นในภาษา บรรทัดฐานทางสังคม และเรื่องเล่าทางวัฒนธรรมที่กำหนดความปรารถนา ความเชื่อ และพฤติกรรมของมนุษย์
แนวคิดสำคัญของชิเชคเกี่ยวกับอำนาจคือ แนวคิด “ผู้อื่น" (the Other) และการขาดหายของประธานหรือตัวตน (the Subject’s lack) โดยมีรากฐานจากแนวคิดของจิตวิเคราะห์แบบลาก็อง "ผู้อื่น" (the Other) หมายถึง ระเบียบเชิงสัญลักษณ์ที่เป็นตัวแทนของความรู้และความหมายทั้งหมด ส่วนประธาน (subject) หรือตัวตนของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ไม่เคยสมบูรณ์หรือเป็นหนึ่งเดียวอย่างแท้จริง แต่มีความแตกแยกและขาดแคลนอยู่ในแก่นแท้เสมอ ความขาดแคลนนี้เกิดจากการที่มนุษย์ถูกแยกออกจากสภาวะของความสมบูรณ์ดั้งเดิม (เช่น ในครรภ์มารดา) และเข้าสู่ระบบสัญลักษณ์ของภาษาและวัฒนธรรม ซึ่งทำให้มนุษย์รับรู้ตนเองในฐานะตัวตนที่แยกจากสิ่งอื่น
ความขาดแคลนนี้ผลักดันให้ประธานหรือตัวตนแสวงหาการเติมเต็มจากภายนอก โดยพยายามเชื่อมโยงอัตลักษณ์ตนเองเข้ากับ "ผู้อื่น" (the Other) ที่เป็นตัวแทนของความสมบูรณ์แบบ เช่น อุดมการณ์ สถาบันทางสังคม หรือสิ่งที่เราหลงใหลปรารถนา อย่างไรก็ตาม ความขาดแคลนนี้ไม่มีวันบรรลุได้จริงหรือเติมเต็มได้อย่างสมบูรณ์ เพราะความขาดแคลนเป็นแก่นเชิงโครงสร้างพื้นฐานของการเป็นตัวตนของมนุษย์นั่นเอง
ชิเชคนำแนวคิดนี้มาใช้อธิบายความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่เกิดขึ้นจากความพยายามของประธานที่จะเติมเต็มความขาดแคลนภายในตน โดยเชื่อมโยงอัตลักษณ์ลักษณ์ตนเองเข้ากับระเบียบเชิงสัญลักษณ์ที่ครอบงำ แม้ว่าความพยายามนี้จะไม่อาจสำเร็จลงได้อย่างสมบูรณ์ก็ตาม เขาสาธยายว่า ระเบียบเชิงสัญลักษณ์ที่ครอบงำมักถูกอำพรางให้ดูเป็น *"ธรรมชาติ" หรือ "สามัญสำนึก" และทำหน้าที่เป็นอุดมการณ์ที่ปกปิดความขัดแย้งและความเป็นปฏิปักษ์ที่แฝงอยู่ในความเป็นจริงทางสังคม เขาเรียกมิติที่ซ่อนอยู่ของความเป็นจริงนี้ว่า *"ความจริง" (the Real) ซึ่งอยู่นอกเหนือขอบเขตของการนำเสนอเชิงสัญลักษณ์และภาษา ในขณะที่ประธานพยายามรักษาภาพลวงตาของโลกที่มั่นคงและสอดคล้องกัน ความจริงก็คอยคุกคามที่จะทำลายภาพลวงตานี้อยู่ตลอด เผยให้เห็นข้อบกพร่องและความขัดแย้งที่มีอยู่ในระเบียบเดิม
"ความจริง" ในมุมมองของชิเชคหมายถึง มิติของประสบการณ์ที่ไม่สามารถนำเสนอผ่านภาษาหรือสัญลักษณ์ได้อย่างครบถ้วน มันเป็นสิ่งที่ขัดขืนและหลุดรอดจากความพยายามในการให้ความหมายและการตีความทั้งหมด "ความจริง" คือสิ่งที่ถูกขับออกและปฏิเสธจากระเบียบสัญลักษณ์ที่ครอบงำ แต่ยังคงทิ้งร่องรอยและผลกระทบต่อประสบการณ์ของเรา ตัวอย่างของ "ความจริง" ได้แก่
1. บาดแผลทางจิตใจ: ประสบการณ์ที่สะเทือนใจหรือบาดแผลทางจิตใจ ซึ่งไม่สามารถผนวกเข้ากับเรื่องราวชีวิตของเราได้อย่างราบรื่น และยังคงสร้างความทุกข์ทรมานให้เราอยู่เสมอ
2. ความตายและความรุนแรง: ความตายและความรุนแรงเป็นตัวอย่างของ "ความจริง" ที่อยู่นอกเหนือการให้ความหมายและการตีความตามปกติ มันเป็นสิ่งที่สังคมพยายามปฏิเสธและปกปิด แต่ยังคงส่งผลกระทบต่อเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
3. ความปรารถนาที่ถูกห้ามหรือถูกปฏิเสธ: ความปรารถนาที่ไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม (เช่น ความปรารถนาทางเพศที่ผิดศีลธรรม) ถูกขับออกจากระเบียบสัญลักษณ์ แต่ยังคงมีอิทธิพลต่อจิตใต้สำนึกของเรา
กล่าวได้ว่า "ความจริง" คือสิ่งที่คอยรบกวนและคุกคามภาพลวงตาของโลกที่มั่นคงและสอดคล้องกัน ซึ่งอุดมการณ์หลักที่ครอบงำสังคมพยายามนำเสนอ “ความจริง”เป็นสิ่งที่เปิดเผยให้เห็นข้อบกพร่องและความขัดแย้งที่แฝงอยู่ในระเบียบสังคมเดิม และนั่นทำให้ "ความจริง" เป็นจุดศูนย์กลางในการวิเคราะห์ของชิเชคว่าด้วยอำนาจ วาทกรรม และอุดมการณ์
ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของอุดมการณ์ต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่ปกปิดความไม่เท่าเทียม ความอยุติธรรม และความขัดแย้งที่แฝงอยู่ในสังคม เช่น "ความฝันอเมริกัน" ชาตินิยม และหลักคำสอนทางศาสนา
ความฝันอเมริกัน: อุดมการณ์นี้สัญญาว่าทุกคนจะมีโอกาสเท่าเทียมและความก้าวหน้าในชีวิต แต่ในความเป็นจริง มีความไม่เท่าเทียมเชิงระบบที่ขัดขวางคนจำนวนมากไม่ให้ประสบความสำเร็จ เช่น การเลือกปฏิบัติ ความยากจน และการเข้าถึงการศึกษาที่ไม่เท่ากัน นี่คือตัวอย่างของ "ความจริง" ที่ถูกปกปิดโดยอุดมการณ์
ชาตินิยม: โดยทั่วไปชาตินิยมมักส่งเสริมอัตลักษณ์ร่วมของชาติและให้ความสำคัญกับประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ แต่ก็อาจปิดบังความแตกแยกภายใน ความอยุติธรรมในอดีต และการกีดกันชนกลุ่มน้อยหรือเสียงที่เห็นต่าง อุดมการณ์นี้จึงอำพรางความจริงบางส่วนเช่นกัน
หลักคำสอนทางศาสนาให้กรอบในการทำความเข้าใจโลกและความหมายของชีวิต แต่ก็อาจปิดกั้นการคิดเชิงวิพากษ์และท้าทายความเชื่อที่สถาปนาไว้ ซึ่งอาจขัดขวางความก้าวหน้าของปัจเจกและสังคม นี่ก็ถือเป็นการบดบังความจริงบางประการเช่นกัน
แนวคิดเรื่องอุดมการณ์และความจริงของชิเชคให้กรอบที่มีคุณค่าในการตรวจสอบโลกรอบตัวเราอย่างวิพากษ์ การตระหนักถึงข้อจำกัดของอุดมการณ์และรับรู้ถึงความจริงที่มีอยู่ ช่วยให้มนุษย์เห็นธรรมชาติที่ถูกสร้างขึ้นและความไม่แน่นอนของความเป็นจริงทางสังคม การตระหนักนี้ทำให้มนุษย์สามารถท้าทายโครงสร้างอำนาจที่ดำรงอยู่ สนับสนุนความยุติธรรมทางสังคม และพยายามสร้างโลกที่ยุติธรรมและเสมอภาคมากขึ้น
สรุปสั้นๆ คือ ระเบียบเชิงสัญลักษณ์และวัฒนธรรมกระแสหลักที่ครอบงำสังคมทำหน้าที่เป็นอุดมการณ์ที่ปกปิดความขัดแย้งในสังคม ส่วน"ความจริง" (the Real) คือมิติของความเป็นจริงที่อยู่นอกเหนือการนำเสนอทางสัญลักษณ์ ภาษา และวัฒนธรรมของกระแสหลัก และคอยคุกคามภาพลวงตามายาคติของโลกที่ดูเหมือนมีเสถียรภาพอยู่ตลอดเวลา
แนวคิดอีกประการหนึ่งของชิเชคที่เชื่อมโยงกับแนวคิดอำนาจคือ แนวคิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคม ซึ่งมีสาระโดยสังเขปดังนี้
ขั้นแรก การวิพากษ์วิจารณ์ระบบที่มีอยู่ ชิเชคเชื่อว่าขั้นตอนแรกในการเปลี่ยนแปลงสังคมคือการตรวจสอบระบบสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองที่มีอยู่อย่างวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งรวมถึงการระบุและวิเคราะห์ข้อขัดแย้ง ความไม่เท่าเทียม และความอยุติธรรมที่มีอยู่ภายในระบบเหล่านี้
ขั้นที่สอง การปลดปล่อยจากข้อจำกัดทางอุดมการณ์ ชิเชคเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปลดปล่อยตัวตนของบุคคลให้หลุดพ้นจากข้อจำกัดทางอุดมการณ์ที่มักจำกัดจินตนาการและขัดขวางการคิดในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคม เขาโต้แย้งว่าอุดมการณ์ที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเสรีนิยม อนุรักษนิยม หรือแม้แต่ลัทธิมาร์กซิสต์บางรูปแบบ อาจเป็นข้อจำกัดและขัดขวางการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง เนื่องจากอุดมการณ์เหล่านี้กำหนดวิธีที่เราเข้าใจความเป็นจริงและหล่อหลอมความเป็นตัวตนของเรา
การปลดปล่อยจากข้อจำกัดทางอุดมการณ์ได้นั้นจะต้องเผชิญหน้ากับความจริง ชิเชคให้ความสำคัญอย่างมากกับการเผชิญหน้ากับ "ความจริง" ซึ่งเป็นด้านที่ซ่อนเร้นและไม่เป็นที่ยอมรับอย่างเปิดเผยของสังคม และมักถูกบิดเบือนโดยอุดมการณ์และระเบียบเชิงสัญลักษณ์ของเครือข่ายอำนาจหลักในสังคม การเผชิญหน้ากับความจริงนี้เกี่ยวข้องกับการเผชิญหน้ากับความจริงที่ไม่สบายใจ หรือ “ความจริงที่น่ากระอักกระอ่วน” และการยอมรับข้อจำกัดของระบบที่มีอยู่
ขั้นที่สาม การจินตนาการเกี่ยวกับสังคมใหม่ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมตามทัศนะของชิเชค ต้องอาศัยการจินตนาการถึงสังคมในรูปแบบใหม่ที่แตกต่างจากสังคมเดิมอย่างถอนรากถอนโคน ซึ่งรวมถึงการวาดภาพโครงสร้างสังคม ระบบเศรษฐกิจ และระบบการเมืองทางเลือกที่ก้าวข้ามสภาพที่เป็นอยู่ การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่แท้จริงต้องทลายกรอบการรับรู้และกฎเกณฑ์ที่คุ้นเคยของเรา เพื่อจินตนาการและสร้างสรรค์ระเบียบใหม่ มันอาจหมายถึงการนำเอาสิ่งที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้หรือเหนือจริงมาพิจารณา เพื่อเปิดพื้นที่ทางการเมืองใหม่ ๆ
ขั้นที่สี่ การเปลี่ยนแปลงขั้นรากฐาน ชิเชคไม่เชื่อมั่นในรูปแบบประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมหรือตัวแทน แต่เสนอยุทธศาสตร์ในการสร้างการเปลี่ยนแปลงด้วยการสนับสนุนประชาธิปไตยทางตรง ประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในกระบวนการตัดสินใจทางการเมือง และการเคลื่อนไหวทางสังคม รวมทั้งการอภิปรายสาธารณะที่มีการตัดสินใจร่วมกัน เขามองว่าความขัดแย้งและการโต้เถียงเป็นส่วนสำคัญของการเมือง ไม่ควรถูกลดทอนด้วยฉันทามติที่เทียมเท็จ
ในบางกรณี ชิเชคเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงไม่อาจหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงได้ เนื่องจากเครือข่ายผู้ที่มีอำนาจเดิมมักไม่ยอมสละอำนาจโดยสมัครใจ ดังนั้นการกระทำเชิงปฏิวัติอาจจำเป็นในการทลายกรอบอำนาจที่มีอยู่ อย่างไรก็ตาม ชิเชคเตือนว่าความรุนแรงเชิงปฏิวัติไม่ควรกลายเป็นเป้าหมายในตัวเอง แต่ต้องเชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์เชิงบวกของสังคมในอนาคต
กล่าวโดยสรุป แนวคิดอำนาจและการเปลี่ยนแปลงของชิเชค เสนอกรอบความคิดที่ซับซ้อนแต่เฉียบแหลมสำหรับการทำความเข้าใจปฏิสัมพันธ์ของวัฒนธรรม อุดมการณ์ ความจริง และและอำนาจในภูมิทัศน์ทางสังคมและการเมืองร่วมสมัย งานของเขาได้สร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นว่าอะไรเป็นตัวขับเคลื่อนอุดมการณ์และอำนาจทางการเมือง และวิธีการที่สิ่งเหล่านั้นกำหนดแบบแผนการกระทำของบุคคลและสังคม และชิเชคยังได้นำเสนอแนวทางในการเปลี่ยนแปลงสังคม เพื่อสร้างสังคมที่ยุติธรรมและเท่าเทียมกันระหว่างมนุษย์ให้มากขึ้นด้วย