ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ปรากฎการณ์ “ทวงคืนชายหาด” อาฟเตอร์ช็อกจากเอฟเฟกต์กรณี “ฝรั่งเตะหมอ” ไม่เพียงปลุกกระแสทวงคืนชายหาดสาธารณะใน จ.ภูเก็ตเท่านั้น แต่ยังสร้างแรงกระเพื่อมทางสังคมนำสู่การทวงคืนชายหาดสาธารณะทั่วประเทศอีกด้วย
นับเป็นข่าวครึกโครมสำหรับเหตุการณ์ชายชาวต่างชาติทำร้ายร่างกายแพทย์หญิง กรณี “ฝรั่งเตะหมอ” หลังจาก “พญ.ธารดาว จันทร์ดำ” หรือ “หมอปาย” แพทย์ประจำโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งใน จ.ภูเก็ต ได้เข้าร้องเรียนและแจ้งความดำเนินคดีกับ “นายอูรส์ บีท เฟอร์” หรือ “เดวิด” ชาวสวิตเซอร์แลนด์ ในข้อหาทำร้ายร่างกาย
โดยเหตุเกิดขณะที่หมอปายกับเพื่อนผู้หญิง ได้ไปนั่งพักผ่อนบริเวณบันไดของวิลล่าแห่งหนึ่งในพื้นที่ “หาดยามู ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต” ในช่วง เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แลวถูกนายเดวิดตรงปรี่มาเตะหลัง บวกกับภรรยาชาวไทยที่เข้ามาพูดจาดูถูกเหยียดยามศักดิ์ศรีคนไทยและคนท้องถิ่นภูเก็ต จนกลายข่าวดังไปทั่วประเทศ
อย่างไรก็ดี หลังเกิดกระแสสังคมวิจารณ์อย่างหนักถึงพฤติกรรมสุดกร่าง นายเดวิดได้ออกมาแถลงข่าวไหว้ขอโทษ พร้อมปฏิเสธว่าตนไม่ได้เตะ แต่เป็นการสะดุดไปโดนหลังแพทย์หญิง ทว่า มีคลิปเหตุการณ์จับภาพพฤติการณ์ชัดเจนว่าจงใจเตะ ไม่ใช่การสะดุดตามที่กล่าวอ้าง พร้อมกันนี้ชาวเน็ตยังร่วมกันขุดคุ้ยพฤติกรรมฉาวของนายเดวิด เรียกได้ว่าความกร่างของฝรั่งสวิส เป็นเหตุทำให้เรื่องบานปลายนำสู่การ “ถอนวีซ่า” เพราะเป็นภัยต่อสังคม ถูกขึ้นบัญชีดําในที่สุด
ผลพวงของกรณีดังกล่าว ทำให้มีการตรวจสอบขยายผลประเด็นต่างๆ ที่น่าสนใจคือการขยายผลเรื่อง “สิ่งปลูกสร้างบุกรุกพื้นที่ชายหาด” นำไปสู่ปรากฎการณ์ “ทวงคืนพื้นที่ชายหาดทั่วประเทศไทย" โดยสถานที่เกิดเหตุ “ฝรั่งเตะหมอ” เป็นวิลล่าหรูที่อยู่ภายในโครงการ “Cape Yamu Villas” ของ บริษัท ภูเก็ต เพ็นนินซูล่า เอสเตท ซึ่งตั้งอยู่ริมหาดยามู ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต มีทั้งวิลล่า และโรงแรม แบ่งเป็นวิลล่า 40 หลัง โรงแรมประมาณ 100 ห้อง เริ่มเปิดตัวโครงการมาประมาณปี 2548 - 2549 เป็นการลงทุนของขาวต่างชาติในลักษณะ ให้เช่าที่ดินระยะยาว ผู้เช่าเป็นผู้ลงทุนในการก่อสร้าง ขออนุญาตสร้างในนามบริษัท ภูเก็ตเพ็นนินซูล่า ปัจจุบันมีคนเช่า 100% และเป็นชาวต่างชาติทั้งหมด
โดยจากการตรวจสอบของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งนายอำเภอถลาง นายกเทศมนตรีตำบลป่าคลอก ตำรวจ และเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต ตรวจสอบพบว่าแนวเขตที่ดินบริเวณวิลลา ติดหาดยามู จ.ภูเก็ต เจ้าของโครงการเคยนำชี้เพื่อออกโฉนด แต่ปัจจุบันยังเป็นเอกสิทธิ นส.3 ก. แนวเขตที่เคยนำชี้ คือ “บันได” มีเพียงบันไดขั้นที่ 1 ซึ่งอยู่บนสุดที่อยู่ในแนวเขตของโครงการ ส่วนบันไดขั้นที่ 2 - ขั้นที่ 4 ซึ่งติดกับพื้นทราย เป็นการรุกล้ำที่สาธารณะ
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลป่าคลอก เข้ารังวัดสิ่งปลูกสร้างจุดอื่นๆ ของวิลลา พบการรุกล้ำที่ชายหาดสาธารณะ ประกอบด้วย 1. แนวบันไดไม้ 2. ลานนั่งเล่นไม้ 3. แนวบันไดคอนกรีตขั้นที่ 2-4 และ 4. แนวกำแพงกันดินหินกล่อง
นำไปสู่การดำเนินการเข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.ถลาง เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 ให้ดำเนินคดีบริษัทของวิลลาที่ก่อสร้างอาคารรุกล้ำพื้นที่ชายหาดสาธารณะ และรื้อถอนภายใน 30 วัน
ขณะที่ ภาคประชาชนมีการรวมพลังนัดรวมตัวกัน “ทวงคืนหาดยามู” แสดงออกเชิงสัญลักษณ์และขับไล่นายเดวิดฝรั่งจอมกร่าง ภายใต้สโลแกน “get out David” รวมทั้ง เรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพูดคุยกับเจ้าของวิลลาแห่งนี้ เปิดพื้นที่ให้เป็นชายหาดสาธารณะอย่างที่ควรจะเป็น
กล่าวคือลักษณะกายภาพของหาดยามู ต้องเดินผ่านป้อมยามของโครงการฯ จากนั้นจึงจะเป็นทางเข้าไปยังหาด ซึ่งทำเป็นซุ้มต้นไผ่ ระยะทางประมาณ 100 ม. เรียกว่า “เป็นภาระจำยอม” ของเจ้าของโครงการที่ต้องยอมให้บุคคลทั่วไปผ่านเพื่อลงหาดเมื่อเดินสุดทางก็จะถึงชายหาดยามู และบริเวณนั้นจะพบ “บันได” ที่เชื่อมลงมายังชายหาดซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุ และชัดเจนว่าหาดยามูเป็นพื้นที่สาธารณะที่ทุกคนเข้าไปได้
“หาดยามู” เป็นส่วนหนึ่งของแหลมยามู ต.ป่าคลอก จ.ภูเก็ต เป็นชายหาดที่เงียบสงบ มีวิวทิวทัศน์สวยงาม สามารถมองเห็นเกาะแก่งต่าง ๆ ในทะเลได้อย่างชัดเจน ที่นี่ไม่มีร่มเตียงผ้าใบ เหมาะกับการพักผ่อนเพราะมีความเป็นส่วนตัวสูง ถือเป็นหนึ่งในหาดลับของทะเลภูเก็ต ซึ่งนักท่องเที่ยวไทยยังไม่ค่อยรู้จัก รวมถึงคนในภูเก็ตเอง อย่างไรก็ดี หาดยามูเป็นหาดสาธารณะ แต่กลับถูกจับจองเหมือนเป็นหาดส่วนตัว
ทั้งนี้ ประเด็นที่สังคมให้ความสนใจคือเรื่อง “พื้นที่ชายหาดติดทะเล” ซึ่งมีสถานะทางกฎหมายเป็น “พื้นที่สาธารณะที่พลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกัน ไม่มีใครสามารถเป็นเจ้าของได้”
ทว่า พื้นที่ชายหาดติดทะเลหลายนแห่งกำลังถูกบุคคลหรือบริษัทสามารถครอบครองเป็นพื้นที่ส่วนตัว เพราะมีหลายกรณีที่ประชาชนทั่วไปหรือนักท่องเที่ยวถูกขับไล่ออกจากพื้นที่ชายหาด ด้วยเหตุผลว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัว
กล่าวสำหรับ “พื้นที่ชายหาด” คือที่ดินที่น้ำทะเลขึ้นและลง เป็นที่ดินที่น้ำท่วมถึงและที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็น “ที่ดินสาธารณะ” เป็นสมบัติของแผ่นดินที่ให้ประชาชนใช้ร่วมกัน ซึ่งสมบัติของแผ่นดินแปลว่าบุคคลใดจะยึดถือครอบครองหรือยกเอาอายุความขึ้นต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์หรือสิทธิอื่นใดไม่ได้
ทนายอธิวัฒน์ เส้งคุ่ย ทนายความมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน และเครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนภาคใต้ เปิดผยว่าสถานะของชายหาดเป็นพื้นที่สาธารณะ ชายหาด และหาดทราย โดยสภาพแล้วนั้นเป็นสถานที่ผู้คนมากมายใช้ประโยชน์ร่วมกัน ทั้งเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ การประกอบอาชีพ การสันทนาการ และอีกมากมาย ลักษณะสภาพพื้นที่ และการใช้ประโยชน์ร่วมกันของประชาชน เพื่อประโยชน์สาธารณะนั้น ชายหาดและหาดทรายจึงมีลักษณะเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ตามมาตรา 1304 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และเป็นที่ดินของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดินอีกด้วย
ดังนั้น เมื่อชายหาดและหาดทราย จัดว่าเป็นทรัพย์สินของรัฐประเภทหนึ่ง ย่อมมีผลให้ที่ดินลักษณะดังกล่าวไม่สามารถโอนให้แก่กันได้ ตามมาตรา 1305 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ รวมถึง หากมีการเอกสารสิทธิในที่ดินลักษณะดังกล่าว ก็อาจจะมีการถูกเพิกถอนเอกสารดังกล่าวได้ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน ทำให้ผู้ขอออกเอกสารสิทธิ์ไม่ได้มีสิทธิความเป็นเจ้าของในที่ดินนั้นได้ ผู้ที่ครอบครองที่ดินสาธารณประโยชน์ก็มิอาจยกข้อต่อสู้เกี่ยวกับอายุความกับรัฐไม่ได้ ตามมาตรา 1306 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และท้ายที่สุดแล้วแม้ว่า ชายหาด และหาดทราย ต่อมาประชาชนหรือพลเมืองจะไม่ได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันก็ตาม ชายหาด และหาดทราย ก็ยังเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ตราบเท่าที่ไม่มีการออกกฎหมายหรือพระราชกฤษฎีกาให้ถอนสภาพจากการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม มองในมิติเศรษฐกิจการท่องเที่ยวใน จ.ภูเก็ต ได้สร้างความเหลื่อมล้ำในหลายมิติให้คนท้องถิ่น โดยเฉพาะเรื่องของเข้าถึงพื้นที่สาธารณะการเข้าถึงพื้นที่ชายหาดอันเป็นพื้นที่สาธารณะ โดยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันพื้นที่ชายหาดท่องเที่ยวต่างๆ มักเป็นที่ตั้งของโรงแรมรีสอร์ท อีกทั้งมีการปิดกั้นรั้วปิดห้ามมิให้ผู้อื่นเข้าพื้นที่บริเวณหน้าหาด ประเด็นยังเป็นภาพสะท้อนกลับไปยังการใช้อำนาจรัฐที่ล้มเหลว
เหตุการณ์ฝรั่งเตะหมอ ไม่ใช่เพียงปลุกกระแสทวงคืนหาดยามูเท่านั้น แต่ยังเป็นการปลุกกระแสการทวงคืนหลายหาดในจังหวัดภูเก็ต รวมถึงชาดหาดในหลายจังหวัดทั่วประเทศไทย
อาทิ การทวงคืน “หาดแหลมหงา เกาะสิเหร่ จ.ภูเก็ต” เนื่องจากเอกชนรายหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินได้ปิดทางลงหาดด้วยการนำสังกะสีมาปิดกั้น จนประชาชนไม่สามารถลงไปชายหาดได้ ทั้งๆ ที่ใช้เส้นทางนี้ในการลงไปชายหาดแหลมหงาเป็นเวลานานหลายสิบปีมาแล้ว
จากการตรวจสอบ ผู้ดูแลที่ดินแปลงดังกล่าวให้ข้อมูลว่าที่เจ้าของที่ดินต้องปิดทางลงหาดนั้น เนื่องจากไม่ต้องการให้มีการนำขยะมาทิ้ง มีการมั่วสุมเสพยาเสพติด และการก่ออาชญากรรมต่างๆ จากสภาพพื้นที่ที่มืดมากในช่วงกลางคืน จึงได้ปิดกั้นทางลงหาดในที่ดินของตนเอง
ความคืบหน้ทางเทศบาลฯ ได้แจ้งเจ้าของที่ดินให้เปิดทางลงชายหาดแหลมงา โดยเทศบาลพร้อมที่จะเข้าไปดำเนินการในเรื่องของขยะที่จะไม่ให้นำมาทิ้งและหากมีการนำมาทิ้งจะเข้ามาจัดเก็บไม่ให้ตกค้างในพื้นที่ และเพิ่มแสงสว่างในบริเวณดังกล่าวเพื่อให้ไม่เกิดการมั่วสุม
นอกจากนี้ ยังมีการหารือถึงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่างๆ ในการเปิดทางลงหาด เช่น กฎหมายภาระจำยอม เนื่องจากเป็นเส้นทางที่ชาวบ้านใช้กันมานานหลายสิบปีแล้ว และยังได้ทำหนังสือไปถึงสำนักงานที่ดินภูเก็ตเพื่อตรวจสอบแนวเขตของชายหาดอีกด้วย
หรือยังมีการเรียกร้องให้จัดระเบียบ หาดกะตะ จ.ภูเก็ต ที่เต็มไปด้วยร่มและเตียงผ้าใบมากมาย รวมไปถึงจังหวัดอื่นๆ อาทิ หาดสาธารณะบนเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี, หาดบ่อไร ชะอำ จ.เพชรบุรี หรือหาดอีกหลายจุดในหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้น
และที่ต้องจับตาอย่างที่สุดคือ “หาดปากบารา จ.สตูล” ที่กำลังขับเคลื่อนทวงคืนโดยเพจ Beach For Life Thailand เนื่องจากถูกเอกชนอ้างสิทธิ์บนชายหาดสาธารณะ สะท้อนกลับไปยังการกำกับของหน่วยงานของรัฐเรื่องการออกเอกสารสิทธิ
Beach for life เปิดข้อมูลเอกสารบันทึกข้อความของเจ้าหน้าที่รังวัดที่ดิน บริเวณชายหาดปากบาราที่เอกชนรายหนึ่งอ้างสิทธิ์ดำเนินการสร้างสิ่งปลูกสร้างบนชายหาดปากบาราในปัจจุบัน โดยก่อนที่ที่ดินดังกล่าวจะมีสถานะเป็น นส.3ก ที่ดินแปลงดังกล่าวมีสถานะเป็น นส3. ซึ่งเจ้าหน้าที่รังวัดได้ทำการรังวัดที่ดินเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2564 ตามคำขอของผู้ร้อง โดยเอกสารดังกล่าวได้รายงานเกี่ยวกับการรังวัดที่ดินแปลงดังกล่าวว่า “สภาพที่ดินและการใช้ประโยชน์ มีสภาพที่ดินเป็นชายหาด น้ำทะเลท่วมถึง ไม่มีร่องรอยการทำประโยชน์” และในเอกสารยังระบุอีกว่า การรังวัดมีเหตุขัดข้อง นายอำเภอละงู คัดค้านตามบันทึก ลงวันที่ 15 มิ.ย. 2564
ทั้งนี้ เกิดคำถามไปยัง สำนักงานที่ดิน จังหวัดสตูล สาขาละงู ทำไมถึงออกเอกสารสิทธิ์ในพื้นที่ดินแปลงดังกล่าว ทั้งที่มีสภาพเป็นชายหาดที่น้ำท่วมถึง พลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกัน และไม่มีร่องรอยการใช้ประโยชน์ส่วนบุคคล รวมทั้ง คำถามไปยังกรมเจ้าท่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เหตุใดถึงปล่อยปะละเลยให้มีการอ้างสิทธิ์สร้างสิ่งปลูกสร้างบนชายหาดสาธารณะแห่งนี้
เรียกว่าอาฟเตอร์เอฟเฟกต์ กรณี “ฝรั่งเตะหมอ” กำลังสร้างแรงสั่นเสทือนอย่างรุนแรง จาก “หาดยามู จ.ภูเก็ต” สู่การ “ทวงคืนหาดสาธารณะ” ทั่วเมืองไทย ชวนให้ติดตามว่านับจากนี้รัฐจะใช้อำนาจจัดการกับพื้นที่ชายหาดสาธารณะที่กลายสถานะเป็นชายหาดกึ่งส่วนตัวอย่างไร