ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ความเย้ายวนใจในราคาช่วงขาขึ้นของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะคริปโตเคอเรนซี่ทำให้นักลงทุนเลือดลมสูบฉีด โดยเฉพาะ “เม่าน้อย” ที่ติดดอยจนเหี่ยวแห้งพร้อมกระโจนเข้าสู่กองไฟอีกครั้ง แต่ช้าก่อน....กูรูเป็นห่วง ขออย่ากลัวตกกระแสหรือ FOMO เกินพอดี หวั่นขาดทุนยับเยินซ้ำรอย
ในชั่วโมงนี้ไม่เพียงแต่คริปโตฯ เท่านั้น สินทรัพย์อีกตัวที่ดึงดูดความสนใจอย่างยิ่งคือ ทองคำ ซึ่งราคาพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ กระแสแห่ตุนทองทำเอา “เยาวราช” แหล่งค้าทองคำที่สำคัญของไทยแทบแตกก็ว่าได้
สำหรับเทรนด์ขาขึ้นของคริปโตฯ ในรอบนี้ สำนักข่าว CNBC รายงานว่า ราคาบิทคอยน์และอีเธอร์เรียมปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในสัปดาห์ที่ผ่านมาและในรอบเกือบ 1 ปี โดยราคาบิทคอยน์เพิ่มขึ้นประมาณ 21% ในขณะที่ ETH อีเธอเรียมเพิ่มขึ้น 16%
อย่างไรก็ตาม การพุ่งขึ้นของราคาได้ชะลอตัวลงในช่วงสุดสัปดาห์ ขณะที่นักลงทุนปรับตัวรับการเทขายกองทุน Grayscale Bitcoin Trust (GBTC) และการตื่นตัวของกองทุนซื้อขายบิทคอยน์ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไม่นานนี้ได้กระตุ้นเม็ดเงินไหลเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ
คอยน์ เมตริกส์ (Coin Metrics) รายงานว่า ราคาบิทคอยน์พุ่งขึ้นเกือบ 9% แตะที่ระดับ 68,370.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ และในช่วงหนึ่งราคาได้พุ่งขึ้นไปสูงถึง 68,577.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2564 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ด้านราคา ETH ก็มีการปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า 4% แตะระดับ 3,630.74 ดอลลาร์สหรัฐฯ
การพุ่งขึ้นของราคาบิทคอยน์ ผลักดันให้สกุลเงินคริปโตฯ อื่น ๆ สูงขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะโทเคนมีมหมาอย่าง โด๊จคอยน์ (Dogecoin) ที่พุ่งขึ้นกว่า 18% ในขณะที่ชิบะอินุ (SHIB) พุ่งสูงขึ้น 54% โดยนักวิเคราะห์มองว่า การเพิ่มขึ้นเหล่านี้เป็นสัญญาณว่า นักลงทุนรายย่อยซึ่งไม่ได้ซื้อขายสกุลเงินคริปโตฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้ กำลังกลับมาให้ความสนใจตลาดคริปโตฯ โดยข้อมูลจากไคโค (Kaiko) ผู้ให้บริการข้อมูลด้านคริปโตฯ ระบุว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้วปริมาณการซื้อขายโทเคนมีมรายสัปดาห์แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปลายปี 2564
นอกจากนี้ บริษัทจดทะเบียนที่เกี่ยวกับกับคริปโตฯ ก็ได้รับประโยชน์จากการพุ่งขึ้นของราคาบิทคอยน์ รวมถึงคอยน์เบส (Coinbase) และไมโครสแตรทเทจี้ (Microstrategy) ก็พลอยรับอานิสงส์ไปด้วย โดยมีราคาหุ้นที่ปรับขึ้น 11% และ 23.6%
อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นของบริษัทขุดเหมืองคริปโตฯ กลับไม่ได้พุ่งตามอย่างที่ควรจะเป็น โดยถูกเทขายเนื่องจากความกังวลว่ารายได้จะลดลงในช่วง Bitcoin Halving ในเดือนเมษายน ( Bitcoin Halving คือการแบ่งครึ่งบล็อกของบิทคอยน์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุก 4 ปี ด้วยการลดอัตราการสร้างบิทคอยน์ใหม่ลงครึ่งหนึ่ง ขณะที่ลดรางวัลที่จะมอบให้กับนักขุดบิทคอยน์ เพื่อรักษาสมดุลของอุปสงค์และอุปทานของบิทคอยน์ในตลาด และบริหารสภาพคล่องแก้ปัญหาเงินเฟ้อในระบบคริปโตฯ) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อนักลงทุน
ด้าน CryptoQuant ระบุว่า บรรดานักวิเคราะห์บางส่วนเชื่อว่า การเพิ่มขึ้นของอุปสงค์บิทคอยน์ จะผลักดันให้ราคาพุ่งขึ้นต่อไปในระยะสั้น แต่อาจชะลอตัวลงในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เนื่องจากอัตราผลกำไรที่ยังไม่ได้รับรู้ (unrealized profit margins) ใกล้ถึงระดับสูงสุด ส่วนราคาของบิทคอยน์ที่รับรู้แล้ว อยู่ที่ประมาณ 42,700 ดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนระยะยาวยังคงมั่นใจว่า อุปสงค์บิทคอยน์ที่เพิ่มขึ้นผ่าน ETF ใหม่ของสหรัฐฯ และอุปทานที่ลดลงหลังช่วง Bitcoin Halving ในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ จะผลักดันราคาบิทคอยน์ให้ทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์
ราคาบิทคอยน์ที่ร้อนแรง สร้างสถิติใหม่ทะลุ All Time High ได้อย่างสวยงามสร้างความคึกคักให้นักลงทุนทั้งโลก แต่ต้องไม่ลืมเป็นอันขาดว่านี่เป็นการลงทุนมีความเสี่ยงอย่างยิ่ง ดังนั้น จึงมีเสียงเตือนจากกูรูผู้คร่ำหวอดในวงการคริบโตฯ อย่าง “อาจารย์ตั๊ม - พิริยะ สัมพันธารักษ์” ผู้เชี่ยวชาญด้าน Bitcoin อันดับต้น ๆ ของไทย ที่โพสต์เฟซบุ๊กว่า อาจมีนักลงทุนบางรายที่มีอาการกลัวตกกระแส หรือ FOMO บิทคอยน์รอบที่แล้ว และขาดทุนยับเยิน หันกลับมาซื้อเหรียญอีกครั้งหนึ่งจากกระแสที่ร้อนแรงของ Bitcoin และคริปโตเคอร์เรนซี แต่หารู้ไม่ว่าพวกเขานั้นอาจจะติดดอยอีกรอบ
ก่อนหน้านี้ “อาจารย์ตั๊ม” ได้โพสต์ภาพกราฟตัวหนึ่งขึ้นมา พร้อมระบุว่า “Touching the yellow line, right before halving, as usual.” และชี้ให้เห็นว่าในประวัติศาสตร์ของบิทคอยน์ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ราคาบิทคอยน์ (เส้นสีแดง) จะขึ้นไปอยู่เหนือแถบสีเหลือง ในช่วงก่อนหน้าการ Halving (เส้นแนวตั้งสีดำ) หากเปรียบเทียบข้อมูลดังกล่าวจะพบว่า ในช่วงต้นปีนี้บิทคอยน์อาจไม่สามารถไปได้สูงขึ้นกว่าระดับนี้ได้อีก และจะมีราคาปรับลดลงจนกว่าการ Halving จะผ่านพ้นไป เพราะในขณะนี้เส้นสีแดงได้มาบรรจบกับแถบสีเหลืองแล้วเป็นที่เรียบร้อย
Siam Blockchain เว็บไซต์ที่เกาะติดความเคลื่อนไหวของคริปโตเคอเรนซี่ รายงานว่าการที่สื่อกระแสหลักอย่างรายการข่าวชื่อดัง “เรื่องเล่าเช้านี้” ที่ดำเนินรายการโดย “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” ได้ออกมาพูดถึงเรื่องราคา Bitcoin เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ว่าราคาบิทคอยน์ดันทะลุ All time High เมื่อวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมาจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯอาจจะปรับลดดอกเบี้ยลง และนักลงทุนต่างสนใจลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น นี่อาจเป็นการส่งสัญญาณเตือนให้นักลงทุนเตรียมรับมือ เหตุการณ์นี้อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการซ้ำรอยประวัติศาสตร์ที่มีเศรษฐีคริปโตฯ หน้าใหม่เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันก็มีนักลงทุนขาดทุนยับเยิน
การที่สื่อกระแสหลักเข้ามาทำข่าวเรื่องคริปโตฯ นั่นหมายความว่า ขณะนี้คริปโตฯ กลายเป็นประเด็นร้อนแรงขนาดผู้ที่ไม่ได้ให้ความสนใจยังต้องมาติดตาม หรือสามารถตีความได้ในอีกแง่มุมหนึ่งคือในขณะนี้ “Bitcoin ได้ขึ้นสู่จุดอิ่มตัวแล้ว” และมีความเป็นไปได้สูงที่จะทำการปรับฐานราคาลงมาในเร็ว ๆ นี้ นักลงทุนต้องไม่ลืมท่องคาถา คริปโตฯ และโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจํานวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ทองคำ ระวังราคาขึ้นแรง ตกแรง
สำหรับราคาทองคำที่ทำนิวไฮรายวัน ยังอยู่ในเทรนด์ขาขึ้น นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย วิเคราะห์ว่า การย่อตัวลงของเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปีของสหรัฐฯ ได้หนุนให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อ ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรทองคำเพิ่มเติมและโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวช่วยหนุนการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ราคาทองคำเริ่มเข้าสู่โซน Overbought จึงมีความเสี่ยงที่ราคาทองคำอาจเผชิญการปรับฐานได้พอสมควรหากมีปัจจัยลบเข้ามากดดัน
นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ บอกว่า ราคาทองแท่งรับซื้อจากวันที่ 1 – 6 มีนาคม 2567 จากบาทละ 34,500 ขึ้นไปเป็น 36,000 บาท และขายออกบาทละ 34,600 ปรับขึ้นเป็น 36,100 บาท ส่วนทองรูปพรรณขายออกอยู่ที่บาทละ 35,100 ขึ้นเป็นบาทละ 36.600 และรับซื้ออยู่ที่บาทละ 34,734.59 เป็น 35,353.12 บาท ขณะที่ทองคำโลก (Spot ) อยู่ที่ระดับ 2,091.50 ขยับขึ้นไปที่ 2,126.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ การปรับขึ้นของราคาทองคำในช่วงนี้มาจากข่าวแนวโน้มธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่คิดว่าไม่น่าจะใช่เดือนนี้ น่าจะเป็นช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้มากกว่า
นายกสมาคมค้าทองคำ ส่งเสียงเตือนด้วยว่า ราคาทองขึ้นสูงน่าจะมาจากพวกกองทุนต่าง ๆ ที่ถือโอกาสสร้างกระแสเข้ามาเก็งกำไร อยากให้ทุกคนระมัดระวัง มันขึ้นแรงก็อาจตกแรง แต่ระยะยาว ถ้าเฟดปรับลดดอกเบี้ย ทองคำจะมีโอกาสขึ้นประมาณบาทละ 38,000 ในปี 2567 แต่จะถึง 40,000 บาท หรือไม่ มองว่าเป็นราคาที่ไกลเกินไปที่จะปรับขึ้นถึง
บทวิเคราะห์ของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) เผยถึงสาเหตุของการปรับขึ้นของราคาทองคำว่ามาจากเม็ดเงินจากบรรดากองทุนไหลเข้า การคาดการณ์ปรับลดดอกเบี้ยของเฟด สงครามภูมิรัฐศาสตร์ และความเสี่ยงทางด้านการเงินตลอดปี 2567 ทั้งนี้ ราคาทองคำแท่งเมื่อวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 1.3% อยู่ที่ 2,141.79 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ขณะที่สถิติสูงสุดช่วงสามเดือนก่อนหน้าคือ 2,135.39 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์
โอเล่ แฮนเซ่น นักกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์ของ Saxo Bank A/S มองว่า ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการปรับฐานของตลาดหุ้นเพราะข้อมูลภาคการผลิตที่อ่อนแอของสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา อาจทำให้นักลงทุนบางส่วนย้ายเงินออกจากหุ้นเข้าสู่ทองคํา และสัญญาณที่เฟดมีแนวโน้มจะปรับอัตราดอกเบี้ยเข้ามาพยุงราคาทองคำตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยตลาดซื้อขายสวอป (Swaps Market) แสดงโอกาส 64% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายนนี้
บทบาทของทองคําในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่สำคัญและเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเช่นกันนั้น มีความเด่นชัดมากขึ้นจากปัจจัยความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยการโจมตีเรือขนส่งสินค้าในทะเลแดงของกบฎฮูตี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรงขึ้น บวกกับความวิบัติทางเศรษฐกิจของจีน และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ช่วงปลายปี ล้วนส่งผลทำให้ทองคำเปล่งประกาย
เอวา มานเทย์ (Ewa Manthey) นักกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์ของ ING Groep คาดว่าราคาทองคําจะซื้อขายสูงขึ้นในปีนี้ เนื่องจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยยังคงได้รับการสนับสนุนท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์จากสงครามที่กําลังดำเนินอยู่ และการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่กําลังจะมาถึง
Siam Blockchain ขมวดปมสรุป 3 สินทรัพย์ที่พุ่งแรงแซงทุกโค้งทำระดับราคาสูงสุดใหม่ในปี 2567 นี้ว่า บิทคอยน์ครองแชมป์ผลตอบแทนปังสุด โดยทำระดับราคาสูงสุดใหม่อย่างน่าทึ่ง พุ่งขึ้นไปแตะระดับ 69,000 ดอลลาร์ ถือเป็นการทำลายสถิติราคาสูงสุดในปีนี้ และถือว่าเพิ่มสูงจากปี 2566 มากถึง 65%
อันดับสอง คือ ทองคำ ซึ่งพุ่งแตะระดับราคาสูงสุดใหม่ที่ 2,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ในปี 2567การพุ่งขึ้นของราคาทองคำสะท้อนถึงบทบาทของทองคำในฐานะ “สกุลเงินที่ไม่มีชาติ” และการเป็นสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อที่ได้รับความนิยม
อันดับสาม คือ หุ้นเทคโนโลยี โดยบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง ได้บันทึกระดับราคาสูงสุดใหม่ในปีนี้ ด้วยการนำเสนอนวัตกรรมและการเติบโตของรายได้ที่แข็งแกร่ง เช่น Microsoft (MSFT) 420.00 ดอลลาร์ Apple (AAPL) 170.00 ดอลลาร์ Alphabet (GOOGL) 153.00 ดอลลาร์ Meta (META) 500.00 ดอลลาร์ และ NVIDIA (NVDA) 859.00 ดอลลาร์ โดยเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสู่โลกดิจิทัล การเพิ่มขึ้นของการใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน ผลักดันให้บริษัทเทคทำกำไรได้ดีที่สุดในตลาด
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ขอย้ำให้นักลงทุนท่องคาถาศักดิ์สิทธิ์ให้ขึ้นใจอีกครั้ง “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน” และการกระจายพอร์ตลงทุนถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งถ้าไม่อยากเป็น “เม่าน้อย” ที่พำนักอยู่บน “ดอย” ยาวนาน