ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เรียบแล้ว “โรงเรียนโจ๊ก” ไปตามคาดหลัง “5 อรหันต์” แห่ง “คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ” หรือ “ป.ป.ช.” มีมติ 4 ต่อ 1 รับคดีเว็บพนันออนไลน์มินนี่ซึ่งปรากฏชื่อของ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมพวกรวม 5 คน เอาไว้ทำเอง แทนที่จะเลือกส่งไปให้ “คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรม ทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ตามที่ได้มีการร้องขอมาก่อนหน้านี้
นอกจาก “บิ๊กโจ๊ก” แล้ว รายชื่อผู้ถูกกล่าวหาอีก 4 ราย ประกอบด้วย 1.พล.ต.ต.ไพโรจน์ กุจิรพันธ์ ข้าราชการบำนาญ 2.พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล รอง ผบก.สส.สตม. 3.พ.ต.อ.นฤวัต พุทธวิโร ผกก.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี และ 4.ส.ต.อ.ณัฐนันท์ ชูจักร ผบ.หมู่ สายตรวจ 3บก.จร.บช.น.
ทั้งนี้ “นายนิวัติไชย เกษมมงคล” เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษก สำนักงาน ป.ป.ช อธิบายให้เหตุเอาไว้ว่า “ขอยืนยันว่าไม่ได้เป็นการดึงเรื่อง หรือมีความสัมพันธ์ส่วนตัวอะไร แต่ที่ดึงคืนมาเพราะเป็นเรื่องร้ายแรงมอบหมายไม่ได้ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 234 อยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องร้ายแรงมอบไม่ได้ กรณีเจ้าหน้าที่รัฐหากเป็นระดับล่างอาจมอบได้ แต่เจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงมอบไม่ได้”
ไม่เพียงเท่านั้น ยังเรียกสำนวนและเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในคดี “ลูกน้องมือขวา” คือ “พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิสมัย” รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 4 กับพวก กลับคืนให้ ป.ป.ช.ดำเนินการ โดยให้เหตุผลว่า เป็นคดีที่มีการกระทำความผิดเกี่ยวข้องเป็นเรื่องเดียวกัน
ก็เป็นอันว่า คดีเว็บพนันมินนี่ที่เกี่ยวข้องกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์และ พ.ต.อ.ภาคภูมิ ทั้ง 2 คดีหลักหลุดไปจากมือตำรวจเป็นที่เรียบร้อย
งานนี้ ก็คงสมใจ “บิ๊กโจ๊ก” เพราะก่อนหน้านี้ก็ได้ต่อสู้และพยายามยืนหยัดโดยยึดเอา ป.ป.ช.เป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กมาตลอด และสมใจ “บิ๊กต่อ-พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ก่อนหน้านี้ก็ได้ให้สัมภาษณ์ไปในทิศทางเดียวกันว่า คดีควรอยู่ในมือของ ป.ป.ช. ยุติเผือกร้อนในมือและนั่งเก้าอี้นายใหญ่ตำรวจไปจนกระทั่งเกษียณอายุราชการด้วยความสบายอกสบายใจ
ขณะที่ “บิ๊กเต่า-พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว” รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่เปิดหน้าท้าชนก็คงต้องทำใจสถานเดียว
“บิ๊กเต่า” บอกว่า “ไม่เสียกำลังใจ” และทางพนักงานสอบสวน บก.ปปป.ก็ยังเดินหน้ารวบรวมพยานหลักฐานในส่วนของคดีเพิ่มเติม หาก ป.ป.ช.ต้องการ รวมทั้งสืบสวนสอบสวนขยายผลไปถึงเส้นทางการเงินของเว็บพนันออนไลน์ ที่อาจจะเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว โดยมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เข้าไปเกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ทาง ป.ป.ช.จะรับสำนวนไปพิจารณาเอง ถือว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช.โดยตรง ที่สามารถรับทำคดีได้เอง และขอยืนยันว่า พยานหลักฐานที่มีนั้นครบถ้วน ที่จะสามารถเอาผิดกับผู้ถูกกล่าวหาได้ทั้งหมด
อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า ในการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมานั้น “บิ๊กกุ่ย- พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช.ได้บรรจุวาระของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นวาระจร และนำขึ้นพิจารณาในช่วงเช้าของการประชุม ทั้งที่โดยปกติแล้ว การประชุมจะพิจารณาวาระเพื่อพิจารณาให้เสร็จสิ้นก่อนจึงจะพิจารณาวาระจรและวาระเพื่อทราบ ตามลำดับ
ทางหนึ่ง อาจมองว่า ไม่อาจนิ่งนอนใจจากกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้นอย่างหนักหน่วงมาทำเป็นทองไม่รู้ร้อน
แต่อีกทางหนึ่ง สังคมอาจมองได้ว่า มีอะไรในกอไผ่หรือไม่ เพราะไม่เป็นไปตามปกติที่เคยกระทำกันมา
ทั้งนี้ ในการพิจารณาวาระของรอง ผบ.ตร.นั้น มีการหารือกันเคร่งเครียดกว่าสองชั่วโมง เพราะมีการพิจารณาเรื่องข้อกฎหมายและสำนวนคดีนี้อย่างหนัก โดยตัว “บิ๊กกุ่ย” ซึ่งเป็นประธาน ป.ป.ช. และ “นายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ” กรรมการ ป.ป.ช.เสนอให้ ป.ป.ช.นำคดีนี้กลับมาทำเอง พร้อมระบุด้วยว่า ควรตรวจสอบสำนวนนี้ใหม่ด้วย จากนั้นคณะกรรมการ ป.ป.ช.เสียงข้างมาก ได้อ้างมาตรา 28 และมาตรา 29 แห่ง พ.ร.ป. ป.ป.ช.และรัฐธรรมนูญในการดึงเรื่องนี้กลับมาดำเนินการเอง
เป็น “บิ๊กกุ่ย-และเอกวิทย์” ที่ใครๆ ก็รู้ว่ามีจุดยืนอย่างไร
ส่วนเสียงข้างน้อยในการลงมติครั้งนี้ที่มีเพียง “1 เสียง” คือ “นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข” กรรมการ ป.ป.ช. ให้เหตุผลสองข้อที่ ป.ป.ช.ไม่ควรรับสำนวนนี้มาดำเนินการ เนื่องจาก 1.พฤติการณ์แห่งคดีระหว่างตำรวจกับเอกชน ร่วมกันกระทำความผิดกฎหมายการพนัน โดยนำเงินที่ได้มาไปแจกจ่ายตามบัญชีต่างๆ นั้น เป็นความผิดฐานฟอกเงิน ซึ่งไม่ใช่ความผิดที่ ป.ป.ช.จะรับไว้ดำเนินการไต่สวน เพราะตำรวจในสำนวนคดีนี้ไม่ได้กระทำความผิดจากการปฏิบัติหน้าที่ ดังนั้น การที่ ป.ป.ช.จะตั้งข้อกล่าวหาว่า ตำรวจในสำนวนคดีนี้กระทำความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา157และมาตรา 149 โดยที่ตำรวจยังไม่มีพฤติการณ์เรียกรับทรัพย์สินนั้น อาจไม่ถูกต้อง
และ 2.พนักงานสอบสวนยังดำเนินการไม่เสร็จสิ้น โดยเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2566 พนักงานสอบสวนแจ้ง ป.ป.ช.ว่า มีการสอบสวนขยายผลเพิ่มเติมและพบผู้ร่วมกระทำผิดระดับสูงด้วย เท่ากับว่าพนักงานสอบสวนยังสอบสวนไม่เสร็จและจะส่งให้ ป.ป.ช.พิจารณาไม่ได้จนกว่าจะการสอบสวนแล้วเสร็จ และหากพิจารณามาตรา 65 และมาตรา 66 แห่ง พ.ร.บ. ป.ป.ช. นั้นพบว่า ป.ป.ช.ต้องคืนสำนวนให้พนักงานสอบสวนดำเนินการให้เสร็จสิ้นก่อนแล้วจึงนำมาพิจารณาอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี เรื่องก็ไม่น่าจะจบง่ายเพียงนั้น เพราะเมื่อมีการตรวจสอบข้อมูลพบว่า งานนี้ มีสัญญาณจากสำนักอัยการสูงสุด สะกิดเตือนสติ ป.ป.ช. ว่า หากอธิบายหลักการทางกฎหมาย การเรียกคืนสำนวนคดี “พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิสมัย” กับพวก ของป.ป.ช.จะทำให้เกิดความเสียหายต่อคดี และจะเป็นข้อต่อสู้ของผู้ต้องหาได้ เพราะคดีนี้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 140 เมื่อนำสำนวนการสอบสวน ส่งถึงอัยการเเล้ว โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาและอัยการสั่งสอบสวน ป.ป.ช.จะดึงสำนวนกลับไม่ได้!!
แต่ถ้าหากอยู่ระหว่างสอบสวน ป.ป.ช. จะเอาคืนได้หรือไม่ ก็อีกเรื่องหนึ่ง เพราะพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ มีได้เพียงคนเดียว
ดังนั้น อาจมีแจ้งความร้องทุกข์ ซึ่งหมายความว่า “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์และพวก” กำลังลากป.ป.ช.เสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางไปด้วย ซึ่งก็เป็นไปตามคาดเมื่อ “นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์” ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรรม เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.นพพิณฑ์ แก้วอินไชย สว.(สอบสวน) กก.3 บก.ปปป. เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษ “ประธาน ป.ป.ช.” พร้อมพวกรวม 4 คน ในความผิดมาตรา 157 ที่มีมติรับและดึงคดี “บิ๊กโจ๊ก” กับ “คดี พ.ต.อ.ภาคภูมิ” มาทำเอง
“การมีมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. 4 ต่อ 1 ที่รับสำนวนพิจารณานั้นอาจมีดีลลับเกิดขึ้นที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ระหว่าง ป.ป.ช.2 ท่าน กับผู้ใหญ่ในรัฐบาล ก่อนจะมีมติรับสำนวนคดีมาพิจารณาเอง โดยตนเองยืนยันว่ามีทั้งหลักฐาน สามารถระบุ ชื่อร้านอาหารและจำนวนคนที่ไปทานอาหารกันที่ร้านในวันนั้นได้ ทั้งนี้ การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดมาตรา 157 และการที่ขอรับสำนวนสอบสวนเรื่องกล่าวหา พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย กับพวกมิชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 65 ที่ไม่สามารถไปเอาสำนวนคืนจากพนักงานอัยการได้ พฤติกรรมดังกล่าวถือเป็นการทำลายกระบวนการยุติธรรมของประเทศ แต่หากเรื่องที่ผมพูดไม่เป็นความจริงก็ขอให้ ป.ป.ช. ออกมาชี้แจงต่อสังคมว่าไม่เป็นความจริง และถ้าผมโกหกก็ยินดีให้ ป.ป.ช. ดำเนินคดีได้เลย”นายอัจฉริยะ กล่าว
กระนั้นก็ดี ต้องบอกว่าคดีเว็บพนันมินนี่ที่ปรากฏชื่อ “บิ๊กโจ๊ก” เป็นผู้ถูกกล่าวหานั้น มีแง่มุมให้สังคมต้องตรวจสอบอีกมากมาย โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากเงื่อนเวลา และศักยภาพในการพิจารณาคดีของ ป.ป.ช. ก็จะพบความแปลกประหลาดคือ หาก ป.ป.ช. รับสำนวนนี้มาดำเนินการ ป.ป.ช. ที่นำโดย “บิ๊กกุ่ย-พล.ต.อ.วัชรพล” จะมีเวลาในการดำเนินการตามกฎหมาย 2 ปีและขยายเวลาได้อีก 1 ปี แต่มีข้อมูลชี้ว่าว่า ณ เวลานี้ ป.ป.ช. คดีคงค้างกว่า 3,000 คดีและบางคดีสำคัญ ๆ ใกล้หมดอายุความ ขณะที่ ป.ป.ช. มีอัตรากำลังรวมทั้งประเทศเพียง 700 กว่าคน โดยในส่วนของพนักงานไต่สวน ป.ป.ช.นั้น ถ้าจะทำให้เท่าทันกับเงื่อนเวลาและจำนวนคดีที่คงค้างอยู่ ต้องพิจารณาสำนวนคดีให้เสร็จสิ้นมากถึงวันละ 2-3 คดี ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้
ดังนั้นการที่ ป.ป.ช. รับสำนวนเว็บพนันมินนี่มาดำเนินการอาจจะใช้เวลามากกว่าและนานกว่าพนักงานสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มีอัตรากำลังมากกว่า ป.ป.ช.
ด้วยเหตุนี้ หาก ป.ป.ช. ดำเนินการตามที่ “กรรมการ ป.ป.ช. คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” เสนอคือตรวจสอบขั้นต้นก่อนนั้น เท่ากับว่า ป.ป.ช. อาจเริ่มต้นนับหนึ่งของสำนวนนี้ใหม่ทั้งหมด ซึ่งอาจใช้เวลานานเพราะผู้ถูกกล่าวหาของสำนวนนี้ทั้งหมดมีสองส่วน
พฤติกรรมเช่นนี้ ใช่หรือไม่ว่า แสดงให้เห็นถึงการที่คนในองค์กร ป.ป.ช. บางคนจงใจตีความว่า สำนวนคดี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์เป็นเรื่องใหม่ หรือเป็นคนละเรื่อง เป็นความพยายามที่จะแยกสำนวนคดีทั้ง 2 ให้ขาดออกจากกัน เพื่อประโยชน์ในทางคดีของใคร?
และเมื่อ ป.ป.ช. มีมติรับสำนวนไปทำเอง แม้กฎหมายจะให้อำนาจโดยมีเวลาไต่สวนถึง 2 ปี บวก 1 ปีถ้าทำไม่ทัน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถเอาเรื่องไปดองเค็มนานเป็นแรมปีเหมือนเรื่องที่ผ่าน ๆ มา ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เพราะว่า สำนวนคดีเว็บพนันออนไลน์มินนี่ชุดแรกตำรวจทำคดีมานาน มีพยานหลักฐานค่อนข้างสมบูรณ์ จนขนาดส่งสำนวนไปให้อัยการเพื่อฟ้องต่อศาลแล้ว ที่สำคัญตำรวจและอัยการทำคดีภายใต้อำนาจของ ป.ป.ช. ส่วนกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์เป็นการขยายผลจากสำนวนคดีหลักซึ่งมีกลุ่มลูกน้องคนสนิทของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ตกเป็นผู้ต้องหา พยานหลักฐานจึงเป็นชุดเดียวกัน เรื่องเดียวกัน และมีความเกี่ยวโยงกัน
ดังนั้น เมื่อ ป.ป.ช. ดึงสำนวนเอาไว้ เพื่อกลับไปทำเอง ก็สามารถดำเนินการต่อได้ทันที โดยไม่ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ ให้เสียเวลา การทำคดีของ ป.ป.ช. จึงไม่ต้องใช้เวลานานเหมือนคดีอื่น ๆ ทั่วไป เว้นแต่จะมีวาระแอบแฝง หรือต้องการยืดเวลาออกไปเพื่อเอื้อประโยชน์ใครให้บางคน
ตรงนี้ เป็นประเด็นที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่าจะออกมาอย่างไร โดยเฉพาะหลังจากที่ “อัจฉริยะ” ไปยื่นข้อมูลเพื่อให้ดำเนินคดีกับคณะกรรมการป.ป.ช.และมั่นใจในหลักฐานของตัวเอง เพราะถ้าแก้ข้อกล่าวหาไม่ตก ก็บอกคำเดียวว่า “4 ป.ป.ช.” ที่เห็นควรให้ดึงคดีกลับมาทำเองคงต้องหนาวจับขั้วหัวใจกันเลยทีเดียว