xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

กวาดล้าง “มาเฟียต่างชาติ” ขู่เฮอะแต่อย่า “หลอก”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


บ่อนของจีนเทาในย่านงามวงศ์วาน
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -  ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับสถานการณ์ “มาเฟียต่างชาติ” ที่เข้ามาแผ่อิทธิพลในเมืองไทย ทำมาหากินกอบโกยผลประโยชน์ รังแกคนไทยทำตัวเหนืออยู่กฎหมาย แต่เป็นประเด็นร้อนแรงขึ้นมาจากความกร่าง “นายเดวิด” ฝรั่งชาวสวิตฯ ผู้ก่อเหตุ “ฝรั่งเตะหมอ” สืบขยายผลพฤติการณ์เป็นภัยต่อสังคมและเข้าข่ายมาเฟีย โดยล่าสุด สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) เพิกถอนวีซ่าแล้ว 

ทั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้มีการถกเถียงถึงปัญหา  “มาเฟียต่างชาติ” ที่เข้ามาแผ่อิทธิพลกอบโกยผลประโยชน์ในพื้นที่ท่องเที่ยวเมืองไทย โดยมิเกรงกลัวกฎหมาย และนำไปสู่การตั้งคำถามว่า ทางการปล่อยปละละเลยกลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาประกอบอาชีพในเมืองไทย และมีพฤติกรรมทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลหรือไม่? เพราะก็รู้กันอย่างเต็มอกว่า กลุ่มมาเฟียจะดำรงอยู่ไม่ได้หากไม่มี “เจ้าหน้าที่รัฐ” คอยเอื้ออำนวยความสะดวกเพื่อแลกกับผลประโยชน์ที่จะได้รับ โดยเฉพาะการเข้ามาทำกินในพื้นที่จังหวัดท่องเที่ยวต่างๆ

ยกตัวอย่างเช่นที่ จ.ภูเก็ต ก่อนหน้านี้มีเสียงร้องเรียนจากผู้ประกอบการสถานบันเทิง พ่อค้าแม่ค้า ผู้ขับรถรับจ้างในพื้นที่ จ.ภูเก็ต โดยมีกลุ่มนายทุนชาวต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจแย่งอาชีพผู้ประกอบการคนไทย ทำให้ผู้ประกอบการคนไทยเดือดร้อนหนัก ได้รับผลกระทบรายได้หดหาย และมีพฤติกรรมเป็นมาเฟียไม่เกรงกลัวกฎหมาย ผ่านทาง นายธนกร วังบุญคงชนะ สส. บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ก่อนเรียกร้องไปยังรัฐบาลให้เร่งตรวจสอบและกวาดล้างโดยด่วน หวั่นจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต

นายธนกร ยังให้ข้อมูลด้วยว่า จะต้องมีการปูพรมปฏิบัติการพิเศษ สแกนพื้นที่อย่างเข้มงวด เพื่อเป็นการตัดวงจรการฟอกเงินในธุรกิจสีเทาของชาวต่างชาติ ที่มาในรูปแบบแอบอ้างร่วมมือกับคนไทย เช่น ใช้เรื่องความสัมพันธ์แต่งงานเป็นสามีภรรยากับคนไทยบังหน้าเพื่อทำธุรกิจ เชื่อว่าหากมีปฏิบัติการตรวจสอบ กวาดล้างกลุ่มมาเฟียที่ทำผิดและไม่เกรงกลัวกฎหมายอย่างต่อเนื่องจริงจัง จะสามารถแก้ปัญหานี้ให้เห็นผลเป็นรูปธรรมได้ และจะช่วยผู้ประกอบการไทยที่ทำธุรกิจสุจริตใน จ.ภูเก็ต มีกิจการที่ดีขึ้น รายได้จากภาษีของผู้ประกอบการก็เข้าประเทศได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวในภูเก็ตและพื้นที่ภาคใต้บูม มีนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ มากกว่าปริมาณมากขึ้น เชื่อว่าเศรษฐกิจท่องเที่ยวจะเติบโตได้ตามที่ภาครัฐตั้งเป้าไว้

ด้าน  ร.ต.อ.เขตรัฐ ชาญศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการกองอาสาสมัครรักษาดินแดน เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจากกรมการปกครองให้มาติดตามการจัดระเบียบและปราบปรามผู้มีอิทธิพลทั่วประเทศ โดยรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย โดยได้เน้นย้ำด้วยว่า จ.ภูเก็ต จะต้องไม่มาเฟียต่างชาติ ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล ซึ่งก่อนหน้านี้กระทรวงมหาดไทยได้ออกนโยบายการปราบปรามมาเฟีย หรือผู้มีอิทธิพลที่เป็นคนไทยไปแล้ว ยิ่งเป็นชาวต่างชาติยิ่งต้องดำเนินการจัดการอย่างเด็ดขาด และได้กำชับไปยังทางจังหวัด นายอำเภอต่างๆ ของ จ.ภูเก็ต ให้สอดส่องดูแล และพบการกระทำความผิดขอให้ดำเนินการทันทีและแจ้งมายังกรมการปกครองผ่านศูนย์ดำรงธรรม

ขณะที่ท่าทีของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล  ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ออกคำสั่งด่วนให้ไปยังผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1-9 ตำรวจท่องเที่ยว และตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตรวจสอบและรายงานผลเร่งด่วน เกี่ยวกับชาวต่างชาติที่เข้ามาในเมืองไทยทุกมิติ ไปตรวจสอบดูว่าเข้ามาทำอะไรบ้าง โดยเฉพาะเรื่องแย่งอาชีพคนไทย มีการเข้ามาเปิดกิจการต่างๆ แย่งอาชีพคนไทยหรือไม่ หรือตั้งแก๊งเป็นผู้มีอิทธิพลหรือไม่

อย่างไรก็ตาม เรื่องมาฟียต่างชาติในเมืองท่องเที่ยวอย่างภูเก็ตมีมานานแล้ว ตามข้อมูลระบุว่าเริ่มเห็นภาพชัดราวๆ ปี 2553 เกิดการรุกคืบเข้ามาของกลุ่มธุรกิจข้ามชาติ ทั้ง รัสเซีย จีน เกาหลี ฯลฯ พฤติการณ์ตั้งแก๊งเป็นมาเฟีย มีการตั้งบริษัทโดยมีสำนักงานทนายความจัดการด้านกฎหมาย มีคนไทยเป็นนอมินี รับจดทะเบียนหลายบริษัท โดยกลุ่มมาเฟียข้ามชาติจะประกอบธุรกิจหลากหลาย อาทิ โรงแรม รีสอร์ต ธุรกิจนำเที่ยว รถทัวร์ รถเช่า ร้านอาหาร ร้านยา ฯลฯ ตลอดจนแย่งอาชีพแย่งงานคนไทย ซึ่งคนกลุ่มนี้จะสร้างคอนเนกชั่นกับเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ผู้มีอำนาจควบคุมกฎต่างๆ มีส่วนได้ส่วนเสียเอื้อประโยชน์กัน

เช่นเดียวกับที่ “พัทยา” ซึ่งปรากฏเป็นข่าวอยู่บ่อยครั้งเกี่ยวกับบรรดามาเฟียต่างชาติ โดยเฉพาะหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ลดลง มาเฟียต่างชาติกลับเข้ามาในพื้นที่พัทยา จ.ชลบุรี มากขึ้น โดยมาส่วนใหญ่มาทำธุรกิจสีเทา มีการจ่ายส่วยให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น ธุรกิจผับบาร์ อะโกโก้

กลุ่มมาเฟียต่างชาติ ที่มีมากคือ รัสเซีย เยอรมัน จีน กลุ่มเหล่านี้มีขบวนการฟอกเงิน เช่นลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในพื้นที่ โดยนำเงินเข้ามาจากต่างประเทศ มีคนไทยเป็นนอมินี หรือแต่งงานกับผู้หญิงไทย เพื่อเป็นนอมินีในการทำธุรกรรม ซึ่งชาวต่างชาติรายดังกล่าวจะเป็นคนจ่ายเงิน แต่เก็บเอกสารไว้เป็นส่วนตัว ภายใต้การคบกันแบบสามีภรรยา อาจมีการทำหนังสือยินยอม โดยระบุเงื่อนไขในการซื้อสินทรัพย์ในนามบริษัท ผู้หญิงไทยเป็นนอมินีคอยออกหน้า

“ในพื้นที่พัทยา มีมาเฟียสัญชาติเยอรมัน ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ มาเฟียจีน เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาเป็นชาวรัสเซีย กลุ่มมาเฟียส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเปิดเผยตัว ซึ่งมีรายได้จากทั้งการนำเงินสีเทาจากต่างประเทศมาฟอกในไทย และอีกส่วนเป็นเงินสีเทาที่ได้มาจากการทำธุรกิจในไทย”แหล่งข่าวในพื้นที่ให้ข้อมูล

ทั้งนี้ คงต้องยอมรับกันว่า ไทยเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็น “สวรรค์ของมาเฟียต่างชาติ” มาเป็นเวลาช้านาน และที่ตกเป็นข่าวคึกโครมในช่วงหลังๆ นี้ คงหนีไม่พ้น “จีนเทา” ซึ่งถือเป็นองค์กรอาชญกรรมที่ขยายตัวในประเทศไทยเป็นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาดังกรณีของ “ตู้ห่าว” เป็นต้น

ธุรกิจจีนสีเทา หรือกลุ่มมาเฟียจีนในไทยปรากฏมาตั้งแต่ปี 2558 แต่หน่วยงานรัฐอาจจะไม่รู้ หรือปิดตาข้างเดียว จนทำให้ขยายธุรกิจเติบโตครอบคลุมหลายประเภท ทั้งบริษัททัวร์จีน ทำร้านอาหาร ร้านคาราโอเกะ สถานบันเทิง โรงแรม การนำผู้หญิงจีนมาขายบริการให้คนจีนในไทย และลักลอบเปิดบ่อนการพนัน เป็นต้น

อีกเหตุการณ์ที่ชาวต่างชาติก่อเหตุความรุนแรงในเมืองไทยที่ร้อนแรงที่สุดเป็นวาระระดับชาติ กรณีกลุ่ม LGBTQIA+ ชาวฟิลิปปินส์ หรือกะเทยฟิลิปปินส์ 20 คน รุมทำร้ายกะเทยไทย 4 คน รวมทั้งมีการขโมยทรัพย์สิน

นำไปสู่เหตุการณ์การรวมตัวของกะเทยไทย ภายในซอยสุขุมวิท 11/1 เพื่อทวงคืนศักดิ์ศรีล้างแค้นหลังถูกกะเทยฟิลิปปินส์ รุมทำร้าย 20 : 4 เป็นกระแสร้อนแรงในโซเชียลฯ ผุดแฮชแท็ก #สุขุมวิท11 ทะยานขึ้นอันดับ 1 และถูกจารึกเป็น  “วันกะเทยผ่านศึก”  เมื่อวันที่ 4 มี.ค. 2567 ที่ผ่านมา

หากมองอย่างผิวเผินการรวมตัวกันของกลุ่มกะเทยเป็นการกอบกู้ศักดิ์ศรีจากการถูกรุมทำร้าย หรือการถูกเหยียดหยามผ่านในโซเซียลฯ แต่หากมองให้ลึกต้นตอของปัญหาที่แท้จริงมาจากการลักลอบทำงานของคนต่างชาติในไทย อธิบายง่ายๆ คือกะเทยฟิลิปปินส์แย่งงานกระเทยไทย ซึ่งที่ผ่านมาชาวกะเทยฟิลิปปินส์จำนวนไม่น้อย อาศัยฟรีวีซ่าเข้ามาประกอบอาชีพสีเทาในเมืองไทย โดยเฉพาะเรื่องค้าประเวณีจนเกิดกรณีแย่งลูกค้ากับกะเทยไทย เกิดการปะทะคารมกันอยู่บ่อยครั้ง

สุดท้าย การกวาดล้าง “มาเฟียต่างชาติ” ในประเทศไทย คงต้องติดตามความชัดเจนต่อไปว่าจะมีการตรวจสอบกลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาทำมาหากินอย่างผิดกฎหมายจริงจังแค่ไหน เพราะที่ผ่านๆ มาก็เห็นกันอยู่ว่าเข้าขั้น “มีปัญหา” โดยเฉพาะ “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง ไม่เช่นนั้นจะตกเป็นข่าวให้เห็นอย่างสม่ำเสมอได้อย่างไร


กำลังโหลดความคิดเห็น