ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -น้องปู-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ของ “พี่แม้ว-ทักษิณ ชินวัตร” ได้รับข่าวดี 2 ดอกซ้อนๆ ในระยะเวลาห่างกันไม่นานนัก
ข่าวดีแรกเกิดขึ้นหลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง พิพากษา “ยกฟ้อง” คดีย้ายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 25 66 โดยที่อัยการสูงสุด ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ ส่งผลให้คดีสิ้นสุดไปแล้วคดีหนึ่ง
และข่าวดีที่สองเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง ได้พิพากษา “ยกฟ้อง” กับพวก ด้วยมติ 9 ต่อ 0 เสียง คดีจัดอีเวนต์โรดโชว์สร้างอนาคตประเทศไทย 2022 วงเงิน 240 ล้านบาท พร้อมถอนหมายจับ “ยิ่งลักษณ์” หลบหนีอยู่ต่างประเทศด้วย
อันเป็นการสิ้นสุด 2 คดีของ “ยิ่งลักษณ์” ที่ค้างอยู่ในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง
รวมกับอีกหลายคดีที่ถูกตีตกไปในชั้นคณะกรรมการป้องดันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อาทิ คดีซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ภาค 2, คดีอนุมัติงบกลาง 120 ล้านบาทช่วยเหลือผู้ต้องขังคดีการเมือง, คดีจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางการเมือง, คดีปล่อยให้ จารุพงษ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย ขณะนั้นพร้อมพวกปราศรัยรุนแรงแบ่งแยกประเทศ, คดีกล่าวหาออก พ.ร.ก.กู้เงินจัดการน้ำฯ 3.5 แสนล้านบาท รวมถึงคดีถูกกล่าวหาว่าบริหารจัดการน้ำผิดพลาด จนเกิดน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 เป็นต้น
แต่การจะเดินทางกลับบ้านแบบ “เท่ๆ” เหมือน “พี่แม้ว” ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
ผิวเผินมองกันว่า การพ้น 2 คดีล่าสุดทำให้เส้นทางกลับประเทศของ “ยิ่งลักษณ์” เปิดโล่งมากขึ้น หากแต่ในรายละเอียดไม่ง่ายอย่างที่คิด ด้วยโทษจำคุกเป็นเวลา 5 ปีในคดีระบายข้าวแบบจีทูจี ในโครงการรับจำนำข้าว เฟสที่ 1 ที่หมดทางสลัดหลุดคำตัดสินที่เป็นที่สุดแล้วของศาล
แม้ฟังว่าโทษคุก 5 ปี จะดูน้อยกว่าโทษจำคุก 8 ปีของ “พี่ษิณ” และหากเดินตาม “ทักษิณโมเดล” ก็มีช่องในการขอพระราชทานอภัยโทษ หรือลดโทษได้ แต่ต้องไม่ลืมว่า หาก “ยิ่งลักษณ์” ได้รับการลดโทษเหลือบางส่วนแบบ “ทักษิณ” แต่เงื่อนไขการจะได้ออกมาอยู่คุกวีวีไอพี หรือการพักโทษ นั้นต่างกัน
ต่างกันตรงที่ปัจจุบัน “ยิ่งลักษณ์” อายุเพียง 56 ปี ไม่เข้าเกณฑ์เป็นผู้สูงอายุของกรมราชทัณฑ์ หากยังมีโทษจำคุกติดตัว ห่างไกลที่จะเข้าเกณฑ์ได้รับการพักโทษ ก็ต้องถามว่า “ยิ่งลักษณ์” จะยอมไปอยู่ในเรือนจำรอวันพ้นโทษหรือไม่
หรืออ้างจะใช้ลูกไม้อาการป่วย เพื่อออกมาอยู่โรงพยาบาลภายนอก ก็คงไม่แนบเนียนยิ่งกว่า “ทักษิณ” เสียอีก จะกลายเป็นอีกแรงเสียดทานของรัฐบาล กลายเป็นการ “ลุแก่อำนาจ” ของ “ตระกูลชินวัตร” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เผลอๆ จะพากันทำให้พังทั้งกระดานอีกต่างหาก เพราะเวลานี้ ก็ส่งผลกระทบต่อพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลมากถึงมากที่สุดอยู่แล้ว
การที่ “ยิ่งลักษณ์” จะเดินทางกลับไทยโดยใช้วิธีการ “ทักษิณโมเดล” จึงไม่ตอบโจทย์เท่าที่ควร
จึงมีไอเดียว่า รัฐบาลต้องเป็นเจ้าภาพในการออก “กฎหมายนิรโทษกรรม” เกี่ยวกับคดีทางการเมือง เพื่อสร้างความปรองดอง ภายใต้กรอบไม่นิรโทษกรรมในคดีเกี่ยวกับความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และอาจรวมไปถึงคดีทุจริตคอรัปชั่น
โดยจะ “สอดไส้” การนิรโทษกรรมให้ครอบคลุมถึง “ยิ่งลักษณ์” ไปด้วย ซึ่งก็ต้อง “ซิกแซก” ว่าโทษจำคุก 5 ปีนั้นมาจากความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามทุจริต พ.ศ. 2542 มา ตรา 123/1
ที่อาจมีการจำกัดความในกฎหมายนิรโทษกรรมว่า ความผิดของ “ยิ่งลักษณ์” ไม่ใช่การกระทำทุจริตคอรัปชั่นโดยตรง
แต่การออกกฎหมายนิรโทษกรรมที่อ้างเพื่อความสามัคคีปรองดอง แต่มีชื่อ “ยิ่งลักษณ์” พ่วงไปด้วย จนอาจเข้าเค้า “สุดซอย” นั้น ก็อาจจะเกิดกระแสต้านอย่างที่เคยเกิด และล้ม “รัฐบาลปู” มาแล้วก็เป็นได้
ก่อนจะไปถึงจุดนั้นทั้งรัฐบาล พรรคเพื่อไทย รวมไปถึง “ทักษิณ” ยังต้องทำงานหนัก เพื่อเตรียมพร้อมรอรับ “แรงกระแทก” ที่จะตามมาโดยรัฐบาล-พรรคเพื่อไทย ก็ต้องเร่งสร้างผลงาน ส่วน “ทักษิณ” เดินสายเรียกคะแนนนิยม เพื่อเป็นเส้าค้ำยันให้รัฐบาล ที่ต้องเผชิญกับแรงเสียดทานกรณี “ยิ่งลักษณ์” กลับบ้าน ที่ดูจะรุนแรงกว่า “ทักษิณ” พอสมควร
จึงพออนุมานได้ว่า การกลับบ้านของ “ยิ่งลักษณ์” แบบเท่ๆ ยังไม่น่าจะเกิดขึ้นเร็วนัก เพราะ โครงการพาน้อง (ปู) กลับบ้าน เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น.
ขณะที่เมื่อตัดภาพกลับไปที่ “นายกฯ นิด” เศรษฐา ทวีสิน ก็จะเห็นภาพชีพจรลงเท้าต่อเนื่องทั้งในประเทศ-ต่างประเทศ กับภารกิจล่าสุดลุยโปรแกรมยาว 10 วันรวด ตั้งแต่วันที่ 4-14 มีนาคม 2567 เพื่อเดินทางเข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย สมัยพิเศษ (2024 ASEAN-Australia Special Summit)
จากนั้นจะบินข้ามโลกไปเยือนทวีปยุโรป ที่ประเทศเยอรมนี เพื่อร่วม และกล่าวสันทรพจน์ในงาน International Tourismus Borse หรือ ITB Berlin 2024 มหกรรมส่งเสริมการขายทางการท่องเที่ยวที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในโลก และไปต่อที่ประเทศฝรั่งเศส เพื่อร่วมงานมหกรรม MIPIM 2024 มหกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่เมืองคานส์ พร้อมพูดคุยระดับทวิภาคี กับแอมานุแอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ก่อนเดินทางกลับประเทศไทย
มีการจดสถิติว่า นับตั้งแต่ “เศรษฐา” เข้ารับตำแหน่งผู้นำคนที่ 30 เมื่อเดือนสิงหาคม 2566 เป็นเวลากว่า 6 เดือนมีการเดินทางไปปฏิบัติภารกิจรอบโลกแล้ว 14 ประเทศ บางประเทศไปเยือนมากกว่า 1 ครั้ง ซึ่งก็เป็นไปตามบทบาท “เซลล์แมน” เดินสายโรดโชว์เจรจาการค้า การลงทุน ที่นายกฯซึ่งมีพื้นฐานมาจากภาคธุรกิจเอกชนเคยประกาศไว้
ขณะเดียวกันก็ยังเดินทางไปปฏิบัติภารกิจภายในประเทศแล้วไม่น้อยกว่า 27 จังหวัด และหลายจังหวัดก็เดินทางไปเยือนมากกว่า 1 ครั้งเช่นกัน
อย่างไรก็ดีภายหลังจากที่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับการพักโทษ ออกมาพำนักที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ย่านจรัญสนิทวงศ์ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งมีการพิเคราะห์ว่า ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์การเมืองไทย โดยมองกันว่า ศูนย์กลางอำนาจย้ายจากทำเนียบรัฐบาลไปยัง “บ้านจันทร์ส่องหล้า” ซึ่งก็มีการจับสังเกตว่า ตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นมา “นายกฯ นิด” ที่ขยันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็ยิ่ง “ขยันเป็นพิเศษ” ในการลงพื้นที่ต่างจังหวัด รวมไปถึงเดินทางไปปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศ
ทั้งทริปที่ไป จ.นครพนม-สกลนคร-อุดรธานี เพื่อติดตามสถานการณ์การส่งออกและพื้นที่ศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ติดตามสภาพพื้นที่ก่อสร้างเหมืองแร่โพแทช และพบปะประชาชน ช่วง 17-19 กุมภาพันธ์ 2567 ที่มองกันว่า เป็นทริปที่ “ตั้งใจ” จัดเพื่อ “หลบซีน” ช่วงที่ “ทักษิณ” เดินทางกลับบ้านจันทร์ส่องหล้า
ถัดมา วันที่ 27-29 กุมภาพันธ์ 2567 ก็ลงไปพักค้างคืนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อผลักดันด้านการท่องเที่ยว และส่งเสริมการค้าการลงทุน ต่อเนื่องถึงวันที่ 2 มีนาคม 2567 ที่ไปติดตามการบริหารแก้ไขปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้ง ที่ จ.ร้อยเอ็ด-กาฬสินธุ์
ก่อนเดินทางไปต่างประเทศยาว 10 วันตามที่ระบุข้างต้น จนต้องมีการนัดประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นพิเศษในวันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม 2567 เนื่องจาก “นายกฯ นิด” จะไม่อยู่ในประเทศหลายวัน
แง่หนึ่งก็เต็มไปด้วยเสียงชื่นชมในความขยันของ “นายก ฯเศรษฐา” ที่ลงพื้นที่ทำงานหนักอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย จนล้มป่วยหลายครั้ง
แต่อีกแง่หนึ่งก็ต้องจับตามองกันต่อไปว่า การลงพื้นที่ต่างหวัด หรือการเดินทางไปต่างประเทศ ของ “นายกฯ นิด” จะสอดรับกับความเคลื่อนไหวของ “ทักษิณ” หลังจากนี้หรือไม่
ท่ามกลางเสียงซุบซิบถึงภาวะ 1 ประเทศ 2-3 นายกฯ ที่ทำเอา “นายกฯนิด” ออกอาการไม่ปลื้มมาแล้ว
อย่างการเดินทางไปต่างประเทศ 10 วันในครั้งนี้ ก็เกิดขึ้นพร้อมๆ กับกระแสข่าวว่า “ทักษิณ” เตรียมที่จะขออนุญาต กรมคุมประพฤติ เพื่อเดินทางไปยังบ้านเกิด จ.เชียงใหม่
ตามที่ “ลูกอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และบุตรสาวของนายทักษิณ ระบุว่า คุณพ่ออยากไป จ.เชียงใหม่ เพื่อพบกับญาติพี่น้อง และกราบสถูปของตระกูลชินวัตร
ก่อนที่จะมีการยืนยันว่า “ทักษิณ” จะเดินทางไป จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 14-16 มีนาคม 2567 โดยมีโปรแกรมเดินทางไปสักการะศาลหลังเมืองกรุงเทพฯ ในช่วงเช้าวันที่ 14 มีนาคม 2567 ก่อน จากนั้นจะเดินทางไป จ.เชียงใหม่ ด้วยเครื่องบินส่วนตัว และเข้าพักที่บ้านพักในสนามกอล์ฟ ซัมมิท กรีนวัลเล่ย์ ต.แม่สา อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ โดยคาดว่าจะมีบรรดาญาติพี่น้องและบุคคลใกล้ชิดเข้าพบ
จากนั้นช่วงเช้าวันที่ 15 มีนาคม 2567 “ทักษิณ” และครอบครัว จะเดินทางไปทำบุญ และเคารพสถูปบรรจุอัฐิบรรพบุรุษตระกูลชินวัตร ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า อยู่ที่บริเวณบนดอยติดกับสนามกอล์ฟ อัลไพน์ กอล์ฟ รีสอร์ท เชียงใหม่ ตำบลห้วยทราย อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่และจะเดินทางกลับ กทม.ในวันที่ 16 มีนาคม 2567
ช่วงเดียวกัน “นายกฯเศรษฐา” ก็มีกำหนดการเดินทางไป จ.เชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 15-17 มีนาคม 2567 ก่อนจะเดินทางไปลงพื้นที่และประชุม ครม.สัญจรที่ จ.พะเยา ในวันที่ 18-19 มีนาคม 2567
และเชื่อว่า ช่วงเทศกาลสงกรานต์ เดือนเมษายน “ทักษิณ” ก็คงได้เดินทางกลับ จ.เชียงใหม่ อีกครั้งเพื่อร่วม “ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง” ของชาวเหนือด้วย
ซึ่งเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ถือมีความสำคัญทั้งกับ “ทักษิณ” ที่ได้กลับมาร่วมบรรยากาศในแผ่นดินเกิดครั้งแรกในรอบ 17 ปี ที่เชื่อว่าจะมีการเตรียมการบายสู่ขวัญให้กับ “ทักษิณ” อย่างยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังเป็นเทศกาลมหาสงกรานต์ ที่จะจัดใหญ่ทั่งประเทศตลอดเดือนเมษายน ตามแผนผลักดันซอฟพาวเวอร์ที่ “ลูกอิ๊งค์” ในฐานะรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เป็นผู้เสนอ จึงเชื่อว่า “พ่อษิณ” คงไม่พลาดที่จะสลัดอาการป่วย ออกมาร่วมงานอย่างแน่นอน
อันเป็นโอกาศสำคัญในการพบปะ ”แฟนคลับ-แฟนด้อม“ พร้อมกับการวางโปรแกรม “ทักษิณทัวร์” ลงพื้นที่ทั่วประเทศไว้รอแล้ว เพื่อปลุกกระแส “คนรักทักษิณ” ให้กลับมาอีกครั้ง
ความเคลื่อนไหวที่คาดว่าจะถี่ขึ้นของ “ทักษิณ” ถือเป็นแรงเสียดทานต่อการทำหน้าที่ของ “นายกฯเศรษฐา” ที่เลี่ยงไม่ได้ ในฐานะที่มีความเชื่อมโยงกับ “รัฐบาลเพื่อไทย” แบบแยกไม่ออก
ด้วยก่อนหน้านี้มีการสำรวจความคิดเห็นประชาชนถึงความมีอิทธิพลทางการเมืองของ “ทักษิณ” ก็พบว่ามาเป็นอันดับ 1 เหนือกว่า “เศรษฐา” นายกฯ ตัวจริง
และในโพลเดียวกันยังชี้ให้เห็นว่า “ทักษิณ” จะเป็นตัวฉุดคะแนนรัฐบาล รวมถึงพรรคเพื่อไทย เพราะยังมีประเด็น “อภิสิทธิ์ชน-สองมาตรฐาน” ที่หนีความจริงไม่พ้น กับ 6 เดือนเต็มที่ “ทักษิณ” เลือกรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ก่อนได้รับพักโทษ โดยที่ไม่เคยนอนค้างคืนในเรือนจำแม้แต้คืนเดียว
ตลอดจนพฤติการณ์ “ลุแก่อำนาจ” ที่เชื่อว่าหลังจากนี้จะชัดเจนมากขึ้นๆเรื่อย ตามข่าวว่า ถนนทุกสายการเมือง-ราชการ ต่างมุ่งหน้าไปที่บ้านจันทร์ส่องหล้า
การสร้างสมดุลอำนาจ “ทำเนียบรัฐบาล-บ้านจันทร์ส่องหล้า” หรือการทำให้ “เศรษฐา” โดดเด่นกว่า “ทักษิณ” จึงเป็นไปได้ยาก
อย่างไรก็ดีในสภาวะเช่นนี้ น้ำหนักที่ “เศรษฐา” จะเป็นตัวเลือกในการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีไปจน “ครบเทอม” มากกว่าที่จะมี “เปลี่ยนม้ากลางศึก” ให้ “แพทองธาร” ขึ้นเป็น “นายกฯ กลางเทอม” ตามที่มีการคาดการณ์กันก่อนหน้านี้
ด้วยเพราะภารกิจสำคัญของ “รัฐบาลเพื่อไทย” ไม่เพียงแต่การสร้างผลงาน โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ที่ต้องยอมรับว่า “นายกฯนิด” มีประสบการณ์เหนือกว่า “หลานอิ๊งค์” เพื่อกอบกู้คะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทย ให้ฟื้นคืนมาทันการเลือกตั้งครั้งหน้าเท่านั้น
แต่ต้องไม่ลืมว่า รัฐบาลชุดนี้ยังมีภารกิจที่สำคัญต่อ “ตระกูลชินวัตร” ต่อจากการอำนวยความสะดวกให้ “ทักษิณ” หลังกลับประเทศไทย ได้อยู่ใน “คุกวีวีไอพี” อย่างเท่ๆ
เพราะตอนนี้ยังมี “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ที่ยังหลบหนีหมายจับคำพิพากษาจำคุก 5 ปี ในคดีจำนำข้าว จนต้องระหกระเหินร่อนเร่อยู่ในต่างประเทศอยู่อีกคน
อันเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ”หลานอิ๊งค์“ ยังไม่เหมาะกับบทผู้นำประเทศ ในระหว่างที่กำลังพยายามพา ”อาปู“ กลับประเทศแบบเท่ๆ