"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
นักวิชาการร่วมสมัยที่ศึกษาอำนาจอย่างละเอียดลึกซึ้งอีกท่านหนึ่งคือ ไมเคิล มานน์ (Micheal Mann) นักสังคมวิทยาชาวอังกฤษ มานน์เกิดในปี ค.ศ. 1942 ปัจจุบันท่านยังเป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณ (Emeritus Professor) ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียแห่งลอสแอนเจลีส (UCLA) ในประเทศสหรัฐอเมริกา และมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในประเทศอังกฤษ มานน์เขียนหนังสือเกี่ยวกับแหล่งอำนาจทางสังคม (The Sources of Social Power) ในเชิงประวัติศาสตร์ของอำนาจออกมาสี่เล่มใหญ่ ๆ หนังสือชุดนี้เป็นการวิเคราะห์พลวัตของแหล่งอำนาจทางสังคมตั้งแต่ยุคโบราณจนกระทั่งถึงยุคโลกาภิวัตน์ เล่มแรกตีพิมพ์ในปี 1986 เล่มที่ 2 ปี 1993 และเล่มที่ 3 กับ 4 ตีพิมพ์ในปี 2012 และ 2013 ตามลำดับ
มานน์ให้คำจำกัดความอำนาจว่าเป็น "ความสามารถในการดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายโดยการเรียนรู้สภาพแวดล้อมของตนเอง" และจำแนกแยกแยะแหล่งและเครือข่ายอำนาจออกเป็นสี่ประเภทได้แก่ อุดมการณ์ (Ideology) เศรษฐกิจ (Economics) การทหาร (Military) และการเมือง (Politics) หรือใช้ชื่อย่อว่า 'IEMP' เขาอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำจำกัดความของอำนาจว่า ไม่จำเป็นต้องผูกติดอยู่กับการกระทำหรือเหตุการณ์เดียว แต่เกี่ยวข้องกับความสามารถอย่างต่อเนื่องของบุคคลหรือกลุ่มในการมีอิทธิพลหรือควบคุมการกระทำของผู้อื่นและวิถีของเหตุการณ์ภายในโครงสร้างทางสังคมด้วย
ในมุมมองของมานน์ อำนาจไม่ใช่สิ่งที่หยุดนิ่งคงที่ แต่เป็นกระบวนการที่มีพลวัตและมีการขัดแย้งแข่งขันอยู่ตลอดเวลา หรือเป็นกระบวนการแบบที่เรียกว่า “วิภาษวิธีของอำนาจ” (The Dialectic of Power) ซึ่งมีการปฏิสัมพันธ์และการต่อสู้ดิ้นรนระหว่างแหล่งอำนาจและผู้กระทำการที่แตกต่างกัน วิภาษวิธีนี้มีองค์ประกอบสำคัญดังต่อไปนี้:
1)ธรรมชาติของอำนาจคือการแข่งขัน ซึ่งบุคคลและกลุ่มต่าง ๆ แข่งขันและต่อสู้เพื่อควบคุมและมีอิทธิพลเหนือแหล่งอำนาจทั้งสี่ ได้แก่ อุดมการณ์ เศรษฐกิจ การทหาร และการเมือง
2)ความสมดุลของอำนาจระหว่างกลุ่มและสถาบันต่าง ๆ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งนำไปสู่การรุ่งเรืองและการล่มสลายของจักรวรรดิ รัฐ และการเคลื่อนไหวทางสังคม
3)แหล่งอำนาจแต่ละแห่งมีความขัดแย้งภายในที่อาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงและการเปลี่ยนแปลง ตัวอย่างเช่น ความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจสามารถก่อให้เกิดความไม่สงบในสังคม และท้าทายความชอบธรรมของอำนาจทางการเมือง
4)แหล่งอำนาจทั้งสี่มีความเชื่อมโยงและมีอิทธิพลซึ่งกันและกัน ตัวอย่างเช่น อำนาจทางทหารสามารถนำมาใช้เพื่อรักษาทรัพยากรทางเศรษฐกิจได้ ในขณะที่การครอบงำทางอุดมการณ์สามารถช่วยเสริมการควบคุมทางการเมืองได้
สำหรับแหล่งอำนาจทั้งสี่ อันได้แก่ อุดมการณ์ เศรษฐกิจ การทหาร และการเมือง มานน์ได้นิยามและกล่าวถึงบทบาทเอาไว้ดังนี้
1. อำนาจอุดมการณ์ หมายถึง ความสามารถในการควบคุมและกำหนดรูปแบบความคิด ความเชื่อ ค่านิยม บรรทัดฐาน และสัญลักษณ์ภายในสังคม อำนาจทางอุดมการณ์กำหนดวิธีที่ผู้คนคิดเกี่ยวกับโลกและตำแหน่งแห่งที่ของพวกเขาในโลก ซึ่งเกิดขึ้นได้ผ่านทางสถาบันศาสนา การศึกษา สื่อ ศิลปะ หรือการครอบงำทางวัฒนธรรม พลังของอำนาจอุดมการณ์ขึ้นอยู่กับความสามารถในการกำหนดสิ่งที่ถือว่าเป็นเรื่องปกติหรือเป็นที่ยอมรับได้ และการสร้างอัตลักษณ์ร่วมภายในสังคม บทบาทสำคัญของอำนาจอุดมการณ์มีสามประการหลักคือ
ประการแรก การควบคุมความหมาย ผู้ที่มีอำนาจทางอุดมการณ์มีความสามารถในการกำหนดและเผยแพร่เรื่องเล่าหรือวาทกรรมหลักของสังคม ซึ่งรวมถึงการกำหนดแนวคิดเกี่ยวกับศีลธรรม ความยุติธรรม ความดีและความชั่ว และระเบียบสังคมที่เหมาะสม
ประการที่สอง การผูกขาดบรรทัดฐานและค่านิยม อำนาจทางอุดมการณ์ช่วยให้กลุ่มต่าง ๆ สามารถสร้างและบังคับใช้บรรทัดฐานและค่านิยมที่ควบคุมพฤติกรรมส่วนบุคคลและส่วนรวม บรรทัดฐานและค่านิยมเหล่านี้สามารถฝังอยู่ในหลักคำสอนทางศาสนา ระบบกฎหมาย สถาบันการศึกษา และแนวปฏิบัติทางวัฒนธรรม
ประการที่สาม การครอบงำการปฏิบัติด้านสุนทรียภาพและพิธีกรรม อำนาจทางอุดมการณ์แสดงออกผ่านการควบคุมการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์และพิธีกรรมที่สร้างอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและเสริมสร้างลำดับชั้นทางสังคม ซึ่งอาจรวมถึงศิลปะ ดนตรี วรรณกรรม พิธีทางศาสนา และวันหยุดประจำชาติ
2. อำนาจเศรษฐกิจ หมายถึง ความสามารถในการควบคุมทรัพยากรและวิธีการผลิต ซึ่งรวมถึงเงิน ที่ดิน เทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐาน ลักษณะสำคัญของอำนาจทางเศรษฐกิจมีสี่ประการหลักดังนี้
ประการแรก การควบคุมทรัพยากร ผู้ที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจสามารถเข้าถึงและควบคุมทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการผลิตและการบริโภค ซึ่งรวมถึงที่ดิน แร่ธาตุ แหล่งพลังงาน และทุนทางการเงิน
ประการที่สอง การครอบงำการผลิตและการจัดจำหน่าย อำนาจทางเศรษฐกิจทำให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลสามารถควบคุมปัจจัยการผลิต เช่น โรงงาน ฟาร์ม และเทคโนโลยี สิ่งนี้ทำให้พวกเขามีอิทธิพลต่อการผลิตและการกระจายสินค้าและบริการ กำหนดโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และมีอิทธิพลต่อผลลัพธ์ของตลาด
ประการที่สาม อำนาจตลาด อำนาจทางเศรษฐกิจสามารถใช้เพื่อมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด เช่น การตั้งราคา การควบคุมห่วงโซ่อุปทาน และการสร้างการผูกขาดหรือการผูกขาด สิ่งนี้ทำให้บุคคลหรือกลุ่มสามารถดึงมูลค่าส่วนเกินจากผู้อื่นและสะสมความมั่งคั่งได้
ประการที่สี่ อิทธิพลต่อชีวิตทางสังคมและการเมือง การควบคุมทรัพยากรทางเศรษฐกิจสามารถแปลงเป็นอิทธิพลสำคัญต่อชีวิตทางสังคมและการเมืองได้ อำนาจทางเศรษฐกิจสามารถนำมาใช้ในการกำหนดนโยบาย ให้ทุนแก่การรณรงค์ทางการเมือง และมีอิทธิพลต่อความคิดเห็นของประชาชน
ตัวอย่างของกลุ่มและองค์การที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจ ได้แก่ นักอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จใช้อำนาจทางเศรษฐกิจผ่านการเป็นเจ้าของธุรกิจ โรงงาน และสินทรัพย์ด้านการผลิตอื่น ๆ บริษัทขนาดใหญ่หรือบริษัทข้ามชาติเช่น Shell, Apple และ Amazon ซึ่งมีอำนาจทางเศรษฐกิจมหาศาลเนื่องจากการควบคุมทรัพยากรที่กว้างขวาง เครือข่ายการผลิต และส่วนแบ่งการตลาด สถาบันการเงินทั้งธนาคารและบริษัทด้านการลงทุน รวมถึงสถาบันการเงินอื่น ๆ ซึ่งมีอำนาจในการควบคุมการไหลเวียนของเงินทุนและมีอิทธิพลต่อตลาดการเงิน
แน่นอนว่ารัฐบาลก็มีอำนาจทางเศรษฐกิจเช่นเดียวกันด้วยการเก็บภาษี กฎระเบียบ และการมีกรรมสิทธิ์ในสาธารณูปโภค รัฐบาลสามารถใช้อำนาจทางเศรษฐกิจที่สำคัญเพื่อมีอิทธิพลต่อตลาด จัดสรรทรัพยากร และกำหนดรูปแบบเศรษฐกิจของประเทศ และอีกกลุ่มหนึ่งในยุคปัจจุบันที่มีอำนาจเศรษฐกิจโดยไม่สามารถมองข้ามได้คือ สหภาพแรงงาน ซึ่งเป็นตัวแทนผลประโยชน์ส่วนรวมของคนงาน สหภาพแรงงานสามารถใช้อำนาจทางเศรษฐกิจโดยการเจรจาเรื่องค่าจ้าง สภาพการทำงาน และมีอิทธิพลต่อนโยบายทางเศรษฐกิจ
อำนาจทางเศรษฐกิจมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อบุคคล สังคม และระเบียบโลก สามารถกำหนดโครงสร้างทางสังคม โดยสร้างและเสริมสร้างลำดับชั้นทางสังคมซึ่งขึ้นอยู่กับการเข้าถึงทรัพยากรและความมั่งคั่งที่แตกต่างกัน ทั้งยังมีอิทธิพลต่อกระบวนการทางการเมือง ดังเห็นได้จากผู้มีบทบาททางเศรษฐกิจที่ทรงอำนาจสามารถมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจทางการเมือง ล็อบบี้เพื่อให้ได้นโยบายที่เอื้ออำนวย และกำหนดทิศทางของรัฐบาล ที่สำคัญอีกอย่างคือการขับเคลื่อนนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งนำไปสู่การเติบโตและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม การกระจายอำนาจทางเศรษฐกิจที่ไม่เท่าเทียมกันสามารถนำไปสู่ความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจทั่วโลก โดยประเทศและบริษัทที่ร่ำรวยใช้อำนาจเหนือภูมิภาคที่พัฒนาน้อยกว่า
3 อำนาจการทหาร หมายถึง ความสามารถในการใช้กำลังและการบังคับขู่เข็ญ สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับกำลังทหาร อาวุธ และความสามารถในการใช้ความรุนแรง ลักษณะสำคัญของอำนาจทางการทหารมีดังนี้
ประการแรก การมีขีดความสามารถสำหรับความรุนแรงอย่างเป็นระบบ อำนาจทางทหารแสดงให้เห็นความสามารถของรัฐหรือองค์กรในการใช้ความรุนแรงเพื่อวัตถุประสงค์เชิงรุกหรือเชิงป้องกัน ซึ่งรวมถึงการปฏิบัติการทางทหาร การยึดอำนาจรัฐ การเข้าร่วมสงคราม และการป้องกันภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น
ประการที่สอง การควบคุมเทคโนโลยีอาวุธ การพัฒนาและการครอบครองเทคโนโลยีอาวุธขั้นสูง รวมถึงอาวุธปืน วัตถุระเบิด และยุทโธปกรณ์ทางทหารอื่น ๆ ทำให้เกิดข้อได้เปรียบทางการทหารอย่างมาก
ประการที่สาม การบังคับบัญชาเหนือกองทัพ อำนาจทางทหารที่มีประสิทธิผลจำเป็นต้องสร้างและบำรุงรักษากองกำลังติดอาวุธมืออาชีพ มีระเบียบวินัยและได้รับการฝึกอบรมเพื่อดำเนินกลยุทธ์และการปฏิบัติการทางทหาร
ประการที่สี่ อิทธิพลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อำนาจทางทหารมีบทบาทสำคัญในการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ช่วยให้รัฐสามารถแสดงอำนาจ มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจด้านนโยบายต่างประเทศ และรักษาพันธมิตรหรือขัดขวางฝ่ายตรงข้าม
ตัวอย่างอำนาจทางการทหารแสดงออกผ่านรัฐชาติที่เป็นผู้กุมอำนาจทางทหารหลัก โดยมีกองทัพประจำการ กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และคลังแสงนิวเคลียร์ การสร้างภาคีพันธมิตรทางการทหาร เช่น NATO ซึ่งรวบรวมทรัพยากรทางทหารของประเทศสมาชิกเข้าด้วยกัน และทำหน้าที่เป็นเครื่องป้องปรามที่สำคัญต่อภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้อำนาจทหารยังแสดงผ่านผู้กระทำการที่ไม่ใช่ภาครัฐ เช่น องค์กรก่อการร้ายหรือกลุ่มกบฏที่สามารถใช้อำนาจทางทหารได้ โดยใช้ยุทธวิธีแบบกองโจร การทำสงครามแบบอสมมาตร และวิธีอื่น ๆ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์
สำหรับในศตวรรษที่ 21 อำนาจทหารแสดงในสงครามไซเบอร์อีกด้วย ซึ่งเป็นมิติใหม่ของอำนาจทางการทหาร ช่วยให้รัฐและผู้มีบทบาทสามารถขัดขวางโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ โจมตีทางไซเบอร์ และจัดการข้อมูลเพื่อวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ ยิ่งกว่านั้นก็ได้มีการจัดตั้งบริษัททหารเอกชน (Private military companies - PMC) ที่มีบทบาทมากขึ้นในการสู้รบด้วยอาวุธ โดยจัดหาบุคลากรติดอาวุธและสนับสนุนด้านลอจิสติกส์แก่รัฐหรือผู้มีบทบาทอื่น ๆ ซึ่งทำให้เส้นแบ่งระหว่างอำนาจทางการทหารของรัฐและที่ไม่ใช่ของรัฐเกิดความพร่าเลือน
อำนาจทางการทหารมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อบุคคล สังคม และระเบียบโลก เพราะสามารถกำหนดผลลัพธ์ทางการเมือง มีอิทธิพลต่อกระบวนการทางการเมือง กำหนดขอบเขตอาณาเขต และบังคับใช้เจตจำนงทางการเมืองทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งยังยับยั้งและป้องกันความขัดแย้ง และรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค รวมถึงการปกป้องผลประโยชน์ของชาติพลเมือง ปกป้องเขตแดน และรักษาผลประโยชน์เชิงกลยุทธ์ของประเทศในเวทีโลก อย่างไรก็ตาม การแสวงหาความเหนือกว่าทางการทหารอาจนำไปสู่การแข่งขันทางอาวุธ และสร้างความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้น และความไร้เสถียรภาพที่เพิ่มขึ้นระหว่างรัฐคู่แข่ง ทั้งยังทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายของพลเรือนและการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นปัญหาทางจริยธรรมที่เกี่ยวกับการใช้อำนาจทางทหาร
4.อำนาจการเมือง หมายถึง ความสามารถในการสร้างและบังคับใช้กฎและข้อบังคับ ซึ่งรวมถึงสถาบันของรัฐ กฎหมาย และระบบการบริหาร ลักษณะสำคัญของอำนาจทางการเมืองประกอบด้วย
ประการแรก การเป็นอำนาจแบบรวมศูนย์ อำนาจทางการเมืองอยู่ในอำนาจส่วนกลาง เช่น รัฐหรือรัฐบาล ซึ่งมีสิทธิในการตรากฎหมาย บังคับใช้นโยบาย และทำการตัดสินใจในนามของประชาชนทั้งหมดภายในเขตอำนาจหน้าที่ของตน
ประการที่สอง ความชอบธรรมและอำนาจอธิปไตย อำนาจทางการเมืองจะถือว่าถูกต้องชอบธรรมเมื่อประชาชนยอมรับ และปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และขั้นตอนที่กำหนดไว้ อำนาจการเมืองยังเกี่ยวข้องกับอธิปไตยของรัฐ ซึ่งหมายถึงอำนาจที่เป็นอิสระของรัฐในการปกครองตนเองและตัดสินใจโดยปราศจากการแทรกแซงจากภายนอก
ประการที่สาม ระบบราชการและการบริหาร อำนาจทางการเมืองใช้ผ่านระบบของหน่วยงานบริหาร รวมถึงกระทรวง หน่วยงาน และเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ที่รับผิดชอบในการดำเนินนโยบายและการบังคับใช้กฎหมาย
ประการที่ห้า การควบคุมทรัพยากรสาธารณะ รัฐซึ่งเป็นศูนย์รวมของอำนาจทางการเมือง ควบคุมและจัดการทรัพยากรสาธารณะ เช่น ภาษี ที่ดิน และทรัพยากรธรรมชาติ โดยใช้ทรัพยากรเหล่านี้เพื่อสนับสนุนบริการสาธารณะและรักษาอำนาจของตน
ประการที่หก การควบคุมความสัมพันธ์ทางสังคม อำนาจทางการเมืองขยายไปสู่การควบคุมด้านต่าง ๆ ของชีวิตทางสังคม รวมถึงการศึกษา การดูแลสุขภาพ กิจกรรมทางเศรษฐกิจ และระบบสวัสดิการสังคม
นอกเหนือจะปรากฏอยู่ในรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นของประเทศต่าง ๆ แล้ว อำนาจทางการเมืองยังปรากฏในองค์กรระหว่างประเทศ พรรคการเมือง และการเคลื่อนไหวทางการเมืองของภาคประชาชนอีกด้วย องค์กรระหว่างประเทศอย่างสหประชาชาติหรือสหภาพยุโรป สามารถกำหนดบรรทัดฐานระหว่างประเทศ บังคับใช้สนธิสัญญา และแทรกแซงความขัดแย้งระดับโลกได้ ด้านพรรคการเมืองก็ดำเนินการแข่งขันกันเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางการเมืองผ่านการเลือกตั้งและดำรงตำแหน่งในโครงสร้างของรัฐบาล และการเคลื่อนไหวทางสังคมของภาคประชาชนก็สามารถท้าทายโครงสร้างทางการเมืองที่มีอยู่และมีอิทธิพลต่อวาระและการสร้างการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
กล่าวโดยสรุป แนวคิดเกี่ยวกับอำนาจของไมเคิล มานน์ ที่ครอบคลุมอุดมการณ์ เศรษฐกิจ การทหาร และการเมือง เป็นกรอบแนวคิดที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างแหล่งอำนาจต่าง ๆ ที่มีต่อชีวิตของบุคคลและโครงสร้างทางสังคม และมีประโยชน์อย่างยิ่งในการทำความเข้าใจพลวัตของอำนาจและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม