ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ข้อพิพาทปมย้าย “อุเทนถวาย” หลังครบกำหนดเช่าพื้นที่ 68 ปี “จุฬาฯ” ไม่ต่อสัญญา ขอคืนพื้นที่เดินเครื่องตาม “มาสเตอร์แพลน” พัฒนาที่ดินพื้นที่เมืองอัจฉริยะ และมีการทำบันทึกข้อตกลงให้ “อุเทนถวาย” ย้ายออกและส่งมอบพื้นที่คืนตั้งแต่ปี 2548 กระทั่ง มีคำสั่งศาลปกครองสูงสุดให้ “ย้ายอุเทนถวาย” ในปี 2565 จวบจนปัจจุบันสถานการณ์ยังคงหาข้อยุติไม่ได้
อีกทั้งมีการระดมศิษย์เก่า - ศิษย์ปัจจุบัน กว่า 3,000 คน คัดค้านการย้ายอุเทนถวายในวันที่ 27 ก.พ. 2567 ที่ผ่านมา พร้อมกับตั้งคำถามถึงสำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะใช้พื้นที่อุเทนถวายในเชิงพาณิชย์ใช่หรือไม่? และแสดงเจตจำนงว่าไม่เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องเอาสถานที่อุเทนถวายที่ใช้เพื่อการศึกษาอยู่แล้วนำไปขยายพื้นที่การศึกษาของจุฬาฯ โดย จุฬาฯ ควรพิจารณาจากพื้นที่ที่ใช้เพื่อการพาณิชย์กลับคืนมาเพื่อการศึกษาแทน
-1-
ข้อพิพาท “ย้ายอุเทนถวาย” เกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน สำหรับ “มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย” สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษาฯ เดิมมีชื่อว่า “โรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย” ตั้งอยู่บนถนนพญาไท แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2477 โดยเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ได้ทำสัญญาเช่ากับ “จุฬาฯ” บนพื้นที่ 20 ไร่ 3 งาน 29 ตารางวา ตั้งแต่ปี 2478 - 2546 โดยจุฬาฯ ได้เริ่มเจรจาขอคืนพื้นที่มาตั้งแต่ปี 2518 เป็นต้นมา
เนื่องจาก “จุฬาฯ” ได้ดำเนินการตาม “มาสเตอร์แพลน” แผนแม่บทพัฒนาเขตพาณิชยกรรมสวนหลวง-สามย่าน 291 ไร่ ระหว่างปี 2561-2580 ให้เป็นพื้นที่เมืองอัจฉริยะของ มีการจัดการทรัพย์สินของจุฬาฯ ดำเนินการพัฒนาตามแผน อาทิ การขึ้นค่าเช่าสนามกีฬาแห่งชาติจากกรมพลศึกษา หรือการขอคืนที่ดินจาก “โรงเรียนปทุมวัน” ปรับปรุงเป็นสวนสาธารณะ รวมทั้ง การขอคืนที่ดินจากอุเทนถวายหลังครบกำหนดตามสัญญาเช่า
ทั้งนี้ “มาสเตอร์แพลน” ของจุฬาฯ มีออกแบบการใช้ประโยชน์แบ่งเป็น 3 ลักษณะ ประกอบด้วย เพื่อการศึกษา 52%, เพื่อประโยชน์เชิงพาณิชย์ 30% และเพื่อประโยชน์ของส่วนราชการอื่นและบริการสาธารณะ 18 %
สำหรับพื้นที่ 30 % เพื่อประโยชน์เชิงพาณิชย์ อาทิ บริเวณสยามสแควร์, สามย่าน, จามจุรีสแควร์, มาบุญครอง เป็นต้น ซึ่งใช้ในเชิงพาณิชย์ทั้งหมด และพื้นที่ 18 % เพื่อประโยชน์ของส่วนราชการอื่นและบริการสาธารณะ อาทิ บริเวณซอยจุฬา 5 ซึ่งเป็นที่ตั้งของหน่วยงานของกรุงเทพมหานคร (กทม.)
แต่ปัญหาคือพื้นที่ 52% ที่จัดสรรไว้เพื่อการศึกษา ซึ่งเป็นที่ตั้งของอุเทนถวาย จำนวน 20 ไร่ 3 งาน 29 ตารางวา โดยตามมาสเตอร์แพลนของจุฬาฯ จะมีการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวดังต่อไปนี้ 1. หน่วยวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้งานสร้างสรรค์, 2. หน่วยข้อมูลด้านนวัตกรรมงานสร้างสรรค์, 3. หน่วยเผยแพร่นวัตกรรมงานสร้างสรรค์, 4. หน่วยบ่มเพาะเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมสร้างสรรค์, 5. หน่วยพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านนวัตกรรมงานสร้างสรรค์ และ 6. พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้เพื่อสังคม ทั้งนี้ เป็นศูนย์การเรียนรู้เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ SMEs ที่เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าปีละ 50 ราย เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ไม่ต่ำกว่า 75 ผลิตภัณฑ์ต่อปี ตลอดจนธุรกิจรูปแบบใหม่ที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมสร้างสรรค์ไม่ต่ำกว่า 50 ธุรกิจต่อปี
โดยข้อพิพาทเรื่องที่ดินผืนนี้ดำเนินมาอย่างยาวนาน ไล่เรียงความเป็นมา “อุเทนถวาย” ได้ทำสัญญาเช่าพื้นที่กับ “จุฬาฯ” บนพื้นที่ 20 ไร่ 3 งาน 29 ตารางวา ตั้งแต่ปี 2478 - 2546 โดยจุฬาฯ ได้เริ่มเจรจาขอคืนพื้นที่มาตั้งแต่ปี 2518
ต่อมา ปี 2545 กระทรวงศึกษาธิการ (สธ.) มีความสนใจที่จะขอใช้พื้นที่บริเวณอุเทนถวายต่อจุฬาฯ เพื่อจัดตั้งสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) โดยจะประสานงานจัดการเรื่องการย้ายอุเทนถวายไปยังสถานที่ที่เหมาะสม และเพื่อเป็นการขยายพื้นทางการศึกษาของอุเทนถวายด้วย
และเพื่อช่วยคลี่คลายปัญหาดังกล่าว จุฬาฯ ได้ทำหนังสือถึงอธิบดีกรมธนารักษ์ เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2545 เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการจัดหาพื้นที่ให้อุเทนถวาย ประมาณ 30 - 50 ไร่ ซึ่ง กรมธนารักษ์ได้เสนอพื้นที่ ต.บางปิ้ง จ. สมุทรปรากา รจำนวน 36 ไร่ ให้กับอุเทนถวาย
ปี 2547 อุเทนถวาย ได้ทำบันทึกข้อตกลง ฉบับลงวันที่ 11 มี.ค. 2547 ตกลงขนย้ายและส่งมอบพื้นที่คืนให้กับจุฬาฯ ภายในวันที่ 30 ก.ย. 2548 โดยหากมีความจำเป็นก็จะผ่อนผันให้ไม่เกิน 1 ปี เท่านั้น และในปี 2548 มีการทำบันทึกข้อตกลงร่วมกัน 4 ฝ่าย ได้แก่ จุฬาฯ สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และอุเทนถวาย โดยมีสาระสำคัญในการตกลงที่อุเทนถวายจะย้ายไปก่อสร้างสถาบันใหม่ ที่ ต.บางปลา อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ และจะดำเนินการย้ายบุคลากรและนักศึกษาให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 1 พ.ย. 2548 ขณะเดียว คณะรัฐมนตรี (ครม.) จัดสรรงบประมาณ 200 ล้านบาท ผ่านสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาเพื่อสนับสนุนแผนการย้ายอุเทนถวายให้แล้วเสร็จ
ต่อมา จุฬาฯ ส่งหนังสือเพื่อให้ อุเทนถวาย ส่งมอบพื้นที่คืนอีกทั้งหมด 3 ครั้ง คือ วันที่ 6 ธ.ค.2549, วันที่ 13 ก.พ. 2550 และวันที่ 10 ก.ค. 2550 รวมถึง ส่งหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการให้พิจารณางบประมาณในสนับสนุนการจัดตั้งพื้นที่แห่งใหม่ให้อุเทนถวาย
และปี 2550 สำนักงานอัยการสูงสุดได้ตั้ง คณะกรรมการเพื่อพิจารณาชี้ขาดการยุติในการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (กยพ.) โดยในระหว่างการพิจารณาดังกล่าวนั้นนายกสโมสรนักศึกษาอุเทนถวาย ได้มีการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา 2 ครั้ง
กระทั่ง 24 พ.ย. 2552 ก.พ. มีมติชี้ขาดให้อุเทนถวายขนย้ายทรัพย์สินและคืนพื้นที่ให้กับ จุฬาฯ และชำระค่าเสียหายปีละล้านบาทเศษ จนกว่าจะส่งมอบพื้นที่เสร็จ โดยมติที่ประชุมมีข้อสังเกตว่าในการย้ายนั้น ขอให้กระทรวงศึกษา ประสานงานกับกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอใช้ที่ราชพัสดุและงบประมาณสนับสนุนเพื่อการนี้ต่อไปด้วย
ปี 2553 ครม. รับทราบมติดังกล่าว และอัยการสูงสุดแจ้งผลชี้ขาดของ กยพ. ต่อจุฬาฯ และอุเทนถวาย ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว สำหรับผลการทูลเกล้าถวายฎีกา สำนักราชเลขาธิการได้มีหนังสือยืนยันผลชี้ขาดตามมติของ กยพ. ถึงอุเทนถวาย ฉบับลงวันที่ 4 ก.พ. 2554
หลังจากนั้น จุฬาฯ จึงมีหนังสือสอบถามความคืบหน้าการปฏิบัติตามมติ ครม. ฉบับลงวันที่ 31 ส.ค. 2554 ไปยังอุเทนถวาย กระทั่ง 14 ธ.ค. 2565 ศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งให้อุเทนถวาย ย้ายออกจากพื้นที่ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยจะต้องดำเนินการภายใน 60 วัน หลังจากมีคำสั่ง แต่จวบจนปัจจุบัน อุเทนถวาย ก็ยังไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งศาลยังไม่ย้ายออกจากพื้นที่ของจุฬาฯ
-2-
มหากาพย์ข้อพิพาทย้ายอุเทนถวายออกจากพื้นที่จุฬาฯ เป็นที่มาของการระดม “ศิษย์เก่า - ศิษย์ปัจจุบัน กว่า 3,000 คน” จัดกิจกรรมรวมพลศิษย์เก่าอุเทนถวาย เราจะเดินขบวน ไปทวงความยุติธรรม เพื่อ “คัดค้านย้ายอุเทนถวาย” ในวันที่ 27 ก.พ. 2567 ที่ผ่านมา โดยมุ่งหน้าจากหน้าจากอุเทนถวาย ไปยังสำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) รวมทั้ง เดินทางไปยังสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี แสดงเจตจำนงคัดค้านการย้ายเขตพื้นที่อุเทนถวาย
โดยมีข้อเรียกร้อง 6 ข้อ ดังนี้ 1. ขอคัดค้านการย้ายเขตพื้นที่การศึกษา เขตพื้นที่อุเทนถวาย ถนนพญาไท หรือ "อุเทนถวาย" ออกจากที่ดินพิพาท ด้วยเหตุผลต่อไปนี้ และขอให้ธำรงตามพระราชประสงค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวไว้ เพื่อใช้เฉพาะกิจการการศึกษาวิชาช่าง โดยมีชื่อ ’อุเทนถวาย‘ ไว้เช่นเดิม
2. พิจารณาจัดตั้งคณะกรรมการ เพื่อสนับสนุนจัดทำร่าง ยกวิทยฐานะส่งเสริมสนับสนุนพัฒนาที่ดินพระราชทานอันเป็นที่ตั้งของอุเทนถวายฯ ให้มีศักยภาพต้านความพร้อมในการรองรับการพัฒนาสรรพความรู้ และวิทยาการสมัยใหม่ ที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างในยุคปัจจุบัน ให้พร้อมต่อการพัฒนาการทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อันเป็นคุณประโยชน์ต่อประชาชน ประเทศชาติ จนเป็นที่ปรากฏต่อสังคมโลกทั่วไป
3. พิจารณามีคำสั่งให้อุเทนถวายฯ มีสิทธิ์ในการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน และการพัฒนา สถานที่เพื่อรองรับการศึกษาต่อไปได้, ให้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณแผ่นดิน แต่มีระบบการบริหารจัดการ ที่มีความเป็นเอกเทศ อิสระ และคล่องตัว สามารถจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาได้อย่างมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น โดยคำนึงถึงความเป็นอิสระและความเป็นเลิศทางวิชาการ ซึ่งผ่านการกำกับดูแล และสนับสนุนจากหน่วยงานทางด้านการศึกษาของภาครัฐโดยตรง โดยต้องไม่มีเงื่อนไขให้การพัฒนาสถานศึกษาอุเทนถวายฯ อยู่ภายใต้ภาระผูกพันการอ้างสิทธิหรือกรรมสิทธิ์ที่ดิน จากนิติบุคคล จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย เพื่อสั่งให้ชะลอ หรือระงับได้
4. โดยเหตุที่ดินพิพาทเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน อุทิศให้โดยพระราชประสงค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีเนื้อที่เป็นเศษเสี้ยวส่วนน้อยของที่ดินของนิติบุคคล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่มีเหตุขัดข้องในการหยิบยกแปลความพระราชประสงค์ผิดแผกแตกต่างไปจากประวัติความเป็นมา เพื่อเอาไปเป็นของนิติบุคคล ชาวอุเทนถวายฯ จึงมีความจำเป็น โดยได้ทำการร้องขอความเป็นธรรมให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยในประเด็นนี้ด้วย
อนึ่ง เพื่อบรรเทาพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ ชาวอุเทนถวายฯ ขอให้ท่านนายกรัฐมนตรี ท่านคณะรัฐมนตรี และท่านประธานสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับระบบการศึกษา ได้โปรดดำเนินการมุ่งเน้นยึดถือประโยชน์การศึกษา ให้เป็นที่ตั้งสำหรับการศึกษาวิชาช่างก่อสร้างเท่านั้น เพื่อให้เป็นไปตามพระราชประสงค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเข้ามายุติปัญหาการนำที่ดินพิพาท ซึ่งเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน ที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะเพื่อการศึกษา อันเป็นที่ตั้ง
โรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวายฯ ไปเป็นของนิติบุคคลจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งสามารถนำไปใช้เพื่อการพาณิชย์ หรือประโยชน์ส่วนบุคคลใดๆ ด้วยการจดทะเบียนโฉนดที่ดินพิพาทเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินสำหรับประชาชนใช้ร่วมกันเป็นที่ตั้งสถานศึกษาเท่านั้น และออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง และจัดทำทะเบียนที่ดินสาธารณะประโยชน์ตามแบบที่กฎหมายกำหนด
5. ขอให้ยกเลิกคำสั่ง ระงับคำสั่งหรือไม่ออกคำสั่ง โดยมีใมีการโยกย้ายนักศึกษาอุเทนถวายฯ ไปเรียนที่แห่งอื่น การงดรับนักศึกษาใหม่ รวมทั้งโยกย้ายคณะครู อาจารย์ บุคคลากร และเจ้าหน้าที่ ไปประจำการที่อื่น
และ 6. ขอให้มีการออกหนังสือแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการ และปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อเรียกร้อง โดยแต่งตั้งคณะกรรมการสามฝ่าย สัดส่วนเท่ากัน มีประธานและคณะกรรมการฝ่ายที่สามมีที่มาจากบุคคลภายนอกที่ไม่มีส่วนได้เสีย หรือคาดหมายได้ว่ามีประโยชน์ได้เสียกับคู่กรณี และระบุกำหนดการแล้วเสร็จอย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ ด้วยความเข้าใจข้อเรียกร้องชาวอุเทนถวายฯ ตามหนังสือนี้ ก่อนใช้อำนาจสั่งการ ดำเนินการ หรือแนวทางใดๆ ในการยุติข้อพิพาท หากท่านนายกรัฐมนตรี เห็นเป็นการสมควร ขอได้โปรดมีหนังสือเชิญประชุมหารือแนวทางเสนอบุคคลฝ่ายคู่กรณี และเสนอประธานและคณะกรรมการฝ่ายที่สาม เพื่อแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการ และปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อเรียกร้อง เพื่อพัฒนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก เขตพื้นที่อุเทนถวายฯ ถนนพญาไท ต่อไป
โดยบรรดาศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันเห็นพ้องว่า อุเทนถวายควรได้รับการรักษาไว้ให้เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ทางด้านสถานที่ เพื่อการศึกษา ที่ยังคงสืบทอดให้ความรู้มาเกือบ 100 ปี สถานที่อุเทนถวายมีพื้นที่ 21 ไร่ เป็นเพียง 1.82% ของพื้นที่ทั้งหมด 1,183 ไร่ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อ้างเป็นผู้ครอบครองโดยชอบธรรม
ดังนั้น ไม่เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องเอาสถานที่อุเทนถวาย ที่ใช้เพื่อการศึกษาอยู่แล้วนำไปขยายพื้นที่การศึกษาของจุฬาฯ จุฬาฯ ควรพิจารณาจากพื้นที่ที่ใช้เพื่อการพาณิชย์กลับคืนมาเพื่อการศึกษามากกว่า
และมองว่าโครงการพัฒนาโดยรอบจุฬาฯ ที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นย่านสามย่าน สวนหลวง ในเขตปทุมวัน ที่มีการย้ายโรงเรียนของ กทม. รวมทั้ง ชุมชนบางส่วนออกไป และเปลี่ยนเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ สะท้อนให้เห็นว่าสำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาฯ มีแนวคิดในการจัดการพื้นที่ที่เน้นผลประโยชน์ทางธุรกิจมากกว่า ดังนั้น จึงมีการตั้งข้อสังเกตุว่าเหตุผลที่สำนักงานทรัพย์สินของจุฬาฯ อ้างว่า ขอคืนพื้นที่เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางการศึกษาอาจไม่เป็นเช่นนั้น
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นปัญหานักเรียนอาชีวะตีกันในพื้นที่ ความรุนแรงระหว่างอุเทนถวายและสถาบันคู่ขัดแย้งช่างกลปทุมวันที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ก็เป็นปัจจัยเร่งให้อุเทนถวายต้องย้ายออกจากพื้นที่จุฬา เพื่อลดแรงปะทะลดความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น
ขณะที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีศิษย์เก่าและนักศึกษาอุเทนถวายออกมาเรียกร้องไม่เห็นด้วย กับการย้ายที่ตั้งสถาบันไปยังพื้นที่อื่น โดยยืนยันต้องรับฟังทุกความคิดเห็น และมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลแล้ว
คำถามสำคัญแนวปฏิบัติต้องเป็นไปตามคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด ที่มีคำสั่งให้อุเทนถวาย ย้ายออกจากพื้นที่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยใช่หรือไม่?
นายกฯ เศรษฐา ยืนยันว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย แต่ว่าการที่ได้รับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่ายก็เป็นสิ่งสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของ นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อัยการอาวุโส แสดงทัศนะว่าการออกมาคัดค้านย้ายอุเทนถวาย กำลังจะกลายเป็นการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด โดยแนะว่าทางสำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต้องชี้แจงและกางแผนงานให้ชัดเจนว่าเมื่อเรียกคืนที่ดินแล้ว ที่ดินดังกล่าวจะนำไปใช้เพื่อการศึกษา หรือประโยชน์ในเชิงสาธารณะ ไม่ใช่เชิงพาณิชย์
หากสำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สามารถชี้แจงลำดับขั้นตอนในการจัดการที่ดินดังกล่าวให้ทางอุเทนถวายฟังได้ ก็เชื่อได้ว่าอุเทนถวายพร้อมที่ย้ายออก เพราะเป็นการคลายข้อสงสัยของอุเทนถวาย ที่ปักธงมาตลอดว่า การให้อุเทนถวายย้ายออกเพราะสำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะใช้พื้นที่ดังกล่าวในเชิงพาณิชย์
อย่างไรก็ดี น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ย้ำชัดว่าอุเทนถวายต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด โดยเมื่อช่วงต้นปี 2567 มีคำสั่งไปยัง อธิการบดี อุเทนถวาย ขอให้งดรับเด็กปี 1 ในปีการศึกษา 2567 เพื่อลดปริมาณนักศึกษา โดยจะดำเนินการย้ายให้แล้วเสร็จภายในรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน
ต่อมา มีความชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องการรับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย ความว่าสามารถรับนักศึกษาปี 1 เช่นเดิม แต่ให้มีการบริหารจัดการการเรียนการสอนเพื่อให้สอดรับกับแผนการย้ายที่ตั้งของอุเทนถวาย เบื้องต้นได้กำหนดไว้ใน 4 พื้นที่ ได้แก่ วิทยาเขตบางพระ จ.ชลบุรี, วิทยาเขตจักรพงษภูวนารถ ถ.วิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ, พื้นที่บริจาคที่มีนบุรี กรุงเทพฯ และพื้นที่ที่ราชพัสดุใน จ.สมุทรปราการ
อย่างไรก็ตาม นับเป็นโจทย์ท้าทายของกระทรวงอุดมศึกษาฯ ที่มี น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี นั่งแท่นรัฐมนตรีฯ โดยให้สัมภาษณ์หลังจากได้รับข้อเรียกร้องทั้งหมดจากอุเทนถวาย จะมีการพิจารณาเพื่อหาทางคลี่คลายปัญหาโดยเร็วที่สุด ซึ่งในบางเรื่องก็อยู่ระหว่างการพูดคุยหารือหาทางออกร่วมกัน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการจัดการเรียนการสอนของนักศึกษาและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง และเพื่อให้เกิดความรอบคอบในการแก้ไขปัญหา
แต่ทั้งนี้การแก้ไขปัญหาจะต้องเคารพและยึดหลักของกฎหมาย โดยคำนึงถึงประโยชน์ต่อการจัดการศึกษาของประเทศเป็นสำคัญ
สุดท้าย ต้องติดตามกันว่า “มหากาพย์ย้ายอุเทนถวาย” ออกจากที่ดินของ จุฬาฯ จะจบลงเช่นไร.