xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

บันไดไต่อำนาจ “นายกฯ อิ๊งค์” จาก “ซอฟพาวเวอร์-เยือนเขมร” ถึงเฟรชชี่ “มินิ วปอ. รุ่น 1”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “...ช้าๆ ได้พร้าสองเล่มงาม ด่วนได้สามผลามมักพลิกแพลง…”

บทกลอนโบร่ำโบราณ ที่ถูกถอดออกมาเป็นสำนวน “ช้าๆ ได้พร้าสองเล่มงาม” อันมีความหมายว่า “ไม่เร่งรีบ แล้วจะเกิดผลสำเร็จ” น่าจะเป็นคติประจำใจของ “ตระกูลชินวัตร” ในยามนี้ กับกลยุมธ์ในการส่ง “อุ๊งอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวคนเล็กของ “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร - “นายหญิง” คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของประเทศไทย

ควบคู่ไปกับการฟื้น “ระบอบทักษิณ” ตั้งศูนย์บัญชาการอำนาจ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” ขึ้นมาอีกครั้งหลัง “นายใหญ่” ย้ายสำมะโนครัวที่เคยเร่ร่อนในต่างแดนมากว่า 17 ปี กลับมายังประเทศไทย และพ้นกระบวนการยุติธรรมออกมาพักโทษ แบบค้านสายตาสังคมภายนอก

โดยมีโจทย์สำคัญกว่าการครองเก้าอี้นายกฯ ของ “คนชินวัตร” คือการประคองประคับไม่ให้อำนาจหลุดมือไปแบบไม่ได้ตั้งตัวอีก

ไม่แปลกที่ “แพทองธาร” ที่เป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ครั้งเลือกตั้ง 2566 จะหลีกทางให้กับ “อานิด” เศรษฐา ทวิสิน ขึ้นรั้งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 หลัง พรรคเพื่อไทย พลิกสถานการณ์จากที่ 2 ในการเลือกตั้ง ได้มาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
หากย้อนไปช่วงหาเสียงเลือกตั้ง จะเห็นว่า พรรคเพื่อไทย โดยการกำกับของ “คนแดนไกล” วางเส้นทางให้ “อุ๊งอิ๊งค์” ขึ้นเป็นนายกฯหลังเลือกตั้งอย่างชัดเจน เพียงแต่ส่ง “เศรษฐา” รวมถึง ชัยเกษม นิติสิริ ไว้ในบัญชีแคนดิเดตนายกฯ เผื่อเหลือเผื่อขาดเท่านั้น

ทว่า เกมที่วางไว้ก็เกิดพลิกผัน เมื่อพรรคเพื่อไทยไม่ชนะการเลือกตั้ง โดยแพ้ให้กับพรรคก้าวไกลที่ถือสิทธิ์แกนนำจัดตั้งรัฐบาลในช่วงแรก

แนวคิดการผลักดัน “แพทองธาร” ขึ้นเป็นนายกฯจึงถูกพับไว้ แม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะได้สิทธิ์แกนนำจัดตั้งรัฐบาลมาในภายหลังก็ตาม แต่ก็มีเสียงทัดทานจาก “คุณหญิงอ้อ” ที่มองว่า “ลูกอิ๊งค์” ยังไม่เหมาะกับการเป็นนายกฯในตอนนี้

และก็เป็น “เศรษฐา” ที่พกวัยวุฒิ-คุณวุฒิ จับต้องได้มากกว่า ได้รับการสนับสนุนให้เป็นนายกฯ คนที่ 30 ของประเทศไทย

เสียงทัดทานของ “คุณหญิงพจมาน” คล้ายเป็นการกระตุกให้ “ทักษิณ” ฉุกคิดถึงกลยุทธ์ในการขัดเกลาประสบการณ์ “ลูกอิ๊งค์” ให้พร้อมที่สุดที่เคยวางไว้ตั้งแต่ต้น เพราะไม่ต้องการให้เกิดข้อผิดพลาดจากกรณี “เรียนลัด” เหมือนในอดีต กับประวัติศาสตร์ 49 วัน ส่ง “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ด้อยประสบการณ์ทางการเมือง ขึ้นเป็นนายกฯ จนต้องประสบปัญหาการทำงานตลอดช่วงที่เป็นผู้นำประเทศ ก่อนจะถูกอัปเปหิออกจากอำนาจในที่สุด

เป็นบทเรียนที่ถูกนำมาปรับใช้กับกรณีของ “แพทองธาร” ที่ว่ากันตามจริงมีพื้นฐานกับการเมืองมากกว่า “อาปู” และยัง “อิน” กับการเมืองที่สุดในบรรดาพี่น้อง “พานทองแท้-พิณทองทา” ด้วย

ดังจะเห็นได้จาก “บันได” แต่ละขั้นที่วางไว้ให้ “อุ๊งอิ๊งค์” อย่างเป็นขั้นตอน ตั้งแต่เปิดตัวทางการเมืองในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคด้านการมีส่วนร่วม

และนวัตกรรม, หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา รวมถึงบทบาทในการ “ดีล” จัดตั้งรัฐบาล ที่ “อุ๊งอิ๊งค์” ได้เข้าไปมีส่วนร่วมทั้งช่วงลงสัตยาบรรณกับพรรคก้าวไกล จนถึงการสลายขั้วจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคร่วมฯปัจจุบัน ถือเป็นการเรียนรู้ในสนามจริง เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์เต็มที่
 
กระทั่งการจัดตั้ง “รัฐบาลเศรษฐา” ลงตัว เข้าสู่โหมดการบริหารประเทศ ก็มีการขยับ “แพทองธาร” เข้ามาช่วยงานรัฐบาล ทั้งในเรื่อง “ซอฟต์พาวเวอร์” ที่เป็นรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ รวมถึง คณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ เพื่อร่วมผลักดันนโยบาย “บัตรทองพลัส” ต่อยอดผลงานสร้างชื่อของ “พ่อทักษิณ” ในอดีต

ถือเป็นจังหวะก้าวที่วางไว้อย่างค่อนข้างระมัดระวัง ในการจับวาง “แพทองธาร” ไว้ในตำแหน่งใหญ่ แต่ก็เป็นตำแหน่งที่ไม่ได้มีพันธะผูกพันตามกฎหมาย แทนที่การร่วมเป็นรัฐมนตรี ที่มีมีผลรับผิดรับชอบในทางกฎหมาย

โดยเฉพาะชุดคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ที่ “เศรษฐา” ในฐานะประธานคณะฯ หลีกทางให้ “แพทองธาร” แบบเบ็ดเสร็จ เพื่อเปิดพื้นที่ให้โชว์ผลงาน ก่อนเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติ

อีกด้านก็วาง “แพทองธาร” ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เพื่อวางยุทธศาสตร์เตรียมการเลือกตั้งครั้งหน้าให้สอดรับกับหัวหน้าพรรคด้วย
เหตุสำคัญที่ยังไม่เร่งรีบส่ง “ลูกอิ๊งค์” ขึ้นเป็นนายกฯ ก็เพราะรู้กันดีว่าจะมีปมร้อนกรณี “พ่อทักษิณ” เดินทางกลับประเทศไทย ซึ่งบังเอิญเป็นวันเดียวกับวันที่รัฐสภาลงมติเบือก “เศรษฐา” เป็นนายกฯ เมื่อวันที่ 22 ส.ค.66
หากวันนั้นเปลี่ยนจากการเสนอชื่อ “เศรษฐา” ในที่ผระขุมรัฐสภา มาเป็น “แพทองธาร” แทน หากทุกอย่างเป็นไปตามล็อก ก็เสมือนหนึ่งเป็นการประกาศศักดาของ “ตระกูลชินวัตร”

แต่ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา เชื่อว่าถ้านายกฯ ชื่อ “แพทองธาร” ก็คงไม่เป็นอันทำงาน เพราะต้องวนเวียนอยู่กับการตอบคำถามเกี่ยวกับความมีอภิสิทธิ์ชนของ “ทักษิณ” ที่เลือกรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจจนถึงวันได้รับการพักโทษ และไม่เคยนอนค้างในเรือนจำเฉกเช่นนักโทษคนอื่นๆ เลย
เพราะขนาด “อุ๊งอิ๊งค์” ไม่ได้มีตำแหน่งแห่งที่ในคณะรัฐมนตรี ทุกคราที่ออกสื่อ ก็ไม่พ้นต้องตอบคำถามเกี่ยวกับ “พ่อทักษิณ” จนคล้ายว่ารับหน้าที่ “โฆษกครอบครัว” ไปแล้ว

และน่าสังเกตไม่น้อยว่า ทุกความเคลื่อนไหวของ “ทักษิณ” หลังได้รับการพักโทษมาอยู่ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ก็จะพ่วงประเด็นในการปลุกปั้น “ลูกอิ๊งค์” ไปในที
 
อย่างการการมาเยือนเป็นการส่วนตัวของ “สมเด็จฯ ฮุน เซน” ประธานคณะองคมนตรีกัมพูชา ที่มาเยี่ยมอาการป่วยของ “เพื่อนรักทักษิณ” ถึงบ้านจันทร์ส่องหล้า ก็มี “ติดปลายนวม” ในการเชิญ “หลานอิ๊งค์” ให้เดินทางไปเยือนประเทศกัมพูชา
 
เดิมทีเชื้อเชิญให้ “แพทองธาร” ไปเยือนเพื่อที่จะสานความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน แต่ภายหลังก็มีการปรับให้ดูมีความเป็นทางการมากขึ้น โดยจะนำคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยไปเยือนด้วย และได้รับเกียรติในระดับ “แขกของรัฐบาล” วางกรอบหารือทั้งเรื่องนโยบายเศรษฐกิจ สังคม รวมถึงจะมีการแลกเปลี่ยนความรู้ให้ไทยและกัมพูชา มีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น
 
ประหนึ่งต้องการสร้างการรับรู้ว่า “แพทองธาร” ในฐานะหังหน้าพรรคเพื่อไทย ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ แม้จะเริ่มต้นที่ประเทศเพื่อนบ้าน และใช้คอนเนกชันส่วนตัวอย่างกัมพูชาก็ตาม

รวมทั้งยังถือเป็นการอุ่นเครื่องให้ “แพทองธาร” ในการเข้าสู่พิธีต้อนรับทางการทูตอย่างเป็นทางการไปในที เพราะปกติคนตระกูลชินวัตรก็ไปมาหาสู่กับครอบครัวสมเด็จฮุนเซน ที่เกี่ยวดองเหมือนญาติพี่น้อง ในฐานะส่วนตัวอยู่บ่อยครั้งแล้วก็ตาม
มีการพูดกันว่า “ทักษิณ-ฮุนเซน” เคยมีสัญญาใจกันว่า จะส่งไม้ต่อให้ “ทายาท” ของแต่ละฝ่ายขึ้นเป็นผู้นำประเทศคู่กัน โดยวันนี้ “ฮุน มาเนต” ลูกชายคนโตของฮุนเซน ก็ขึ้นเป็นนายกฯ กัมพูชา แล้วเมื่อวันที่ 22 ส.ค.66 วันเดียวกับที่ “ทักษิณ” กลับประเทศไทย เหลือเพียงฝ่าย “แพทองธาร” ที่จะทำให้บรรลุสัญญาใจ
 
ทาง “มหามิตรเขมร” ก็คงเข้าใจสถานการณ์ของ “เพื่อรักทักษิณ” ที่ต้องเผชิญกับความซับซ้อนยุ่งเหยิงของศึกชิงอำนาจในประเทศมากกว่าฝ่ายกัมพูชาที่ “ระบอบฮุนเซน” จัดการได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

เป็น “ระบอบฮุนเซน” ที่วางไลน์อำนาจไว้ทั้งในซีกการเมือง-การทหาร ฟากหนึ่งมี ฮุน มาเนต เป็นนายกฯ อีกฟากก็มี “ฮุน มานิต-ฮุน รานี” ลูกชายคนรอง-คนเล็กเติบโตอยู่ในไลน์ของกองทัพ

ซึ่งในซีกฝ่ายความมั่นคง-การทหาร นี่เอง ที่ถือเป็นจุดสลบของ “ระบอบทักษิณ” ที่แม้แต่ในช่วงอำนาจเบ่งบาน ก็ไม่สามารถควบคุมได้ จนถูก “ทอปบูต” รัฐประหารยึดอำนาจไปถึง 2 ครั้ง 2 ครา ในช่วงไม่ถึง 10 ปี

จนมีการพูดกันว่า การเข้าเรียนหลักสูตร การป้องกันราชอาณาจักร สำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต (วปอ.บอ.) หรือที่เรียกว่า “มินิ วปอ.” ของ “แพทองธาร” นั้นไม่เพียงเป็นบันไดอีกขั้นในการแต่งตัวเป็นนายกฯ แต่ยังมีการวางกลยุทธ์เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์กับ “ทอปบูต” เป็นของแถม

ไม่เท่านั้นยังซุบซิบหนาหูว่า หลักสูตร “มินิ วปอ.” ที่เพิ่งเปิดหลักสูตรเป็น “รุ่นแรก” นี้ เปิดมาเพื่อ “อุ๊งอิ๊งค์” โดยเฉพาะเลยทีเดียว

เป็นที่รู้กันว่า ผู้ที่เข้าศึกษาหลักสูตรลักษณะนี้นั้น มีเป้าในการสร้างเครือข่าย “คอนเนกชัน” มากกว่าการมาแสวงหา “องค์ความรู้”

โดย หลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หรือ “วปอ.ใหญ่” นั้นปัจจุบันดำเนินมาถึงรุ่นที่ 66 เป็นหลักสูตรที่ได้รับการโจษจันว่า เปิดขึ้นสำหรับ “อภิสิทธิ์ชน” ที่เข้ามาหาคอนเนกชัน มากกว่าการสร้างองค์ความรู้ เพื่อปกป้องประเทศตามชื่อหลักสูตร

ครั้งหนึ่ง “นายกฯ เศรษฐา” ยังเคยกล่าวตำหนิในงานแถลงผลการศึกษาของนักศึกษา วปอ.65 เมื่อเดือน ก.ย.66 ว่า เป็นหลักสูตรของอภิสิทธิ์ชน คน 1% ของประเทศ ที่หวังสร้างคอนเนกชัน เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง

อย่างไรก็ดี ก็ว่ากันว่า “เศรษฐา” เป็นผู้ชักชวนให้ “แพทองธาร” มาสมัครหลักสูตรมินิ วปอ.ด้วยตัวเอง เพราะเห็นว่ามีเนื้อหาที่เกี่ยวกับผู้บริหารคนรุ่นใหม่ ที่ตรงกับเส้นทางของ “แพทองธาร”

และเมื่อมีกระแสข่าวว่า ”แพทองธาร“ สมัครเรียนรุ่นนี้ ส่งผลให้มีผู้สนใจต้องการเรียนร่วมรุ่นกับ ”ว่าที่นายกฯ” เป็นจำนวนมาก มีผู้สมัครกว่า 600 คน ก่อนสอบสัมภาษณ์และคัดเลือกจนเหลือ 150 คนเท่านั้น

ว่ากันว่า “ท่านโรม” รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่เกาะติดการทำงานของกองทัพอย่างเข้มข้น ก็แสดงความประสงค์จะสมัครเรียนด้วย แต่ติดที่อายุไม่ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำ 35 ปี

สำหรับรายชื่อ 150 คนของมินิ วปอ.รุ่นแรก มีบรรดา นักการเมือง ลูกหลานนักการเมือง นักธุรกิจ คนดัง ที่ล้วนแล้วแต่อยู่ใน “สังคมชั้นสูง” เข้าเรียนเป็นจำนวนมาก อาทิ ชัยชนะ เดชเดโช รองหัวหน้า และ สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์, พชร นริพทะพันธุ์ บุตรชาย พิชัย นริพทะพันธ์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี, อาทิตย์ หวังศุภกิจโกศล สส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย, อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตเลขานุการประธานรัฐสภา (ชวน หลีกภัย)
 
พสุ ลิปตพัลลภ นักธุรกิจและบุตรชาย สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนากล้า, ร.อ.จารุพล เรืองสุวรรณ อดีตแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อชาติ, รัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, วินท์ สุธีรชัย อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และอดีตผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมไทย ยูไนเต็ด, รวิศ สอดส่อง บุตรชาย และคณะทำงาน รมว.ยุติธรรม (พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง) และ ณัฐธิดา เทพสุทิน บุตรสาว สมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกฯ เป็นต้น
 
สำรวจตรวจสอบรายชื่อ “พลเรือน” เหล่านี้ ก็อาจพูดได้ว่า “ว่าที่นายกฯ” อย่าง “อุ๊งอิ๊งค์” ไม่จำเป็นต้องไปสร้างเครือข่ายคอนเนกชันใดๆ มีแต่คนเหล่านี้ต่างหากที่ต้องวิ่งเข้าหาหัวหน้าพรรคเพื่อไทยที่ถือเป็นผู้อยู่ใกล้ชิดศูนย์กลางอำนาจทั้งที่ ”ทำเนียบรัฐบาล“ หรือโดยเฉพาะ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” มากกว่า
 
หมุดหมายจริงๆ แล้วของ ”อุ๊งอิ๊งค์“ คงไม่พ้น การเข้าไปทำความรู้จักคุ้นเคยกับเพื่อนร่วมรุ่นที่เป็น “ดาวรุ่ง” ที่เหล่าทัพต่างๆส่งมาหลักสูตรมินิ วปอ.รุ่นแรก ซึ่งมีอยู่ราว 1 ใน 3 ของนักศึกษา ที่กำหนดช่วงอายุ 35-42 ปี วัยไล่เลี่ยกับ “อุ๊งอิ๊งค์” ทั้งสิ้น
ตลอดจนสร้างเครือข่ายคอนเนกชันกับ “อาจารย์” ที่เป็นระดับนายพัน-นายพล และมีของแถมเป็นความรู้ด้านความมั่นคง การทหาร ความมั่นคงในการเมือง การทหาร ระหว่างประเทศ ในภูมิภาค และในโลก

โดยหลักสูตรมินิ วปอ.นี้อยู่ภายใต้การกำกับของ สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ (สปท.) สังกัดกองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) พูดง่ายๆ มี “ทหาร” เป็นเจ้าของหลักสูตรนั่นเอง

น่าสนใจว่า “แพทองธาร” ทายาทของ

นายทักษิณ ที่ลึกๆในใจคง “อคติ” กับทหารพอสมควร เพราะได้รับผลกระทบโดยตรงจากการรัฐประหารทั้งในปี 2549 หรือปี 2557 ทั้งยังต้องกล้ำกลืนร่วมจัดตั้งรัฐบาลสลายขั้วกับ “พรรค 2 ลุง” ที่เป็นมรดกจากรัฐประหาร 2557 จะกลมกลืนสร้างฐานคอนเนกชันกับ “ทอปบูต” เพิ่มขึ้นผ่านหลักสูตรมินิ วปอ.นี้หรือไม่
 
ด้วยเส้นทางที่วางไว้ให้เป็นนายกฯ ในอนาคต ที่มีบทเรียนแล้วว่า ต้องอาศัยการประคับประคองจาก “กองทัพ” เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ”รัฐบาลชินวัตร” เป็นคำรบที่ 3.


กำลังโหลดความคิดเห็น