ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ในขณะที่สังคมเฝ้าติดตามการดำเนินคดีกับ “บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่มีหลักฐานจากคณะพนักงานสอบสวนคลี่คลายคดีเว็บไซต์พนันออนไลน์เครือข่ายมินนี่ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่กลับเงียบไปเสียดื้อๆ จากทั้งในฝั่งของ “ตำรวจ” ที่มีคำสั่งให้ “เงียบ” และ “ป.ป.ช” ที่ออกไปในทรง “ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน” ก็มีเรื่องใหญ่เรื่องโตในแวดวงตำรวจปรากฏขึ้นมา นั่นก็คือ การที่สำนักงานอัยการสูงสุดตั้งโต๊ะแถลงเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมาว่า มีคำสั่งฟ้อง “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ “นายเนตร นาคสุข” อดีตรองอัยการสูงสุด กับพวก รวม 8 คน
เป็นคดีที่ทั้ง 8 คนร่วมกันเปลี่ยนแปลงความเร็วรถในสำนวนคดีช่วยเหลือ “บอส กระทิงแดง” หรือ “นายวรยุทธ อยู่วิทยา” ในข้อหาขับรถยนต์ชน “ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ” เสียชีวิตเมื่อปี 2555
เป็นเรื่องที่แม้จะเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” แต่ก็สะท้อนว่า ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ไม่ว่าจะใหญ่มาจากไหน เมื่อสิ้นอำนาจวาสนา และบารมีคุ้มหัวเสื่อมทรุด สุดท้ายกรรมก็ตามไล่ทันก๊วนช่วย “บอส กระทิงแดง” หลังลากยาวเป็นมหากาพย์คดีความผิดบิดๆ เบี้ยวๆ มานานนับสิบปี แม้คดีจะยังไม่ถึงที่สิ้นสุดก็ตามเพราะต้องรอคำวินิจฉัยจากศาล
ชะตา “บิ๊กอ๊อด” ดำเนินไปอย่างไร
ชะตา “บิ๊กโจ๊ก” ก็น่าจะเป็นไปในในลักษะใกล้เคียงกัน
“สมยศ-เนตร” ใครไม่อาย ผมอาย
กล่าวสำหรับคดี “บอส กระทิงแดง” นั้น จุดพลิกผันสำคัญที่ปรากฏชัดกลายเป็นปมมัดความพยายามดิ้นไม่สิ้นสุดของ 2 บิ๊กเนม “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” อดีต ผบ.ตร. และ “เนตร นาคสุข” อดีตรองอัยการสูงสุด ซึ่งถูกกล่าวหาว่าให้การช่วยเหลือ “บอส” นั้นคือมติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.) เมื่อเดือนกันยายน ปี 2566 ที่ผ่านมา ที่ชี้มูลความผิดผู้ถูกกล่าวหาในคดีการกลับคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ หรือ “บอส อยู่วิทยา” ในข้อหาขับรถยนต์ชน “ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ” เสียชีวิตเมื่อปี 2555 โดยมีขบวนการช่วยเหลือในการเปลี่ยนพยานหลักฐานด้านความเร็วของรถยนต์
การชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช. เมื่อปีก่อน นำมาสู่การสั่งฟ้องคดีของสำนักงานอัยการสูงสุด ที่ตั้งโต๊ะแถลงเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมาว่า อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง และนายเนตร นาคสุข กับพวก รวม 8 คน ที่ร่วมกันเปลี่ยนแปลงความเร็วรถในสำนวนคดีตามที่ ป.ป.ช. มีมติ
การพิสูจน์ความเร็วของรถถือเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ ซึ่งสำนวนคดีตั้งแต่ต้นในปี 2555 นั้น ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ภาคฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับคณะทำงาน ตรวจพิสูจน์หลักฐานทางคดี ได้คำนวณความเร็วตามหลักการทางฟิสิกส์ พบว่าขณะเกิดเหตุรถเฟอร์รารี่ที่ “บอส” ขับนั้นใช้ความเร็ว 177 กม.ต่อชั่วโมง
แต่ต่อมาในยุคที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็นกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการการกฎหมายการยุติธรรม และกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้มีการรื้อสำนวน คำนวณความเร็วรถกันใหม่ โดยรศ.ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิศวกรรมการประเมินและความปลอดภัยยานยนต์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ หนึ่งในพยานทางฝั่งทนายความของ “บอส” คำนวณผลการตรวจสอบความเร็วของรถเฟอร์รารี่ ในขณะเกิดเหตุว่ามีความเร็วประมาณ 76.175 กม.ต่อชั่วโมงเท่านั้น ไม่ถึง 80 กม.ต่อชั่วโมง ตามที่กฎหมายกำหนดเอาผิด ทำให้คดีพลิกกลับ
คดีที่พลิกกลับ และดูท่าว่า “บอส” จะลอยนวล โดยเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2563 มีหนังสือลงนามโดย พ.ต.ท.ธนาวุฒิ สงวนสุข รักษาการ ผกก.สน.ทองหล่อ ถึงนาย นายวรยุทธ หรือ “บอส อยู่วิทยา” แจ้งเรื่องอัยการสูงสุดไม่ฟ้องคดีทุกข้อกล่าวหา และได้ถอนหมายจับแล้ว จนกลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก สำนักข่าวต่างประเทศเกือบทุกสำนักพร้อมใจเสนอข่าวอย่างครึกโครม โดยสถานีโทรทัศน์ CNN รายงานว่าอัยการสูงสุดไม่สั่งฟ้องนายวรยุทธ ทุกข้อหา
กระแสที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงเป็นที่มาของการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในการทำงานของตำรวจและพนักงานอัยการ มีการรื้อฟื้นคดีแจ้งข้อหาเพิ่มและดำเนินคดีในข้อหาที่ยังไม่ขาดอายุความ โดยมีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นหน่วยงานหลักในการตรวจสอบข้อเท็จจริง
ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 225/2563 แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาดังกล่าว โดยมี ศ.พิเศษ วิชา มหาคุณ เป็นประธานกรรมการ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2563
ส่วนสำนักงานอัยการสูงสุด ก็ตั้งคณะทำงานตรวจสอบกรณีอัยการไม่สั่งฟ้องนายวรยุทธ “บอส” อยู่วิทยา และได้สรุปผลตรวจสอบในเวลาต่อมาว่า คำสั่งไม่ฟ้องทายาทกระทิงแดงเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของสำนักงานอัยการสูงสุด แต่พบพยานหลักฐานเพิ่มเติมใน 2 ประเด็น คือ ความเร็วรถและยาเสพติด ที่สามารถดำเนินคดีทายาทกระทิงแดงต่อได้ จึงแจ้งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อในข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษประเภทสอง (โคเคน) ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ในมาตรา 58 และ 91 และให้ดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 147 ทำการสอบสวนใหม่ในประเด็นขับรถโดยประมาท
ขณะที่คณะกรรมการตรวจสอบฯ ชุดที่มีศ.วิชา มหาคุณ เป็นประธาน สรุปข้อเท็จจริงเอาไว้ว่า “มีความร่วมมือกันอย่างเป็นระบบของพนักงานในกระบวนการยุติธรรม เจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทนายความ พยานและบุคคลทั่วไป ในการเข้าแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงเริ่มดำเนินคดีจนถึงปัจจุบัน โดยใช้ช่องโหว่ของกฎหมาย ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ใช้อิทธิพลบังคับและสร้างพยานหลักฐานเป็นเท็จ เพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหาให้รอดพ้นจากการดำเนินคดีตามกฎหมาย”
เวลานั้น นายวิชา ยอมรับว่าถูกกดดันจากการเข้ามาตรวจสอบคดี แต่ไม่ได้ตอบตรง ๆ ว่า จากใคร แต่บอกว่าคนที่พานายสายประสิทธิ์ เกิดนิยม เจ้าของทฤษฎีเปลี่ยนความเร็วรถวันเกิดเหตุ จาก 177 กม./ชม. มาเป็น 79.23 กม./ชม. มาคืออดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งก็คือ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นั่นเอง
ไม่เพียงแต่ส่ง “แรงกดดัน” ไปยังทุกอณู ความพยายาม “ดิ้น” ของ “บิ๊กอ๊อด” ยังสะท้อนให้เห็นจากกรณีสอบสวนข้อเท็จจริงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มี “พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ” จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นประธาน ได้เชิญ “บิ๊กอ๊อด” ในฐานะ ผบ.ตร. ขณะนั้น มาให้ข้อมูล ซึ่ง “บิ๊กอ๊อด” ยอมรับว่าอยู่ในเหตุการณ์ขณะที่ รศ.สายประสิทธิ์ พบกับ พ.ต.อ.ธนสิทธิ แตงจั่น นักวิทยาศาสตร์ สบ.4 กลุ่มงานตรวจเคมีฟิสิกส์ ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 1 ฯ ที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐาน ประมาณเกือบ 30 นาที แต่ไม่ได้กดดัน บังคับ หรือชักจูงให้ พ.ต.อ.ธนสิทธิ แก้ไขเปลี่ยนแปลงความเร็วรถ และเสียงในคลิปที่ถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานก็เป็นเสียงตนเองจริง ต่างจากก่อนหน้านี้ที่ “บิ๊กอ๊อด” ปฏิเสธโดยยืนยันขันแข็งว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพบกันของทั้งสองคน เพราะในวันเวลาดังกล่าวตนเองไปประชุมคณะกรรมการฟุตบอลโลกที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ผลตรวจสอบข้อเท็จจริงชุดศ.พิเศษ วิชา ที่ออกมาจะชี้เป้าชัด และรายงานส่งถึงมือพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้นแล้ว แต่กระนั้น เรื่องราวก็ยังลากยาว ดิ้นรนปกปิดกันมา ว่ากันว่า อาจเพราะนายตำรวจใหญ่ นามสกุลพุ่มพันธุ์ม่วง ได้บารมี “บิ๊กบราเธอร์” ที่ยังเรืองอำนาจเป็นเกราะคุ้มกันชั้นดี มีสายสัมพันธ์ต่อกันชนิดแน่นปึ๊ก ครั้นต่อมาเมื่อบารมี “บิ๊กบราเธอร์” เสื่อมโทรมลง คดีที่เหล่าบริวารและเครือข่ายที่เคยกลบฝังไว้ก็ถึงเวลาผุดโผล่ขึ้นมาอย่างกรณีคดีบอส อยู่วิทยา เป็นหนังตัวอย่าง
สำหรับ 8 คนที่ถูกอัยการสูงสุดสั่งฟ้องครั้งนี้ ประกอบด้วย (1) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง (2) พล.ต.ต.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข ผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐานในขณะนั้น (3) พ.ต.อ.วิรดล ทับทิมดี พนักงานสืบสวนสอบสวน (สบ 3) สน.ทองหล่อ (4) นายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุดในขณะนั้น (5) นายชัยณรงค์ แสงทองอร่าม พนักงานอัยการ (6) นายธนิต บัวเขียว (7) นายชูชัย หรือพิชัย เลิศพงศ์อดิศร และ (8) รศ.ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม ผู้คำนวณความเร็วรถ
ส่วนพล.ต.ท. มนู เมฆหมอก อดีตผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ที่เป็นเจ้าของสถานที่จัดประชุมเปลี่ยนแปลงความเร็วรถยนต์ และ พ.ต.อ.วิวัฒน์ สิทธิสรเดช ถูกกันตัวไว้เป็นพยาน
สำหรับ พ.ต.ท.ปัณณ์ณภณ นามเมือง, พล.อ.ท.จักรกฤช ถนอมกุลบุตร และ พล.อ.ท.สุรเชษฐ ทองสลวย คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนดำเนินการตาม ป.วิ. อาญา และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 63
พล.ต.ท.เพิ่มพูน ชิดชอบ (ยศขณะนั้น) คณะกรรมการ ป.ป.ช มีมติส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอน เพื่อดำเนินการตามหน้าที่ และอำนาจ ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 64
นายธานี อ่อนละเอียด , พ.ต.ท.ทรงวุฒิ เจริญวิชยเดช, นายวรพล โสคติยานุรักษ์ , นายอุสาห์ ชูสินธ์ และ น.ส.ณัฏณิชา ทองชื่น ป.ป.ช.มีมติ ไม่ชี้มูลความผิด
นายประยุทธ เพชรคุณ รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ระบุว่า ขั้นตอนต่อไปการดำเนินการของอัยการสูงสุดจะมีหนังสือแจ้งไปที่ ป.ป.ช.เพื่อดำเนินการให้ได้ตัวมาตามที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งรับดำเนินคดี ซึ่งคดีนี้เข้าเขตอำนาจศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบฯ สำหรับคำสั่งของอัยการสูงสุดครั้งนี้ถือว่าเสร็จสิ้นการสั่งคดีตามขั้นตอนกฎหมายต่อไปเป็นการพิจารณาคดีในชั้นศาล
ขณะที่ “พล.ต.อ.สมยศ” ก็ยังคงยืนยันว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และไม่มีส่วนช่วยเหลือให้ “บอส อยู่วิทยา” พ้นผิด พร้อมปฏิเสธการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนในรายละเอียดเพิ่มเติม
ดังนั้น คงต้องติดตามกันต่อไปว่า ผู้ร่วมกันแก้ไข ปกปิด บิดสำนวนคดีเพื่อช่วยเหลือ “บอส” จะมีบทสรุปและลงเอยเช่นใดตามคำพิพากษาของศาลอันเป็นขั้นตอนสุดท้าย
ทำไม “บิ๊กต่อ-ป.ป.ช” จึง “หวานเจี๊ยบ”
จาก “คดีอ๊อด กระทิงแดง” ก็มาถึง “คดีบิ๊กโจ๊ก” เพราะเรื่องทำท่าจะเงียบไปแบบหน้าตาเฉยอีกครั้งจากคำประกาศิตของ “บิ๊กต่อ-พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ “หุบปาก”
“ที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยทำความเข้าใจกับทั้งสองฝ่ายแล้ว จึงทำให้เหตุการณ์สงบลงใน 3 วัน ดังนั้นขอเวลาให้ตำรวจเหล่านี้ได้ไปทำบุญ ดีกว่ามานั่งทะเลาะกัน ยังมีประชาชนเดือดร้อนอีกตั้งมาก การที่ทุกฝ่ายออกมาพูดไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมา พูดไปสองไพเบี้ย ก่อนพูดเราเป็นนายคำพูด แต่ถ้าพูดไปแล้ว คำพูดนั้นจะกลับมาเป็นนายเรา การสงวนคำพูดไว้จึงดีที่สุด”ผบ.ตร.กล่าว
ถอดรหัสจากคำให้สัมภาษณ์ของ “บิ๊กต่อ” กำลังชี้นำให้สังคมคล้อยตามว่า การทำคดีเว็บพนันออนไลน์มินนี่ที่ปรากฏชื่อ “บิ๊กโจ๊ก” มาข้องเกี่ยวใน “เส้นเงิน” จากการเปิดเผยของ “บิ๊กเต่า-พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว” รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในฐานะรองหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน เป็นเรื่องของตำรวจทะเลากันเช่นกันหรือ
ถ้าเป็นเรื่อง “ตำรวจทะเลาะกัน” แล้วทำไม “พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย กับพวก” ลูกน้องคนสนิท “บิ๊กโจ๊ก” ที่เป็นผู้ต้องหาในคดีเว็บไซต์พนันออนไลน์เครือข่ายมินนี่ ถึงต้องไปคุกคามข่มขู่ 2 อัยการที่ทำคดี จนต้องขอหยุดพักการปฏิบัติหน้าที่ให้คำแนะนำปรึกษาการสืบสอบสวนคดีดังกล่าวไว้ชั่วคราว
นอกจากนั้น ยังมีคำถามตามมาอีกด้วยว่า คำสั่ง “หุบปาก” ของ “บิ๊กต่อ” นั้น ใครได้ประโยชน์มากกว่ากันระหว่าง “บิ๊กโจ๊ก” กับประชาชนที่ต้องการทราบข้อเท็จจริง
ไม่ต้องนึกให้เสียเวลาก็ตอบได้ทันทีว่า “บิ๊กโจ๊ก” ได้ประโยชน์ไปแบบเต็มๆ จนถึงกับอยากตั้งสมญาให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเสียใหม่ว่า “ต่อ หวานเจี๊ยบ” ไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“ใครเจ๋งก็ต้องเก็บไว้ ของแท้ไม่ต้องออกมาพูดนักเลงเขาไม่พูดกัน ตอบโต้กันองค์กรมันเสียหาย หากพนักงานสอบสวนมีข้อมูลก็ใช้ข้อมูล ไม่ต้องมาโชว์ ส่วนพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่ผิดก็คือไม่ผิด วันนี้ยังบริสุทธิ์อยู่ 100% ไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา ผมไม่ได้ลอยตัว ผมคุยกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ทุกวัน ...” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ว่าไว้เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
พฤติกรรมอัน “หวานเจี๊ยบ” ของ “บิ๊กต่อ” ทำให้สังคมอดนำไปเชื่อมโยงการที่ “วีระ สมความคิด” แจ้งความดำเนินคดี “พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล” ไม่ได้ ทั้งในความผิดตาม มาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ พร้อมๆ กับยื่นเรื่องตรวจสอบ “คณะอนุกรรมการ ป.ป.ช.” กรณี “ส่วยคาราโอเกะ” ที่ผลออกมาว่า “ไม่มีมูล” ค้านสายตาประชาชนคนทั้งแผ่นดิน
ทีเด็ดอยู่ตรงที่ “วีระ” ยิงหมัดตรงเข้าปลายคางจากการที่ “บิ๊กโจ๊ก” เคยประกาศไว้ในช่วงที่ตำรวจยกขบวนกันไปค้นบ้านว่า “ผมมีข้อมูลลับนายตำรวจใหญ่อยู่เยอะ ถ้าผมเปิดเมื่อไหร่ ได้ตายกันทั้งสตช.” แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่เห็นได้ทำอะไร ซึ่ง “วีระ” บอกว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ มีความผิดตาม ม.157
คงพอจะต่อจิ๊กซอว์ได้กระมังว่า ต้นสายปลายเหตุของการ “หวานเจี๊ยบ” ที่มีต่อ “บิ๊กโจ๊ก” ณ เวลานี้คืออะไร
เพราะ “ความลับ” ที่ “บิ๊กโจ๊ก” เก็บเอาไว้ในลิ้นชักนั้น คงจะ “ใหญ่โตโอฬาร” ไม่น้อย
นอกจากนั้น ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า ก่อนที่จะมีคำสั่งให้หุบปาก “บิ๊กโจ๊ก” ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวโดยพยายามชี้ให้เห็นว่า เรื่องนี้ตำรวจทะเลาะกันเอง พร้อมระบุว่า อยากให้ตัวใหญ่ ระดับ พล.ต.อ. ออกมา อย่าเป็น “อีแอบ” อันสื่อถึง พล.ต.อ.ระดับหัวแถว ของ สตช.
“อีแอบ” ที่ว่านี้ มีโอกาสสูงที่จะเป็น “พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์” ที่เป็นหัวหน้าคณะทำงานคดีมินนี่ที่ “บิ๊กเต่า-พล.ต.ต.จรูญเกียรติ” นั่งเป็นรองหัวหน้าคณะ เพราะว่ากันตามตรง พล.ต.อ.ธนาก็ถือว่า “มาแรง” ในเก้าอี้นายใหญ่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดังนั้น “บิ๊กโจ๊ก” จึงชิงเปิดเกม “ไอโอ” ที่ตัวเองถนัด เพื่อหวังผลทั้งสองทาง ใช่หรือไม่
ขณะเดียวกันการพยายามลากโยงให้พ้นไปจากมือตำรวจ โดยชี้นำว่าเป็นเรื่องของกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอที่มีกำลังจะมีการแจ้งข้อหา “ฟอกเงิน” ก็ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เพราะ “คดีเว็บพนันมินนี่” นี้มีอยู่ช่องเดียวที่จะไปตกอยู่กับดีเอสไอ ก็คือ ป.ป.ช. ต้องเป็นคนชี้มูลความผิดและส่งเรื่องมาให้ดีเอสไอสอบสวนแทนเท่านั้น
กรณีของ ป.ป.ช. นั้นเป็นที่ทราบและเปิดเผยกันมาก่อนหน้านี้แล้วว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นั้นมีเส้นมีสาย และซี้ปึกกับ กรรมการ ป.ป.ช. บางคนมาแต่ไหนแต่ไร สายสัมพันธ์อันนี้ยังไล่ไปถึงระดับผู้อำนวยการ, พนักงานไต่สวนระดับสูง และพนักงานไต่สวนระดับกลาง ที่คอยชงเรื่องต่าง ๆ ให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วย
ส่วนกรมสอบสวนคดีพิเศษอยู่ภายใต้สังกัดของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งปัจจุบันคนที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติก็คือ “บิ๊กวี- พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” ซึ่งมีสายสัมพันธ์อันแนบแน่นกับ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” และตกเป็นเป้าการวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมในการที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ไม่ต้องติดคุกโดยไปพำนักพักอาศัยที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจก่อนที่จะได้รับการพักโทษ
ใครๆ ก็รู้ว่า “บิ๊กโจ๊ก” กำลังพยามวิ่งเข้าหาศูนย์กลางอำนาจใหม่ที่ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” จนขาแทบขวิด
เช่นเดียวกับเรื่อง “ส่วยคาราโอเกะ” ที่รอดจากการถูกชี้มูลความผิด ก็สอดคล้องกรณีฉาวโฉ่ก่อนหน้านี้ที่ปรากฏคลิปเสียงของนายตำรวจใหญ่คนหนึ่ง คุยเขื่องว่า มีสัมพันธ์อันดีกับบอร์ดป.ป.ช. อย่างไม่อาจมองข้ามไปได้ เพราะสอดคล้องกับท่าทีของ “ป.ป.ช.” ในเวลานี้ที่กำลังถูกจับตาในคดีเว็บพนันออนไลน์มินนี่ที่ “พล.ต.ต.จรูญเกียรติ” โพล่งออกมาว่า มีชื่อนายตำรวจคนดังจะถูกแจ้ง 2 ข้อกล่าวหา ด้วยออกลูกประหลาดแบบไม่น่าเชื่อเพราะแทนที่จะรีบเร่งประชุมพิจารณาสั่งคดีให้ทันท่วงที กลับมีพฤติกรรมเสมือน “ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน” หรือกระไร
ตามข่าวมีกำหนดการว่า ที่ประชุมป.ป.ช จะมีการพิจารณาว่า จะคืนสำนวนคดีให้กับตำรวจหรือไม่ อย่างไร แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดย “นิวัติไชย เกษมมงคล” เลขาธิการ ป.ป.ช.ในฐานะโฆษกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ออกมาให้สัมภาษณ์หน้าตาเฉยว่า “วันนี้ที่ประชุมยังไม่ได้มีการพิจารณาเรื่องนี้เพราะประชุมแค่ครึ่งวัน ช่วงเช้ากรรมการอยู่กันครบ 5 คนแต่ในช่วงบ่ายมีกรรมการติดภารกิจ จึงยังไม่มีการพิจารณา”
พร้อมอธิบายด้วยว่า “ก่อนหน้านี้ทางตำรวจส่งเรื่องมายังป.ป.ช. 2 สำนวน ตั้งแต่ 28 ธ.ค.66 แต่ป.ป.ช.ส่งสำนวนแรกกลับคืนให้ตำรวจดำเนินการ ส่วนสำนวนที่ 2 ที่เกี่ยวข้องกับพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และพวกรวม 5 นาย ที่ทางตำรวจส่งรายงานการตรวจสอบเบื้องต้นมาสำนักงานฯ ก็กำลังดำเนินการตรวจสอบข้อมูลหลักฐานต่างๆ อยู่ ยังไม่แล้วเสร็จ เพียงแต่ทางตำรวจมีบันทึกมาจะขอเรื่องนี้กลับไปทำ ซึ่งสำนักงานฯ ก็ต้องเสนอที่ประชุมป.ป.ช.พิจารณาว่าจะมีความเห็นอย่างไร อย่างไรก็ตาม คาดว่าเรื่องดังกล่าวจะเข้าได้ทันภายใน 1-2 สัปดาห์จากนี้”
งานนี้ อาจต้องหยิบยืมสำนวนจีนมาใช้ว่า “ข้าน้อยขอคารวะ 3 จอก” กันเลยทีเดียว
ทั้งนี้ กรรมการ ป.ป.ช.ทั้ง 5 คนประกอบด้วย “บิ๊กกุ่ย-พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ” ประธานกรรมการ ที่เหลืออีก 4 คนคือ “สุวณา สุวรรณจูฑะ,วิทยา อาคมพิทักษ์ สุชาติ ตระกูลเกษมสุข และ เอกวิทย์ วัชชวัลคุ”
ถ้าจะไล่เรียง “ปูมหลัง” เพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์ก็คงเห็นอะไรๆ ชัดเจนขึ้น
ว่ากันว่า สุวณา ลูกหม้อกระทรวงยุติธรรม อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอหญิงคนแรก สามีเป็นผู้พิพากษาอาวุโสนั้นตรงเป็นไม้บรรทัด เช่นเดียวกับ สุชาติ อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งมีนบุรี ที่ผลงานการฟาดฟันคดีทุจริตเป็นที่ประจักษ์ ส่วนอีก 2 คนคือขณะที่อีกสองเสียงคือ วิทยา ถือเป็นลูกหม้อของ ป.ป.ช.เติบโตขึ้นตามสายงานจนกระทั่งได้เป็นบอร์ดขณะที่ เอกวิทย์ อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลฎีกา ก็ว่ากันว่า มีสายสัมพันธ์อันดี “เจ๊” อดีต ป.ป.ช.คนเก่า
ขณะที่ “บิ๊กกุ่ย” หัวเรือใหญ่ก็รู้กันอยู่ว่าแนบแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ “บิ๊กบราเธอร์ส” อย่าง “ลุงไม่รู้” ขนาดไหน เพราะฉะนั้นคงต้องถือว่าอยู่ในสายเดียวกับ “หวานเจี๊ยบ” ที่ถือเป็น “น้องรัก” ของ “ลุง”
งานนี้ นอกจาก “ต่อ หวานเจี๊ยบ” แล้ว “ป.ป.ช.ก็หวานเจี๊ยบ” เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ดี คงต้องติดตามกันต่อไปว่า ทั้ง “บิ๊กต่อและป.ป.ช.” จะหวานเจี๊ยบไปได้สักกี่น้ำ เพราะผลลัพธ์ที่เกิดกับคดีกระทิงแดงย่อมสะท้อนให้เห็นเส้นทางของคดีเว็บพนันมินนี่ และจะส่งสัญญาณเตือนไปยัง “บิ๊กโจ๊ก” ว่า สุดท้ายแล้ว “ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว” ดู “พี่อ๊อด กระทิงแดงเอาไว้นะครับน้อง”