คนไทยบางคนอาจเปรียบเทียบการออกมาต่อสู้ยิบตาของชาวยูเครนทั้งชายและหญิง ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์เมื่อสองปีที่แล้ว ว่าเหมือนกับชาวบ้านบางระจัน ที่งัดเอาแทบทุกอย่างที่จะหาได้ในครัวเรือนออกมาสู้กับกองทัพอันเกรียงไกรของพม่าในช่วง พ.ศ. 2308-2310 และผู้นำของไทยที่อยุธยาที่ทั้งไม่เก่งและยังมัวแต่สำเริงสำราญขนาดไม่พอใจที่เสียงปืนใหญ่ของไทยที่ยิงสู้พม่า (ที่กำลังบุกจะยึดเมืองหลวง) ว่าเสียงดังทำให้นางกำนัลตกใจ!
ด้วยความรักชาติและเอกราชอธิปไตยของบ้านเกิดเมืองนอน, ทำให้ทั้งชาวยูเครนและชาวบ้านบางระจันต่างยอมทุ่มสุดชีวิตเป็นชาติพลี เพื่อปกป้องแผ่นดินแม่จากการรุกรานของอริราชศัตรู
แต่จุดที่น่าจะต่างกันก็คือ กองทัพรัสเซียนั้นมีทั้งขนาดที่ยิ่งใหญ่ และมีแสนยานุภาพที่เกรียงไกรกว่าของยูเครนชนิดเทียบกันไม่ติด โดยรัสเซียได้ปลดอาวุธนิวเคลียร์ของยูเครนหลังจากสหภาพโซเวียตได้ล่มสลายสมัยกอร์บาชอฟ และได้ให้เอกราชแก่ 15 รัฐของโซเวียต รวมทั้งยูเครนด้วย...ขณะที่กองทัพพม่าที่ยกมาตีอยุธยา, แม้จะมีแสนยานุภาพเหนือกว่าของอยุธยา (ที่ผู้นำไม่นำพาในการทำนุบำรุงบ้านเมืองและกองทัพ) แต่ไม่ถึงขนาดจะเคี้ยว อยุธยาอย่างที่รัสเซียน่าจะยึดยูเครนได้ (ตามที่คาดคะเนกัน) อย่างง่ายๆ
ปูตินได้ส่งสัญญาณขู่ยูเครน (ไม่ให้สมัครเข้าเป็นสมาชิกนาโต) ตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2021...คือก่อนการบุกวันที่ 24 กุมภาพันธ์ถึง 5 เดือนเต็ม ซึ่งทำให้ยูเครน โดยเฉพาะที่เมืองหลวงเคียฟได้มีเวลาและโอกาสตระเตรียมอาวุธและเสบียงอาหาร รวมทั้งกองกำลังรบจนแทบพร้อมสรรพที่จะสู้กับกองทัพรัสเซีย...ซึ่งทั้งโลกได้เห็นภาพกองกำลังของรัสเซียบุกเข้าสู่เคียฟ แต่ก็ยึดไม่ได้...จนปูตินต้องเปลี่ยนแผน...ยกกองกำลังทั้งหมดไปทางฝั่งตะวันออกของยูเครน
หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมรัสเซียยึดเคียฟไม่ได้ในอาทิตย์แรก (หรือใน 3 วันแรกที่บุกด้วยซ้ำ) ทั้งๆ ที่มีแสนยานุภาพเหนือกว่ามาก...และอย่าลืมว่า จักรวรรดิรัสเซียได้รบชนะ 2 ครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์คือ ชนะนโปเลียน (จนกองทัพเกรียงไกรที่สุดของยุโรปขณะนั้นคือ กองทัพนโปเลียนกลับยึดรัสเซียไม่ได้)...นโปเลียนสูญเสียไพร่พลรบมหาศาล ต้องนำทัพที่สะบักสะบอมแพ้จอมพลน้ำแข็งหนาวเหน็บของรัสเซียอย่างหมดรูป และในการชนะฮิตเลอร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ส่วนหนึ่งมาจากการเตรียมพร้อมของกองทัพยูเครนที่มีเวลาเตรียมตัว และได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนจากนาโต นำโดยสหรัฐฯ และยุโรป...และกำลังใจของชาวยูเครนที่แกร่งกล้า
อีกส่วนหนึ่งมาจากปูติน ที่พยายามยั้งมือที่จะหลีกเลี่ยงการทำลายประชาชนชาวยูเครน โดยตั้งเป้าทำลายฐานที่มั่นของกองทัพยูเครน รวมทั้งโรงงานผลิตอาวุธ ตลอดจนสาธารณูปโภคประเภทถนนสายหลัก, โรงงานไฟฟ้า และระบบสื่อสารโทรคมนาคม เป็นต้น
ศาสตราจารย์Mearsheimer นักรัฐศาสตร์ (สาย Realism) แห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก (ซึ่งน่าจะเป็นนักรัฐศาสตร์ที่กำลังดังที่สุดของสหรัฐฯ ขณะนี้) ได้วิเคราะห์ไว้น่าสนใจมากว่า รัสเซียโดยปูติน ไม่ต้องการเข้ายึดครองยูเครนทั้งหมด เพราะประเทศยูเครนมีขนาดใหญ่มากๆ ถ้ายึดทั้งประเทศจะต้องใช้กำลังพล (ของรัสเซีย) จำนวนมหาศาลเพื่อปกครอง และจะต้องมีแรงต่อต้านมหาศาลเช่นกัน
ช่วงอาทิตย์แรกที่รัสเซียบุก...จะเข้ายึดเคียฟ...และมีข่าวลือว่า อดีตผู้นำยูเครน (ที่เป็นมิตรกับมอสโก) ที่ถูกทำรัฐประหาร (ที่สหรัฐฯ มีส่วนรู้เห็นช่วยสนับสนุนรัฐประหาร) ได้เคลื่อนมาพำนักรออยู่ที่เมืองหลวงของเบลารุส (ที่ผู้นำให้การสนับสนุนแก่ปูตินเต็มที่ในการบุกยูเครน)
ซึ่งถ้ารัสเซียยึดเคียฟได้ง่ายๆ ก็อาจตั้งอดีตผู้นำคนนี้เข้าบริหารยูเครนที่จะฝักใฝ่ทางรัสเซีย และไม่เข้าเป็นสมาชิกนาโตนั่นเอง
แต่รัสเซียได้เปลี่ยนแผนการรบ โดยนำกองกำลังเข้ายึด 4 แคว้นทางตะวันออกแทน จนถึงทำประชามติว่า 4 แคว้นนี้ต้องการอยู่กับรัสเซีย (แบบที่ไครเมียได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียในปี 2014)
หลังรัสเซียบุกเข้ายูเครนได้ประมาณ 1 เดือน ทำให้ทั้งโลกต้องเดือดร้อนจากราคาน้ำมันที่พุ่งไปเกือบ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล รวมทั้งราคาแก๊สธรรมชาติที่ยุโรปได้คว่ำบาตรลงโทษรัสเซีย และราคาอาหารสัตว์ก็พุ่งขึ้น พร้อมๆ กับอาหารคนคือ เมล็ดข้าวสาลี และน้ำมันพืช ก็ทำเอาขนมปังและอาหารที่ใช้ข้าวสาลีเป็นส่วนผสมต่างปรับราคาขึ้นทั้งโลก...ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัวจากโรคโควิดในปี 2022 เพราะเรามีวัคซีนปลาย 2020 และยารักษาโควิดค้นพบในปลาย 2021...ทำให้ทั้งโลกต้องการให้หยุดรบในยูเครน...
ตุรเคียจัดตั้งโต๊ะเจรจาระหว่างรัสเซียและยูเครน (ปลายมีนาคม 2022) โดยเซเลนสกี้ ก็ดูขึงขังจะได้ยุติสงคราม หันมาพัฒนาบ้านเมือง...และทั้งโลกจะได้ฟื้นตัวหลังโควิด
ปรากฏว่า นายกฯ บอริส จอห์นสัน แห่งอังกฤษ (รวมทั้งสหรัฐฯ) ได้โน้มน้าวใส่ลูกยุให้กับเซเลนสกี้ ไม่ให้เดินหน้าเจรจา โดยบอกว่า ทั้งอังกฤษและสหรัฐฯ (หมายถึงนาโตและ G7) จะช่วยยูเครนด้านอาวุธ, เพื่อสู้กับรัสเซีย และให้ตั้งเงื่อนไขว่า จะเจรจาหยุดยิงก็ต่อเมื่อรัสเซียถอนทหารออกจากแผ่นดินยูเครนทั้งหมดก่อน (รวมถึงให้ถอนออกจากไครเมียด้วย…ซึ่งรัสเซียได้ยูเครนมาอยู่ใต้รัสเซียถึง 8 ปีเต็มแล้ว)
โต๊ะเจรจาพังครืนลงมา...พร้อมๆ กับ Hidden Agenda จากสหรัฐฯ และนาโตที่จะให้รัสเซียไปจมปลักอยู่กับการบุกยูเครน (แบบที่โซเวียตได้ไปติดกับดัก 10 ปีที่จะยึดอัฟกานิสถาน) เพื่อจะทำให้รัสเซียอ่อนแอลงด้านแสนยานุภาพ และทำให้เศรษฐกิจรัสเซียย่ำแย่ลงจากการทำสงครามในยูเครน รวมทั้งการถูกบอยคอตด้านการเงิน, การค้า, การลงทุนทุกแนวรบ...ซึ่งอาจนำสู่ความไม่พอใจของชาวรัสเซีย และกองทัพรัสเซีย...จนอาจถึงมีการรัฐประหารยึดโค่นอำนาจจากปูติน!!
เซเลนสกี้เห็นดีเห็นงามไปกับคำป้อยอว่า เขาคือวินสตัน เชอร์ชิล ที่สู้กับฮิตเลอร์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเซเลนสกี้กำลังสู้กับมหาอำนาจรัสเซียนั่นเอง เพื่อช่วยกีดขวางการแผ่ขยายของรัสเซียที่จะเขมือบทั้งยุโรป แบบที่ฮิตเลอร์เคยทำ
ศาสตราจารย์Mearsheimer บอกว่า ปูตินไม่ต้องการขยายครอบครองยุโรปทั้งหมด แม้แต่ยูเครน-ปูตินก็ต้องการให้เพียงเป็นกลางที่จะไม่เป็นส่วนหนึ่งของนาโต
เซเลนสกี้อดีตพระเอกหนังคนดังได้รวบรวมชาวยูเครนเพื่อสู้กับรัสเซียตลอด 2 ปีนี้ ด้วยการเล่นบท (ตีบทแตก) ขอทั้งเงินและอาวุธจากยุโรป, สหรัฐฯ ทั้งนาโตและ G7 จนสร้างการคอร์รัปชันอย่างมโหฬารแก่นักการเมืองยูเครน รวมทั้งกองทัพ
ดร.คิสซินเจอร์ ออกมาเตือน หลังจากที่สงครามยูเครนดำเนินไป 1 ปีว่าควรที่จะเจรจายุติสงคราม และแนะว่ายูเครนอาจต้องเจรจาเสียดินแดน (ทางตะวันออกของยูเครน) ไปบ้าง เพื่อรักษาส่วนใหญ่ของประเทศเอาไว้
นายพลมาร์ก มิลลีย์ อดีต ผบ.ของสหรัฐฯ ที่เพิ่งเกษียณก็ออกมาเสนอให้มีการเจรจาหลังสงครามดำเนินไป 1 ปี
แต่เซเลนสกี้ยังหลงใหลกับคำป้อยอจากตะวันตกว่า ตนคือเชอร์ชิล ได้ระดมชายฉกรรจ์ยูเครนออกมาสู้กับอาวุธที่สู้กับรัสเซียไม่ได้ และปกปิดยอดการตายของทหารยูเครนที่เป็นหลายแสน ขณะที่อาวุธและเงินช่วยเหลือมาจากนอกประเทศก็ไหลมาเทมาเข้ากระเป๋าเหล่าคนโกงชาติอย่างอ้วนพี
นาทีนี้ฝ่ายตะวันตกกำลังประเมินสถานการณ์ใหม่ว่า จะลดความช่วยเหลือยูเครนเพราะแต่ละประเทศก็ต้องคิดถึงประเทศของตนก่อนที่จะหมดตัวไปด้วย
นับเป็นการพาคนไปตายของเซเลนสกี้ที่เซเลนสกี้ก็ไม่น่าจะรักษาตำแหน่งของตนไว้ได้อีกต่อไป