ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ประกาศกฎกระทรวงสาธารณสุขที่กำหนดมียาบ้าในครอบครองไม่เกิน 5 เม็ดถือเป็นผู้เสพต้องบำบัดรักษาจุดประเด็นดรามาสนั่นโลกโซเซียลว่ามากไปแค่เม็ดเดียวก็เกินพอแล้ว เพราะสถานการณ์ปัญหายาเสพติดตอนนี้น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
เรื่องนี้ “หมอชลน่าน” นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ย้ำชัดเจนว่าจะยังไม่มีการทบทวน “กฎกระทรวง กำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ที่ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ พ.ศ.2567” ที่เพิ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา
ขณะที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แบ่งรับแบ่งสู้ต้องการให้ลองนำใช้กฎกระทรวงนี้ดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน
“..... มันมากเกินไปใช่ไหม อันนี้ต้องลองดูก่อนแล้วกัน เพราะปัจจุบันนี้เราให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เรื่องคนเสพจะ 5 เม็ด 3 เม็ด หรือ 1 เม็ด มันไม่ควรจะมีอยู่แล้ว .... ถ้าเกิดดูแล้วว่าไม่เหมาะสมเดี๋ยวก็จะเปลี่ยนแปลงใหม่” นายกรัฐมนตรีตอบประเด็นดรามายาบ้า 5 เม็ดถือเป็นผู้เสพ และย้ำนโยบายปราบยาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ ตัดวงจรการค้าที่ข้ามมาจากชายแดน เมื่อมีการจับกุมหลายร้อยล้านเม็ดการทำลายยาเสพติดจะทำให้สั้นลง เพื่อให้ความคลางแคลงใจของสังคมลดน้อยลง ย้ำว่ามีการปรับปรุงตลอดเวลา
เป็นการเงี่ยหูฟังกระแสเสียงของสังคมว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไรของผู้นำประเทศ และแสดงท่าทีพร้อมปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใหม่
ส่วน “หมอชลน่าน” มีสวนหมัด ถามกลับว่า บุคคลใด กลุ่มไหนเป็นผู้ตั้งคำถาม ซ้ำยังขยี้เน้นๆ เนื้อๆ สำหรับกรณี พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร อดีตผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ที่ออกมาตำหนิถึงการออกประกาศดังกล่าวว่าเอาอะไรคิดนั้นเป็นความคิดเห็นของแต่ละบุคคล ซึ่งก่อนออกกฎกระทรวงได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการทุกภาคส่วน เช่น ปปส., ยุติธรรม, สธ., การแพทย์ รวมทั้งนักสิทธิมนุษยชน สุดท้ายข้อสรุปจึงออกมาที่ 5 เม็ด
“ถามว่าเอาสมองส่วนไหนคิด ก็สมองคนเหล่านี้แหละครับที่ช่วยกันคิด” นพ.ชลน่าน ให้สัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ท่าทีการตอบโต้ต่อกระแสวิพากษ์วิจารณ์ หมอชลน่านยังย้ำอีกครั้งว่า การออกกฎกระทรวงไม่ได้คิดเองแต่ผ่านกระบวนการรับฟังความเห็นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง จึงฝากอินฟลูเอ็นเซอร์ และอดีตนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่ออกมาให้ข้อมูลผ่านโซลเชียลมีเดีย สร้างความเข้าใจผิดต่อสังคมขอให้กลับไปอ่านกฎหมายให้ดี “อย่าหวังเป็นดาวในโซเชียล”
พร้อมอธิบายว่า กฎกระทรวงฉบับดังกล่าวประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา และมีผลบังคับใช้ในวันรุ่งขึ้นซึ่งก่อนจะออกกฎกระทรวงนั้นได้จัดทำร่างฯ ผ่านการรับความคิดเห็นและทำประชาพิจารณ์ตามบทบัญญัติทางกฎหมาย เปิดให้ทุกฝ่ายได้แสดงความคิดเห็นเสียงส่วนใหญ่เห็นพ้องกันในเรื่องกำหนดปริมาณการครอบครองยาบ้า 5 เม็ด ถือเป็นผู้เสพที่ต้องบำบัดรักษา จากนั้นได้นำร่างกฎกระทรวงนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) และผ่านการเห็นชอบเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2566 และส่งให้กฤษฎีกาตรวจตรา แต่พอกฎกระทรวงฉบับดังกล่าวประกาศใช้เพียง 3 วัน กลับถูกตั้งคำถามว่าจะทบทวนหรือไม่
แม้กฎกระทรวงที่ออกมาจะกำหนดว่าผู้ครอบครองยาบ้า 5 เม็ด ถือเป็นผู้เสพแต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีความผิด เพราะทั้งผู้เสพ ผู้ครอบครองถือว่าเป็นผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย แต่ต้องการดึงบุคคลเหล่านี้ออกจากวงจรการค้า เนื่องจากพฤติกรรมผู้ค้ารายย่อยมักมาจากการเสพยาเสพติดและพลิกผันสู่การเป็นผู้ค้า รัฐบาลต้องการตัดวงจรผู้ค้ารายย่อยจึงดึงออกมาบำบัดรักษาและจัดหาอาชีพคืนสู่สังคม เมื่อผ่านการบำบัดจะมีการออกใบรับรองทางการแพทย์ คนเหล่านี้จึงได้รับการยกเว้นการเข้ารับโทษตามกฎหมาย หากต้องการทบทวนก็ต้องดูด้วยเหตุด้วยผล
เปิดช่อง “คนมีสี” ทำมาหารับประทาน
แนะตั้งศาลคดียาเสพติดรองรับดีกว่า
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ทำให้หมอชลน่านขุ่นเคืองถึงกับลั่นประโยคว่า “อย่าหวังเป็นดาวในโซเชียล” ชี้เป้าไปที่ พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร ซึ่งออกมาเม้นท์แรง โดย พล.ต.ท.เรวัช ระบุว่ากฎกระทรวงฯที่ออกมาจะไม่มีทางแก้ปัญหาได้ พร้อมกับร่ายยาวว่าตนเองปราบปรามยาเสพติดมาทั้งชีวิต เป็นตำรวจยุคแรกที่มาปราบยาบ้า มั่นใจว่าวิสามัญผู้ค้ามาเยอะที่สุด แต่การแก้ยาเสพติดถ้าไม่รู้ถ่องแท้ก็แก้ไปแบบนี้ จากยาบ้าเม็ดละ 300-400 บาท ตอนนี้เหลือเม็ดละ 10 บาท ติดกันทั่วบ้านทั่วเมือง
อดีตผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ฉายภาพว่า สำหรับคนเสพยาพอติดแล้วเลิกยาก พอไม่มีเงินซื้อก็ต้องกลายเป็นผู้ค้า เพื่อเอากำไรมาเสพ มาถูกจับต้องหาหลักทรัพย์ไปค้ำประกันหาเงินมาจ้างทนายสู้คดี จากที่เคยค้าจำนวนน้อย ก็ต้องเพิ่มจำนวนในการขายเพื่อให้ได้เงิน แล้วยาเสพติดจะไม่ได้ประกันที่ชั้นสอบสวน ต้องไปประกันชั้นศาล ซึ่งหนีประกันกันเยอะ นี่คือเหตุผลที่แท้จริงของการเพิ่มจำนวนของคนติดยาทำให้ปราบลำบาก แล้วกฎหมายคุ้มครองคนผิด ให้ผู้เสพเป็นผู้ป่วย ก็สบายคนเสพ สบายคนค้า สบายเจ้าหน้าที่ที่จะรับสินบนแล้วเปลี่ยนข้อหาให้เป็นผู้เสพจะจับมากี่เม็ดก็ชั่ง คำถามคือจะมาใช้ดุลยพินิจเหนือศาลได้อย่างไร พิจารณาว่าใครเป็นผู้เสพแทนศาลไม่ได้ จะถูกจับกี่เม็ดก็ต้องขึ้นศาลให้ศาลเป็นคนสั่ง มันจะได้ไม่มีเรื่องวิ่งเต้นเรื่องเงินทอง ถ้าหากศาลมีงานล้นก็ตั้งศาลยาเสพติดขึ้นมาโดยเฉพาะ
อีกทั้งมีข้อแนะนำคืออย่าเอาเด็กติดยาไปเข้าเรือนจำเดียวกับคนปกติ หรือไปเข้าเรือนจำเดียวกับผู้ค้า และต้องมีเกรดเรือนจำ ถ้าจับได้เยอะ ต้องใช้เรือนจำที่มีความมั่นคงสูง แบบที่ไม่สัญญาณโทรศัพท์ ต้องห้ามผู้ประกอบการตั้งเสาโทรศัพท์เพื่อไม่ให้มีการสั่งการ แล้วอย่าไปคิดว่าในเรือนจำไม่มียาเสพติดเพราะมีการลักลอบขายกัน ตนเองยังเคยบุกเรือนจำไปจับผู้อำนวยการเรือนจำหลายแห่ง นี่คืออีกเหตุผลที่มันลดจำนวนไม่ได้ ควรตั้งเรือนจำใหม่ ให้พวกเสพเข้าไปบำบัด ไม่ต้องไปฝากไว้ที่ค่ายทหารหรือโรงพยาบาล ส่วนผู้ค้ารายใหญ่ฝ่ายปกครองก็มีบัญชีอยู่แล้ว ต้องใช้มาตรการรุนแรงโดยเฉพาะการยึดทรัพย์ ตั้งชุดปราบปรามที่มีฝีมือ คนเขาเลือกพรรคนี้มาก็คงคาดหวังว่าจะได้เห็นภาพปราบยาเสพติดเหมือนสมัยนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร
ขณะเดียวกัน นางชลิดา พะละมาตย์ ประธานกลุ่มเป็นหนึ่ง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ทำงานช่วยเหลือเด็กและสตรีในชุมชนที่ได้รับผลจากความรุนแรงที่เกิดจากยาเสพติด เข้ายื่นหนังสือถึง นพ.ชลน่าน เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เพื่อขอให้ทบทวนกฎกระทรวงดังกล่าวใหม่ เพราะกังวลจะทำให้มีการเข้าถึงยาเสพติดมากขึ้น โดยมี นพ.ภาคี ทรัพย์พิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด กระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้รับหนังสือ
ประเด็นที่ประธานกลุ่มเป็นหนึ่ง ห่วงกังวลอีกเรื่องคือ ระบบบำบัดผู้ติดยาเสพติดของภาครัฐยังไม่มีประสิทธิภาพ โดยพบว่า 90% ของคนที่รับการบำบัดไม่เลิกเสพยา มีเคสที่ติดยาแล้วเข้าออกสถานบำบัดเป็นว่าเล่น เพราะเขาไม่อยากเลิกแต่เลือกไปบำบัดเพื่อลี่ยงการถูกดำเนินคดี ดังนั้นการแก้ปัญหาควรใช้ยาแรงสักที ทุกคนคาดหวังประเทศไทยจะมียาเสพติดน้อยลง
แท็กทีมโต้ดรามา เชื่อมั่นตัดตอนวงจรผู้ค้า
ก่อนหน้าการออกมาโต้กระแสสังคมในท่วงทำนองเดือดๆ นั้น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข พร้อมด้วย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ภานุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ร่วมแถลงมาตรการรองรับหลังการประกาศกฎกระทรวงดังกล่าวเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อให้สังคมเข้าใจอย่างถูกต้องเกี่ยวกับการครอบครองยาเสพติดไม่ว่าจะกี่เม็ดก็ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย และใช้พฤติการณ์การครอบครองยาบ้า 10 เม็ด ขึ้นไปเข้าเกณฑ์ผู้ค้า ส่วนการครอบครองยาบ้า 5 เม็ดเป็นผู้เสพ ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีมาตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว
ประเด็นสำคัญที่หมอชลน่านต้องการชี้ให้เห็นคือ ต้องมีการแยกคัดกรองตั้งแต่ผู้เสพ ผู้ครอบครอง ผู้ค้า ร่วมกับพฤติการณ์ หากมียาบ้า 5 เม็ด และไม่มีอาการ และสมัครใจเข้าสู่การบำบัดรักษา ตามที่แพทย์กำหนด 3-4 เดือน ผ่านการรับรองจากผู้อำนวยการสถาบันบำบัดยาเสพติดถือเป็นการยุติโทษ จากนั้นเข้าสู่กระบวนการสังคมบำบัดภายใต้โครงการ “ชุมชนล้อมรักษ์” ฟื้นฟูอาชีพป้องกันการกลับมาเสพซ้ำ โดยรัฐบาลกำหนดให้ปราบปรามยาเสพติดสำเร็จภายใน 1 ปี โดยใช้มาตรการ 3 ป. ได้แก่ ปลุกชุมชนเข้มแข็ง เปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วย และปราบผู้ค้าด้วยมาตรการรับโทษหนักโดยเฉพาะข้าราชการที่เกี่ยวข้องต้องตัดรากถอนโคน
สำหรับอัตราโทษผู้เสพมีโทษจำคุก 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท ,ผู้ครอบครองยาเสพติด เกินกว่าที่กำหนด มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับ 40,000 บาท ส่วนผู้ค้าโทษ จำคุก 1-10 ปี หรือ ปรับ 20,000-1,500,000 บาท
เลขาธิการ ป.ป.ส. แจกแจงในทำนองเดียวกันว่า การออกกฎหมายนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ และเพื่อเป็นคืนคนดีกลับสู่สังคม จากเดิมที่นำเข้าสู่เรือนจำทั้งหมด ทำให้คนที่อาจก้าวพลาดเข้าไปในเรือนจำเจอกับเสือสิงห์กระทิงแรด สุดท้ายกลายเป็นลูกมือของผู้ค้ารายใหญ่จึงต้องการตัดตอน
สำหรับสถิติผลการจับกุมคดียาเสพติดข้อหาร้ายแรง เปรียบเทียบเดือนตุลาคม 2565 – กุมภาพันธ์ 2566 พบว่า ถูกดำเนินคดี 29,101 คดี และในช่วงวันที่ 1 ตุลาคม 2566 – 11 กุมภาพันธ์ 2567 สามารถดำเนินดี 35,183 คดี จะเห็นว่าการจับกุมซ้ำมากขึ้น ส่วนข่าวผลกระทบจากยาเสพติด กรณีพบผู้มีอาการคลุ้มคลั่ง ทำร้ายร่างกาย หรือเผาทำลายบ้านเรือน พบว่า ในปีงบประมาณ 2566 ในช่วงเวลาเดียวกันมีจำนวน 129 คน ส่วนในปีงบประมาณ 2567 มีจำนวน 108 คน ตัวเลขลดลง ขณะที่การลดความเดือดร้อนของประชาชนจากปัญหาจิตเวชจากยาเสพติดในพื้นที่เป้าหมาย 85 อำเภอ ใน 30 จังหวัด จำนวน 4,414 คน พบว่า พื้นที่ภาค 4 อีสานตอนบน มีผู้เข้ารับการบำบัดรักษาทางจิตเวชมากสุด 74 คน
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า ผู้ครอบครอบยาบ้าไม่ว่ากี่เม็ดก็มีความผิด ในกรณีครอบครองต่ำกว่า 5 เม็ด “ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้เสพ” จากนั้นจะพิจารณาจากพฤติการณ์ หากครอบครองมากกว่า 5 เม็ด จะต้องพิสูจน์ว่าไม่ได้มีไว้เพื่อการจำหน่ายแล้วเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาแต่ถ้าพิสูจน์ไม่ได้มีความผิดฐานครอบครองยาเสพติดซึ่งมีความผิดตามกฎหมายเทียบเท่ากับผู้ค้า
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่กฎกระทรวง กำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ที่ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ พ.ศ.2567 มีหมายเหตุ ระบุถึงเหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา 107 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายยาเสพติด บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ออกกฎกระทรวงเพื่อกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 ประเภทที่ 2 หรือประเภทที่ 5 หรือวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 หรือประเภท 2 ในปริมาณเล็กน้อย ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อการเสพ จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
เตรียมดึงช่อดอก-เมล็ดกัญชาสู่บัญชียาเสพติด
กลับมาติดตามในส่วนของกัญชา ก่อนหน้า พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตีว่าการกระทรวงยุติกรรม (ยธ.) ทำหนังสือถึง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขอให้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข กำหนดให้ช่อดอกกัญชาเป็นยาเสพติดตามกฎหมาย ซึ่งต่อมา นพ.ชลน่าน ให้สัมภาษณ์ว่าไม่สามารถออกประกาศเองได้ แต่พร้อมที่จะออกประกาศหากที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) มีมติให้ดำเนินการ
ล่าสุด เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พล.ต.ท.ภานุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. ให้สัมภาษณ์ว่า เดิมหลังปลดกัญชาออกจากกฎหมายยาเสพติดแล้ว แต่ยังมีประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับหนึ่งที่กำหนดว่า ช่อดอกกัญชา และเมล็ดกัญชายังเป็นสารเสพติดจนกว่าจะมี พ.ร.บ.กัญชง กัญชา พ.ศ. ... ออกมาบังคับใช้ ซึ่งกฎหมายจะมีกรอบระยะเวลาว่าให้ออก พ.ร.บ.ไว้ แต่ปรากฏว่า พ้นระยะในการออกกฎหมายแล้ว ทำให้ประกาศนี้ถูกยกเลิกไป ดังนั้น รมว.ยธ. จึงเสนอให้นำประกาศฉบับนั้นกลับมาเข้าบอร์ด ป.ป.ส. ซึ่งต้องเป็น สธ.เป็นคนเสนอเข้ามา
เมื่อถามว่า นพ.ชลน่าน ระบุว่า สธ.จะไม่เป็นคนเสนอเข้าบอร์ด ป.ป.ส. ก่อน แต่หากมีคนเสนอเข้าไปแล้วบอร์ด ป.ป.ส.มีมติให้ออกประกาศก็พร้อมที่จะดำเนินการ เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเสนอโดยหน่วยงานอื่น พล.ต.ท.ภานุรัตน์ ตอบว่า เป็นไปได้ แต่ต้องคุยกันในเชิงนโยบาย เพราะบอร์ด ป.ป.ส. มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ดังนั้นต้องมีหน่วยงานที่นำเรื่องนี้เข้าเสนอ แต่ป.ป.ส.จะทำได้อย่างไรในเมื่อไม่มีช่องให้นำเสนอ ส่วนใครจะเป็นผู้นำเสนอนั้นตอบไม่ได้ เพราะ ป.ป.ส.ไม่ได้รับผิดชอบเรื่องกัญชา เพียงแต่ รมว.ยธ. ร่วมงานเสวนาและเห็นว่าควรมีการควบคุมช่อดอก กับเมล็ดกัญชา ให้ยังเป็นสารเสพติด ดังนั้นต้องพิจารณาว่า อยู่ในอำนาจของกระทรวงใด
ในช่วงที่มีการปลดล็อกกัญชา สธ.มีคณะกรรมการยาเสพติด มีปลัด สธ. เป็นประธาน พิจารณามีมติแล้วส่งเข้าบอร์ด ป.ป.ส. ดังนั้น หากจะประกาศให้ช่อดอกและเมล็ดกัญชากลับเป็นยาเสพติด ก็ต้องให้กรรมการชุดนี้เสนอหรือไม่ พล.ต.ท.ภานุรัตน์ ตอบว่า เรื่องนี้ก็ต้อง สธ.เป็นผู้เสนอเข้า ป.ป.ส. หรืออาจให้ ป.ป.ส.นำเสนอเป็นเรื่องเพื่อพิจารณาว่า ควรจะเดินต่ออย่างไร แต่หลังจากนั้น สธ.ก็ต้องเป็นเจ้าของเรื่องในการศึกษา และชงเข้าบอร์ดอีกครั้ง เพื่อประกาศ
ทั้งนี้ ป.ป.ส. จะมีการประชุมในครั้งถัดไปในวันที่ 25 มีนาคม 2567 ซึ่งในวาระการประชุมยังไม่มีเรื่องการพิจารณาให้ช่อดอกกัญชา เมล็ดกัญชากลับมาเป็นยาเสพติดแต่อย่างใด
สุดเสียดายปู้ยี้ปู้ยำสมุนไพรกัญชา
ข้อถกเถียงเรื่องสมุนไพรกัญชาในสังคมไทยจนถึงบัดนี้ ยังมีมุมมองเป็นสองด้านระหว่าง “ทิพย์โอสถ” กับ “ยาเสพติด” ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกใช้ในเกิดประโยชน์หรือใช้แล้วก่อให้เกิดโทษตามมา แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ในมุมมองของ “หมอธีระวัฒน์” ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาบอกว่า สุดแสนเสียดายสมุนไพรกัญชาถูกปู้ยี่ปู้ยำทิ้งขว้าง เพราะระบบสาธารณสุขไทยเอาแต่ตามก้นฝรั่ง
เฟซบุ๊กของ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ มีการแชร์วิโอคลิปเรื่อง ใช้กัญชาทางการแพทย์อย่างไร..ได้ประโยชน์สูงสุด พร้อมข้อความว่า “ปี 2567 สมุนไพรที่คนไทยใช้รักษาตัวเอง สามารถเข้าถึงได้ มีตำรับตำราหลวงมาเป็น 100 ปี และนำมาใช้ควบคู่กับยาปัจจุบันได้อย่างเหมาะสม กลับถูกปู้ยี่ปู้ยำ นำมาใช้ในทางที่ผิด ถูกคนไทยที่ไม่เคยรับทราบด้านดีของกัญชาสร้างกำแพงขวางกั้น
“ระบบสาธารณสุขของประเทศไทยที่ควรที่จะนำประโยชน์สูงสุดของพืชพื้นบ้าน รู้จักวิธีใช้ จำกัดการใช้ผิดวัตถุประสงค์ กลับถูกทิ้งขว้าง ไปอย่างน่าเสียดาย ประเทศไทยต้องตามบั้นท้ายฝรั่งไปทุกเรื่อง เช่นนั้นหรือ? ยาต้องซื้อต้องใช้จากต่างประเทศ ที่ฝรั่งว่าดี รายงานในวารสาร รวมแม้กระทั่งกัญชาที่ใช้รักษา ก็ต้องเป็นกัญชาที่ขึ้นทะเบียนของฝรั่ง ถึงจะยอมให้คนไทยได้ใช้ได้ ราคาเป็น 10,000 เป็น 100,000 แต่ประสิทธิภาพไม่ได้ดีเพราะเป็นสารออกฤทธิ์เดี่ยวหรือสังเคราะห์”
ทำไปทำมานโยบายปราบยาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ ยังไม่ไปถึงไหน การตัดวงจรค้ายาบ้า ครอบครอง 5 เม็ดถือเป็นผู้เสพ ทำมาเป็นสิบยี่สิบปีปัญหาก็ยังย่ำอยู่ที่เดิม ส่วนสมุนไพรกัญชาก็ถูกเตะสกัด ยังไม่อาจพัฒนาต่อยอดให้เป็น “ทิพย์โอสถ” เพื่อการพึ่งพาตนเองได้อย่างควรจะเป็น