ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เหตุการณ์ที่รถยนต์ซึ่งมี “ตะวัน” ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และผู้ต้องหาในคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยสารอยู่ พยายามก่อกวน “ขบวนเสด็จ” เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานั้น น่าจะสะท้อนบางอย่างเกี่ยวกับประเด็น “มาตรา 112” ได้เป็นอย่างดี
ทั้งการตอกย้ำความจำเป็นอย่างยิ่งยวดในการคงไว้ของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่าด้วยความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่มีไว้เพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์
หรือที่บางคนแคยหล่นความเห็นไว้ว่า การแก้ไขมาตรา 112 สามารถทำได้ แต่เป็นแก้ไขเพื่อเพิ่มโทษให้หนักขึ้น เพราะนับวัน “ขบวนการล้มล้าง” ดูจะเหิมเกริมขึ้นเรื่อยๆ อย่างเหตุที่หยิบยกขึ้นมาข้างต้น และอีกหลายเหตุการณ์ในช่วง “ม็อบสามนิ้ว-ทะลุวัง-ทะลุฟ้า” กำลังเฟื่องฟูเมื่อไม่กี่ปีก่อน
เหตุการณ์เดียวกันยังเป็นการตอกย้ำว่า มาตรา 112 หาใช่มีไว้กลั่นแกล้งหรือปิดกั้นเสรีภาพอย่างที่พรรคก้าวไกล หรือใครหลายคนพยายามกล่าวหา แต่มีไว้เพื่อลงโทษผู้ที่ไม่หวังดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างพฤติการณ์ล่าสุดของ “ตะวัน” ที่ก็เป็นผู้ต้องกาในคดีนี้อยู่แล้ว ก็ชี้ให้เห็นถึงทัศนคติที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
จนหนีไม่พ้นที่ต้องมีคำถามไปถึงพรรคก้าวไกลที่พยายามเป็นหัวหอกในการแก้ไข ไปจนถึงการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ว่าสิ่งที่พยายามเสนอนั้นเป็นการปกป้องสถาบันพระมหากษัตรย์อย่างที่ป่าวประกาศไว้ หรือกลับกันเป็นการให้ท้าย “ขบวนการล้มล้าง” อย่างที่เป็นอยู่มากกว่า
เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า “ตะวัน” และคู่หูอย่าง “แบม” อรวรรณ ภู่พงษ์ ผู้ต้องหาคดีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อีกคน รวมถึงอีกหลายๆ คนเป็น “ผลผลิต” จากแนวคิดมาตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่มาจนถึงพรรคก้าวไกล
ตอกย้ำว่าถ้อยคำที่ศาลรัฐธรรมนูญบรรยายไว้ในคำวินิจฉัยว่า “เสี่ยทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ถูกร้องที่ 1 และ พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ถูกร้องที่ 2 มีพฤติการณ์ “ล้มล้าง” การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ผ่านการนำเสนอร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และให้หยุดการกระทำในทุกรูปแบบที่ถือเป็นการ “เซาะกร่อนบ่อนทำลาย” ทันทีนั้นไม่ได้เกินเลยความจริง
แต่ก็น่าตกใจไม่น้อยว่า “คนก้าวไกล” ดูจะไม่นำพาคำวินิจฉัยของศาลรับธรรมนูญอย่างที่ควรจะเป็น
แม้เบื้องแรก “ค่ายสีส้ม” เองก็ดูเหมือนน้อมรับในคำวินิจฉัย จนออกอาการ “ลนลาน” รีบลบนโยบายแก้ไขมาตรา 112 ที่เคยใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง พ.ค.66 ออกจากเว็บไซต์ทางการของพรรค ด้วยกริ่งเกรงว่าอาจจะโดนเอาผิดอีกระลอก ฐาน “ทำซ้ำ” เผยแพร่นโยบายที่ถูกสั่งห้าม
ผนวกกับ “อาฟเตอร์ช็อก” ที่จะมีการเอาผิดผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในพฤติการณ์ล้มล้างการปกครอง ที่มี 3 ดาบ ทั้งในส่วนของความผิด “คดีอาญา” ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 หรือมาตรา 116, ความผิดบุคคลของ 44 สส.ก้าวไกล ที่อาจ “ขัดจริยธรรมร้ายแรง” กรณีเคยร่วมลงชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่..) พ.ศ. …. เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ต่อสภาผู้แทนราษฎรชุดที่แล้ว เมื่อเดือน มี.ค.64 ตลอดจนการถูกยื่นคำร้องขอให้ “ยุบพรรค” ในที่สุด
แต่หากสำรวจตรวจสอบจุดยืนของ “คนก้าวไกล” โดยถ้วนทั่วแล้ว ก็ยังมีความพยายาม “ตะแบง” ทั้งจาก ”โกต๋อม“ ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ระบุว่า สส.ยังสามารถเสนอแก้ไขปรับปรุง “มาตรา 112” ได้ ไม่ว่าจะเป็น สส.พรรคไหน พร้อมทั้งชี้ว่ากฎหมายมาตราดังกล่าวยังเป็นปัญหาอยู่ เพียงแต่ต้องดูว่าอะไรคือการเสนอกฎหมายโดยชอบตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
หนักกว่านั้นรายของ “เสี่ยเพชร” กรุณพล เทียนสุวรรณ รองโฆษกพรรคก้าวไกล ที่ว่า “มาตรา 112 ก็เป็นกฎหมายที่มีคนเขียนขึ้น ไม่ได้ลอยลงมาจากฟ้า ในเมื่อคนเขียนขึ้น คนก็ต้องแก้ไขได้” ซึ่งคำของ “เสี่ยเพชร” ก็น่าจะถอดมาจากความเห็นของ “ศาสดาเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่พูดไว้ก่อน ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิฉัยเมื่อวันที่ 31 ม.ค.67 ว่า “กฎหมายไม่ได้ส่งแฟกซ์มาจากพระเจ้า แต่กฎหมายมันร่างด้วยน้ำมือมนุษย์ ดังนั้น เมื่อมันร่างด้วยน้ำมือมนุษย์ มนุษย์ก็ต้องแก้ไขได้ ถือเป็นหลักการพื้นฐาน ถ้า สส. ซึ่งเรียกได้เต็มปากว่าเป็นฝ่ายนิติบัญญัติไม่สามารถแก้ไขกฎหมายได้ ผมคิดว่า คงมีอะไรไม่ปกติแล้วในประเทศนี้”
และหากฟังเสียงของ “จารย์ป๊อก” ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า และอดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกยกให้เป็น “ผู้นำจิตวิญญาณ” คนหนึ่งของ “ชาวสีส้ม” ที่โพสต์เฟซบุ๊กต่อว่า พรรคก้าวไกล ที่ถอดนโยบายออกจากเว็บไซต์ว่า “ทำไมแหยและหงออย่างนี้ครับ? ในคำวินิจฉัยไม่ได้สั่งให้เอาออกเลยและต่อให้เอาออก แล้วยังไง ศาลก็วินิจฉัยไปแล้ว?”
ก่อนจะขยายความว่า หากอ่านจากคำบังคับของศาลรัฐธรรมนูญ จะเห็นได้ว่าศาลรัฐธรรมนูญสั่งดังนี้ 1.สั่งการให้พรรคก้าวไกลและนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เลิกแสดงความเห็น เพื่อให้มีการยกเลิก 112
2.ไม่ให้มีการแก้ไข 112 ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบ ซึ่งคำนี้น่าจะอนุมานจากคำวินิจฉัยนี้ได้ว่า ห้ามแก้ใน 3 ประเด็นที่ศาลบอกว่าเป็นการล้มล้างฯ ได้แก่ ห้ามย้ายหมวด, ห้ามกำหนดเหตุยกเว้นความผิด เหตุยกเว้นโทษ, ห้ามกำหนดให้ยอมความได้ และห้ามกำหนดให้สำนักพระราชวังเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ
“ตรงไหนที่ศาลสั่งให้เอานโยบายออกจากเว็บครับ…ส่วนตัวผมเห็นว่าถ้าเขาจะยุบ จะตัด ต่อให้ลบออกหมด เขาก็ยุบได้ครับ และเมื่อไรที่กลับมาทำเรื่องพรรค์นี้อีกเมื่อไร ก็โดนอยู่ดี เว้นแต่จะประกาศให้พวกเขารู้ว่าพร้อมจะเป็นเด็กดีของระบอบแล้ว…ในช่วงยามแบบนี้ แทนที่จะพยายามหาวิธีการประคับประคองเรื่องเสรีภาพ และยืนบนหลักให้ได้ แต่กลับช่วยกันขีดวงเสรีภาพให้หดแคบลง “ถ้าจะเดินแบบนี้ คุณถอยตั้งแต่จัดตั้งรัฐบาลไปเลยดีกว่าครับ”
ฟังแบบนี้แล้วก็เชื่อว่า “ชาวสีส้ม” ไม่ว่าจะในชื่อพรรคก้าวไกลหรือพรรคอื่นในอนาคต หรือคณะก้าวหน้า ตลอดจนเครือข่าย “สายล้ม” อื่นๆ ก็คงจะยังคง “จองเวร” กับการแก้ไข ไปจนถึง “ยกเลิก” ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ว่านี้ให้ได้
อันเป็นความพยายามที่ไม่เคยลดละมาตั้งแต่สมัยก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ เมื่อปี 2561 ซึ่งครั้งนั้น “ปิยบุตร” ที่เป็นนักวิชาการปีกซ้ายใน “กลุ่มนิติราษฎร์” ที่เสนอยกเลิก มาตรา 112 เปิดเผยว่า “ผมยอมกลืนเลือด ตัดสินใจขัดแย้งกับมโนธรรมสำนึกของผมอย่างสิ้นเชิงมาแล้ว ด้วยการประกาศว่า ไม่มีนโยบายแก้ไข 112 ทั้งนี้ ก็เพื่อขจัดอุปสรรคขัดขวาง ให้พรรคก่อตั้งได้ ให้พรรคได้ไปต่อ..”
ทั้งยังบอกด้วยว่า การไม่เสนอนโยบายแก้ไขมาตรา 112 ในครั้งนั้น ถือเป็นตราบาปฝังในจิตใจ และเป็นแผลเป็นในชีวิตทางการเมืองเลยทีเดียว
จริงอยู่นโยบายหาเสียงของพรรคอนาคตใหม่เมื่อการเลือกตั้งปี 2562 จะไม่มีการบรรจุเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 เข้าไป แต่หลังเข้าสภาฯ ดูเหมือนบทบาทของพรรคอนาคตใหม่กลับพยายามไต่บันไดประเด็นเกี่ยวกับ “สถาบันเบื้องสูง” อย่างต่อเนื่อง
กระทั่งพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบพรรค ก็ก่อกำเนิดขบวนการเคลื่อนไหว “ม็อบสามนิ้ว” ขึ้น ช่วงกลางปี 2563 นำโดย “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ และ “รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ภายใต้ชื่อช่วงแรกว่า แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ที่ได้เสนอ 10 ข้อเสนอเพื่อการปฏิรูปสถาบันฯ ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั้งประเทศ
นำมาซึ่งการชุมนุมของกลุ่มราษฎร และกลุ่มอื่นๆ ที่ว่ากันว่า มีแกนนำอดีตพรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกล เข้าไปมีส่วนร่วมไม่มากก็น้อย โดยชูธงยกเลิก มาตรา 112 และปฏิรูปสถาบันฯ จนมีการจับกุมแกนนำ และแนวร่วม ในข้อหาเกี่ยวกับมาตรา 112 จำนวนมาก
คู่ขนานไปกับพรรคก้าวไกลที่ 44 สส.ร่วมลงชื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่..) พ.ศ... เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ต่อสภาผู้แทนราษฎรชุดที่แล้ว เมื่อเดือน มี.ค.64 เมื่อประธานสภาฯ ไม่บรรจุเข้าสู่วาระการประชุม
ก่อนที่เมื่อวันที่ 1 พ.ย.64 คณะก้าวหน้า จะออกแถลงการณ์จะร่วมรณรงค์ล่ารายชื่อให้ได้มากที่สุด เพื่อสนับสนุนการรณรงค์ยกเลิกมาตรา 112 ภายใต้แคมเปญ “หมดเวลา 112 ถึงเวลาคืนอนาคตสังคมไทย” โดยที่ “ธนาธร-ปิยบุตร” รวมไปถึง “ช่อ” พรรณิการ์ วานิช กรรมการคณะก้าวหน้า ล้วนแล้วแต่แสดงตัวเป็น “กองหนุน” ให้กับม็อบสามนิ้วโดยตลอด เมื่อเห็นจังหวะที่สถานการณ์ชุมนุมเริ่มสุกงอม จึงใช้ชื่อกลุ่มคณะก้าวหน้าเข้ามาผสมโรง
และเป็นที่ทราบกันดีว่า ด้วยสถานการณ์ต่างๆ ทั้งภายใน-ภายนอก รวมทั้งความขัดแย้งระหว่างแกนนำม็อบ ทำให้ “ม็อบเด็ก” ที่เคยเขย่ารัฐบาลในขณะนั้นจนสั่นสะเทือนอ่อนกำลัง กระทั่งมาถึงการเลือกตั้ง 2566 ที่พรรคก้าวไกลนำประเด็นการแก้ไข มาตรา 112 มาเป็นนโยบายหาเสียง
แม้พรรคก้าวไกลจะชนะเลือกตั้งได้สิทธิ์การเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่ก็ต้องสะดุดไม่สามารถส่ง “พิธา” ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ก็ด้วยประเด็นแก้ไขมาตรา 112 ที่ถือเป็นปัจจัยสำคัญ
มีร่องรอยของ “พิธา” และพรรคก้าวไกล ที่ตอกย้ำ “จุดยืน” เกี่ยวกับความจงรักภักดีต่อสถาบันฯ เรื่อยมา คู่ขนานไปกับการ “ให้ท้าย” ผู้กระทำผิดจนเกิด “แก๊งล้ม” มีผู้ต้องคดีมาตรา 112 ขยายตัวมากขึ้น อีกทั้งหลายคนยังมักละเมิดคำสั่งศาล ทำผิดเงื่อนไขซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับไม่เกรงกลัวกฎหมาย ที่ร้องแรกแหกกระเฌอว่า โทษหนักกว่าที่ควรจะเป็น
อย่างกรณี “ตะวัน-แบม” น่าจะเป็นการ “เปลือย” แนวคิดของ “พิธา-ก้าวไกล” แจ่มชัดมากขึ้น
ด้วยพฤติกรรมที่ใครต่างก็เอือมระอาของ “ตะวัน-แบม” ทั้งในขณะที่ถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ หรือที่หลังจากที่ได้ประกันตัวออกมา มักหนักไปทางก้าวร้าว-หยาบคาย-สร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย แต่กลับได้รับการประคบประหงมจากพรรคก้าวไกลเป็นอย่างดี
โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่าง “พ่อทิม” ที่เคยออกตัวเป็น “นายประกัน” รวมถึงรับเป็นผู้กำกับดูแลความประพฤติของ “ลูกตะวัน” ด้วย ครั้งหนึ่ง “พิธา” ถึงกลับอภิปรายในสภาฯว่า "ทุกครั้งที่ผมไปหาคุณตะวันและคุณแบม ผมมองตาตะวันแล้วเห็น พิพิม ลูกสาวของผมอยู่ในนั้น" ตลอดจนยังสนับสนุนการประท้วงอดอาหารหลายครั้งของ “ตะวัน-แบม” ด้วย
ที่สำคัญในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง ก็เป็น “ตะวัน-แบม” ที่บุกขึ้นเวทีปราศรัยพรรคก้าวไกล เพื่อนำแผ่นป้ายรณรงค์แก้ไข-ยกเลิกมาตรา 112 ไปให้ “พ่อทิม” แปะสติกเกอร์ ก็ปรากฎว่า แคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกล เลือกที่จะแปะสติกเกอร์ในช่อง “ยกเลิก” พร้อมประกาศว่า “ถ้าแก้ไม่ได้ เราจะไปยกเลิกกัน” อันเป็น “หลักฐาน” ที่ทำให้ “พ่อทิม” ได้เป็นเพียง “นายกฯ ว่าว” ในวันนี้
ยิ่งไปกว่านั้นในหมู่มวล สส.-อดีต สส.พรรคก้าวไกล ยังออกตัวเป็นนายประกันให้กับผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 อีกหลายคน ทั้ง “หัวหน้าต๋อม-ชัยธวัช”, “เสี่ยโรม” รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ, สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา สส.นครปฐม, ทองแดง เบ็ญจะปัก อดีต สส.สมุทรสาคร, “เจ๊เจี๊ยบ” อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต สส.บัญชีรายชื่อ และ ธีรัจชัย พันธุมาศ สส.กทม. เป็นต้น
ขณะเดียวกัน พลพรรคสีส้ม “คนอนาคตใหม่-คนก้าวไกล” เองก็ต้องเป็นผู้ต้องหา หรือถูกกล่าวโทษในคดีความที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่น้อย ทั้งที่คดีสิ้นสุดไปแล้ว อย่าง “ช่อ-พรรณิการ์” ที่ถือเป็นหนึ่งใน “ศาสดา” พรรคก้าวไกล ที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาเพิกถอนสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีพ เนื่องจากฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีโพสต์ภาพและข้อความในเฟซบุ๊กพาดพิง “สถาบันเบื้องสูง”
หรือ “ไอซ์” รักชนก ศรีนอก ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล ที่ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 6 ปี ไม่รอลงอาญา ในคดีผิดตามมาตรา 112 และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ กรณีทวิตข้อความ และรีทวีตข้อความผ่านแอปพลิเคชั่น X (ทวิตเตอร์) ตั้งแต่ปี 2563 ครั้งยังเป็นแค่ผู้สนับสนุนการชุมนุมของม็อบสามนิ้ว โดยโพสต์ 2 ข้อความเกี่ยวกับการผูกขาดวัคซีน และสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ศาลเมตตาอนุญาตให้ “ไอซ์-รักชนก” ได้ประกันตัวอุทธรณ์สู้คดี โดยมี “หัวหน้าต๋อม-ชัยธวัช” เป็นนายประกัน
และยังมี สส.ก้าวไกล ที่เคยเป็นนักกิจกรรม และถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 อีกอย่างน้อย 2 คน ประกอบด้วย “โตโต้” ปิยรัฐ จงเทพ” อดีตแกนนำการ์ดกลุ่มวีโว่ ที่ปัจจุบันเป็น สส.กทม. เพิ่งถูกอัยการสั่งฟ้องต่อศาลกาฬสินธุ์คดี มาตรา 112 เมื่อกลางปี 2566 รวมถึง “ลูกเกด” ชลธิชา แจ้งเร็ว อดีตนักกิจกรรม นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ปัจจุบันเป็น สส.ปทุมธานี พรรคก้าวไกล มีคดีมาตรา 112 อยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นศาลอาญา ตั้งแต่กลางปี 2566 เป็นต้นมา โดยได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเช่นกัน
หรือไม่ต้องอื่นไกล 2 ศาสดาอย่าง “ธนาธร-ปิยบุตร” เองก็ถูกกล่าวหาในคดีมาตรา 112 อยู่เช่นกัน
การที่ “คนก้าวไกล-ก้าวหน้า-อนาคตใหม่” เข้าไปพัวพันกับความผิดทางคดีอาญา น่าจะเป็นคำตอบได้ว่า เคลื่อนไหวแก้ไข-ยกเลิกมาตรา 112 อย่างเอาเป็นเอาตาย
รวมไปถึงความพยายามยัดเยียดให้นำความผิดกฎหมายมาตรานี้บรรจุไว้ในการนิรโทษกรรมที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย
อย่างไรก็ดีดูเหมือน พรรคก้าวไกล และเครือข่าย คงต้องรบในสงครามที่ไม่มีวันชนะนี้อย่างโดดเดี่ยว เพราะไม่มีทีท่าว่าพรรคการเมือง หรือฝ่ายไหน จะเอาด้วยกับข้อเสนอของ พรรคก้าวไกล แม้แต่น้อย
กระทั่งพรรคเพื่อไทยก็ยังไม่เล่นด้วย แม้ว่าล่าสุดเพิ่งมีข่าวว่า “นายใหญ่ชั้น 14” นักโทษชายเด็ดขาด ทักษิณ ชินวัตร ที่รักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 ของอาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา โรงพยาบาลตำรวจ จนใกล้จะได้รับการพักโทษในช่วงเดือน ก.พ.นี้ อาจจะ “ติดหล่ม” ถูกอายัดตัวเพื่อดำเนินคดีอาญามาตรา 112
เป็นความผิดที่ถูกกล่าวหาขณะที่ “ทักษิณ” เป็นสัมภเวสีอยู่ต่างประเทศ และไปให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นประเทศเกาหลีใต้ เมื่อปี 2558 มีเนื้อหาพาดพิงถึงสถาบันเบื้องสูง โดยมี “กองทัพบก” เป็นผู้แจ้งความเอาผิด และอัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้องไปตั้งแต่ปี 2559 กระทั่งเมื่อวันที่ 17 ม.ค.67 ตำรวจและอัยการได้เข้าแจ้งข้อกล่าวหากับ “ทักษิณ” ที่ โรงพยาบาลตำรวจ ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ พร้อมยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับสำนักงานอัยการสูงสุด และอยู่ในระหว่างการพิจารณาของอัยการสูงสุด
แต่ก็มีการประเมินกันว่า หากอัยการสูงสุดไม่ทบทวนคำสั่งฟ้อง อย่างไรเสีย “นายใหญ่ค่ายแดง” ก็มีโอกาสได้ประกันตัว และยังมีเวลาต่อสู้คดีอีกพอสมควร ไม่จำเป็นต้องสอดไส้มาตรา 112 ในแพคเกจนิรโทษกรรมแต่อย่างใด
โดยเฉพาะในวันนี้ที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาล อีกทั้ง “ค่ายสีแดง” ก็หลุดข้อหา “ล้มเจ้า” ไปแล้ว คงไม่อยากลงมาเกลือกกลั้วกับ “ชาวสีส้ม-ขบวนการล้ม 112”อย่างแน่นอน