xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ล้วงตับ “ตัวละคร” คดี “พี่ศรี&เดอะแก๊ง” จับตา “ไอ้โม่ง” ขาใหญ่ที่ยัง “ลับลวงพราง”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ถือเป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจเป็นอย่างมากสำหรับ “คดีพี่ศรี-ศรีสุวรรณ จรรยา” แอนด์ “เดอะแก๊ง” ที่ถูกกล่าวหาว่า ตบทรัพย์ “นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์” อธิบดีกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อแลกกับการ “หยุดแฉ” จนนำไปสู่ปฏิบัติการ “หยุดเถอะครับ” จับกุมดำเนินคดี กระทั่งกลายเป็น “มหากาพย์” อีกคดีหนึ่ง ด้วยทำไปทำมาปรากฏ “ตัวละคร” ทั้งที่ “ลับ” และ “ไม่ลับ” ทั้งระดับ “ลิ่วล้อ” และ “บิ๊กเนม” ปรากฏโฉมออกมาอย่างต่อเนื่อง

งานนี้ เรียกว่า ชุลมุนชุลเกและเต็มไปด้วยความ “ลับลวงพราง” ค่อนข้างมาก

ที่เปิดหน้าถูกกล่าวหาว่า “ร่วมขบวนการ” มาตั้งแต่ต้นก็คือ “เจ๋ง ดอกจิก-ยศวริศ ชูกล่อม” และ “การ์ตูน-พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์” ซึ่งทั้งคู่ถือเป็น “คนของพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.)” ชัดแจ้ง ทำให้ส่งผลสั่นสะเทือนต่อภาพลักษณ์ของพรรคอย่างมีนัยสำคัญทางการเมือง ที่สำคัญคือ “แหล่งข่าว” ที่ “ไม่ประสงค์ออกนาม” แต่อยากเผยข้อมูลวงในบอกว่า ถึงกับทำให้ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” หัวหน้าพรรคหัวเสียกับการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้ามารวบ “เดอะเจ๋ง” คาทำเนียบรัฐบาล จนต้องไปปะฉะดะกลางที่ประชุมคณะรัฐมนตรีกันเลยทีเดียว

นอกจากนั้น ยังถูกคำถามตามมาอีกต่างหากว่า งานนี้ “ใคร” คือคนต้นเรื่องที่แท้จริงระหว่าง “พี่ศรี” กับ “เดอะเจ๋ง”

ส่วนจะมี “ระดับบิ๊ก” หรือ “ไอ้โม่ง” ที่เป็นตัวการใหญ่นอกเหนือกว่านี้อีกหรือไม่ คงไม่ต้องคาดเดา เนื่องจากเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ร่วมขบวนการจะมีเพียงแค่นี้ และถ้า “เคลียร์คัท-ตัดตอน” ไม่ทัน คงได้มีการออก “หมายจับ” ตามมาอีกหลายต่อหลายคนเลยทีเดียว ดังที่ “ผู้การเต่า” พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(รองผบช.ก.) บอกเอาไว้ว่า “มีทั้งลูกยักษ์และพ่อยักษ์"

สำหรับ “เจ๋ง” กับ “การ์ตูน” นั้น ไล่เรียงความสัมพันธ์แล้ว ทั้งคู่รู้จักกันมาตั้งแต่เมื่อครั้งที่ “การ์ตูน” ลงสมัครรับเลือกตั้งในนาม “พรรคเพื่อชาติ” ที่ จ.อุตรดิตถ์ และคุ้นเคยกันมากขึ้นเมื่อทั้งคู่มีอันต้องย้ายไปทำงานกับ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ซึ่งแม้ “การ์ตูน” จะสอบตก แต่ก็ยังทำงานให้กับพรรค โดยนายพีระพันธุ์ได้แต่งตั้งเป็นคณะทำงานเขตตรวจราชการที่ 11 เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2567 โดยในทางคดีเข้าข่ายเป็น “เจ้าหน้าที่รัฐ” รวมทั้งดำรงสถานะเป็น “เลขานุการส่วนตัวของเจ๋งอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย

ขณะที่ตัวนายยศวริศหรือเจ๋ง ดอกจิกเองนั้น สังคมก็ยังคงกังขาเรื่องถูกปลดจากคณะทำงานเขตตรวจราชการที่ 11 ของนายพีระพันธ์ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 ว่า เท็จจริงเป็นอย่างไร เนื่องจากมีผลต่อความหนักเบาของคดี เพราะถ้าไม่ได้ปลด ก็แสดงว่านายยศวริศดำรงสถานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ โทษที่จะได้รับจากการเรียกรับผลประโยชน์ก็จะหนักขึ้นกว่าเก่า ซึ่ง ณ เวลานี้ก็ยังไม่มีคำยืนยันในเรื่องนี้ออกมาอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรจาก “คณะของนายพีระพันธุ์”

แถมการที่ “เจ๋งและการ์ตูน” ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวปฏิเสธว่า ไม่ได้ทำความผิด เป็นแค่คนกลางในการไกล่เกลี่ย มีการสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยืนยันความบริสุทธิ์อีกต่างหาก ก็ดูเหมือนว่า จะไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นสักเท่าไหร่

แต่รายที่ถือว่า ได้รับความสนใจมากถึงมากที่สุด เผลอๆ จะมากกว่าตัวอธิบดีกรมการข้าวเสียอีก ก็คือ “ธัญญรัตน์ ไชย์ศิริคุณากร” เจ้าของฉายา “เจ๊ติ๋ม ลูกชาวนา” ภรรยาของอธิบดีกรมการข้าว ผู้อยู่เบื้องหลังการซ้อนแผนจับกุม ก่อนจะรวบรวมหลักฐานมากมายนำไปแจ้งความต่อตำรวจสอบสวนกลาง ที่ออกมาเปิดหน้าชน “แก๊งพี่ศรี” อย่างไม่เกรงกลัวจนผู้คนพากันตั้งข้อสังเกตว่า คุณนายอธิบดีกรมการข้าวผู้นี้ “ไม่ธรรมดา” อย่างแน่นอน และเมื่อสืบค้นก็เป็นไปอย่างที่ว่า โดยเฉพาะฉายา “เจ๊ติ๋ม ลูกชาวนา” ของเธอนั้น ไม่ได้มาเล่นๆ หากแต่มีเส้นทางที่โลดเล่นอยู่ในยุทธจักรการเกษตรระดับ “ตัวแม่” คนหนึ่งก็ว่าได้

“เจ๊ติ๋ม” ธัญญรัตน์ ปัจจุบันอายุ 49 ปี เป็นชาว ต.เพนียด อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี ซึ่งนอกจากเธอจะเป็นคุณนายอธิบดีกรมการข้าวแล้ว เธอยังเป็นที่รู้จักในชื่อ “ติ๋ม ลูกชาวนา” จากการเป็นผู้บริหาร “ห้างหุ้นส่วนจำกัด ลูกชาวนา ฟาร์ม” ซึ่งทำธุรกิจฟาร์มไก่เนื้อและฟาร์มหมูในจังหวัดลพบุรี รวมทั้งยังบริหารร้านลูกชาวนา ตลาดลูกชาวนาที่ ต.เพนียด และบริษัท โอ้พรไพศาลรุ่งเรืองกิจ จำกัด

กล่าวเฉพาะธุรกิจหลักคือ หจก.ลูกชาวนาฯ นั้น จากการตรวจสอบข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า มีสินทรัพย์รวม 645,308,630.98 บาท หนี้สินรวม 378,479,301.91 บาท กำไรสุทธิ 498,018.39 บาท

นอกจากนี้ ติ๋ม-ธัญญรัตน์ยังเป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจภูธรเพนียด (ปธ.กก.ตร.สภ.เพนียด) อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี เจ้าตัวมีผลงานเด่นคือ การจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนให้กับเกษตรกรใน จ.ลพบุรี เพื่อมอบความรู้ในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ต่างๆ ในโครงการวิสาหกิจชุมชนสร้างไทย และยังช่วยเหลือสังคมในด้านต่างๆ อีกด้วย

ไล่เรียงจากเส้นทางชีวิตและภูมิหลังของ “ติ๋ม ลูกชาวนา” แล้ว ก็ไม่น่าแปลกใจอะไรที่เธอจะเป็นตัวตั้งตัวตีในการปะฉะดะกับ “แก๊งพี่ศรี” อย่างไม่เกรงกลัว

 ศรีสุวรรณ จรรยา
“ส่วนตัวเชื่อว่า มีการทำกันเป็นขบวนการ เพราะในช่วงที่มีการเจรจาต่อรองเงินกันกับตน พวกเขามักจะพูดเสมอว่า ลดราคาให้ได้เท่านี้จริงๆ เพราะทีมงานมีหลายคนต้องไปแบ่งกัน ทั้งทีมส่งข่าว ทีมทำเอกสาร และอีกหลายๆ ทีม คุณนายไม่ต้องรู้รายละเอียดพวกนี้หรอก แค่จ่ายเงินมาส่วนที่เหลือจะจัดการเคลียร์เอง นอกจากนี้ยังมีการยกตัวอย่างเคสก่อนๆ ของบุคคลอื่นในอดีตมาขู่ในทำนองว่า ถ้าจ่ายเงินให้ก็จบปัญหา จึงเชื่อว่า นอกจากสามีตนแล้วน่าจะยังมีบุคคลอื่นถูกกระทำในลักษณะเช่นเดียวกันอีกช่วงที่เกิดเรื่องขึ้น รู้สึกเป็นทุกข์ และเครียดมาตลอด ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะไม่เคยเจออะไรแบบนี้ จนกระทั่งมาฉุกคิดได้ว่า เมื่อเราไม่ผิดทำไมไม่ลุกขึ้นมาสู้ เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของตนเอง หรือสู้ให้คนอื่นรู้ว่าความจริงยังมีอยู่ อีกทั้งหากปล่อยให้มีคนแบบนี้อยู่ในสังคมต่อไป แล้วประเทศชาติจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร จึงทำให้มีพลังตัดสินใจลุกขึ้นมาต่อสู้จนนำมาสู่ความจริงที่ปรากฏในวันนี้” นางธัญญรัตน์ กล่าว

หรือเมื่อเธอรู้สึกว่าถูก “บ่อนเซาะ” ทำลายภาพลักษณ์เรื่อง “หนี้สิน” เธอก็เดินหน้าปะฉะดะออกมาเปิดเผยข้อมูลของเธออย่างดุเดือดด้วยการโพสต์รูปภาพเอกสารการเงินซึ่งเป็นตารางสรุปภาระหนี้ของวันที่ 8 มกราคม 2567 ซึ่งมีภาระหนี้ทั้งสิ้น 62,791,229 บาท พร้อมระบุข้อความว่า "ไอ้เรื่องแค่นี้เป็นหนี้ไม่ได้ไปปล้นคนมา ฉันทำถูกตามระเบียบทุกอย่าง ฉันฟ้องร่วมกันให้ข่าวฉบับหนึ่งแล้วค่าอันใหนผิดฉันจะรีบแก้ไขอันใหนไม่จริงต่อไปนี้จะขอคืนให้พวกคุณไปเก็บๆ ไว้นะคะ ทนายไม่ได้หายไปใหนคดีนี้จบละเตรียมทำคดีอื่นค่ะ"

นอกจากนี้ “เจ๊ติ๋ม ลูกชาวนา” ยังคอมเมนต์เพิ่มเติมด้วยว่า “ให้มันรู้ไปว่าคนแบบฉันมันจะอยูในสังคมไม่ได้ เล่นฉันมาตลอดๆๆๆๆๆ ฉันเย็บแผลมาดีพร้อมที่จะแก้ไขใส่ฮีรูดอยให้มันแนบสนิทจะงัดเอาธนาคารใหนอีกบอกมา แม่ฉันคลอดฉันมาจากเพิงยุ่งข้าวไม่มีบ้านอยู่ด้วยซ้ำ มาถึงวันนี้ได้เกินกว่าผู้หญิงคนหนึ่งควรได้รับด้วยซ้ำ พอแล้ว”

ขณะที่ตัวอธิบดีกรมการข้าวผู้เป็นสามีของเธอนั้น เมื่อพิจารณา “บุคลิก” และ “ท่าทาง” แล้ว ก็ต้องบอกว่า “ไม่ธรรมดา” เช่นกัน ยิ่งเมื่อได้สดับตรับฟังเวลาให้สัมภาษณ์ด้วยแล้วจะเห็นชัดเจนว่า “พอตัว” เรียกว่า “จี๊ดจ๊าด” และเต็มไปด้วย “ลูกล่อลูกชน” ชนิดที่ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นเอาไว้เลยทีเดียว

ยกตัวอย่างเช่นในการให้สัมภาษณ์ถึงความเป็นพี่น้องร่วมสถาบันกับ “พี่ศรีเงินติดรั้ว” ที่บอกว่า” หากเป็นสมัยก่อนได้โดนก้านกล้วยรอบสระ และโกนหัวครึ่งซีกแน่..” ซึ่งคำว่า..ก้านกล้วยรอบสระ..นั้น หากเป็นศิษย์เก่าแม่โจ้จะรู้กันดีว่า นั่นคือหนึ่งในกิจกรรมรับน้อง หรือโซตัสของแม่โจ้ในอดีต แต่เรื่องราวนี้แพร่งพรายออกมาสู่สังคมภายนอกค่อนข้างน้อย เนื่องจากมีคำสัญญาสาบานผูกมัดกันไว้ทุกรุ่น

ด้วยเหตุดังกล่าว เมื่อ “อธิบดีกรมการข้าวและคุณนาย” ต้องมาปะทะกับ “พี่ศรีแอนด์เดอะแก๊ง” เรื่องจึงร่อนฉ่าองศาเดือด

“คดีดังกล่าว จริงๆ แล้วเริ่มก่อหวอดมาตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2566 เพราะเริ่มมีหนังสือร้องเรียนหรือบัตรสนเท่ห์มายังหน่วยงาน กระทั่งช่วงปลายปี 2566 กลุ่มผู้ต้องหาเริ่มมีการไปคุย ไปเรียกรับเงินกับกลุ่มผู้เสียหาย ต่อมาช่วงวันที่ 4 มกราคม 2567 ทางฝ่ายผู้เสียหายได้มาแจ้งความร้องทุกข์กับ บก.ปปป. เพื่อขอให้ดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ต้องหา ซึ่งเจ้าหน้าที่มีพยานหลักฐานพอสมควร แต่รายละเอียดเชิงลึกขอละเว้นการเปิดเผยไว้ก่อน เพราะจะต้องใช้ในการขยายผลต่อไป”

“จากรายงานการสืบสวนจะพบว่าทั้ง 3 รายมักมีการแถลงข่าวด้วยกันหลายหน ส่วนทางผู้ต้องหาผู้หญิง (น.ส.พิมณัฏฐา) ก็มีความสนิทสนมกับทางนายยศวริศพอสมควร อย่างไรก็ตาม ทั้ง 3 รายมีพฤติกรรมร่วมกันเรียกรับเงินกับผู้เสียหาย ส่วนเรื่องเส้นทางการเงินระหว่างกลุ่มผู้ต้องหา พนักงานสอบสวนมีพยานหลักฐานชัดเจนหลายรายการ อาทิ รายการเส้นทางการเงินของการทำธุรกรรม และคลิปเสียงสนทนา เป็นต้น”บิ๊กก้อง-พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(ผบช.ก.) กล่าวสรุปเรื่องคดีและความสัมพันธ์ของทั้ง 3 คน

ว่ากันว่า นอกจากคลิปวีดีโอขณะส่งมอบเงินสดงวดแรกจำนวน 1 แสนบาท และไฟล์เสียงขณะพูดคุยกับคุณนายอธิบดีกรมการข้าวแล้ว เห็นว่า เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ยังมีหลักฐานสำคัญอีกหลายอย่างโดยเฉพาะข้อความ “แชตไลน์” ระหว่าง “การ์ตูน-พิมณัฏฐา” กับ ภรรยาของอธิบดีกรมการข้าว ที่เจรจาต่อรอง รวมถึงพูดหว่านล้อม ข่มขู่ให้ยอมจ่ายเงิน

อย่างไรก็ดี เรื่องไม่ได้มีแค่ “พี่ศรี เจ๋ง ดอกจิกและการ์ตูน” เพราะยังปรากฏตัวละครสำคัญตามมาอีกหลายต่อหลายคนที่เข้ามาพัวพัน

เริ่มจาก “อดีตรัฐมนตรี” ชื่อย่อ “ป” ที่ถูกเอ่ยชื่อออกมาจากปากของ “นายดนุเดช ศิริวงษ์ตระกุล” ทนายความ และที่ปรึกษากฎหมาย “อธิบดีกรมการข้าว” ว่า อดีตรัฐมนตรีคนดังกล่าวติดต่อมายังอธิบดีกรมการข้าวและภรรยาให้ “เบาได้เบา” ทำเอาสังคมถึงกับต้องหูผึ่งด้วยก่อนหน้าก็มีข่าวพัวพันกับ “คดีหมูเถื่อน” ซึ่งจนป่านนี้ก็ยังไม่คืบหน้าอย่างที่ควรจะเป็น แม้ “หัวหน้าพรรค” ต้นสังกัด “อดีตรัฐมนตรี ป” จะออกมาบอกว่า ได้คุยกันแล้วไม่เป็นจริงดังข่าวที่ออกมา แต่ก็โยนกลองว่า “ถ้าอยากรู้อะไรให้ไปถามเจ้าตัวเอาเอง”

ทำไปทำมาสังคมก็ชักงงๆ เพราะ “อธิบดีกรมการข้าว” ปฏิเสธว่านายดนุเดชไม่ได้เป็นทนายของตนเอง ขณะที่กรณี “อดีตรัฐมนตรี ป” นายายณัฏฐกิตติ์ ตอบว่า “เรื่องนี้ตนไม่รู้ ไม่เกี่ยวกับตน ให้เขาไปว่ากันเอง”

งานนี้เล่นเอาจับต้นชนปลายแทบไม่ถูกว่า “เกิดอะไรขึ้น” กันแน่


ส่วนที่กำลังตอบโต้อย่างเผ็ดร้อนและทำให้เรื่องซับซ้อนซ่อนเงื่อนหนักเข้าไปอีกก็คือ กรณี “นายหมู” ที่ปรึกษารัฐมนตรี ซึ่งตามข่าวถูกระบุว่าเป็นคนพาภรรยาของอธิบดีกรมการข้าวนำเงินไปมอบให้กับนายศรีสุวรรณ เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 ทว่า อธิบดีกรมการข้าวจะออกมายืนยันว่า ไม่เป็นความจริง เนื่องจากวันดังกล่าวตนเองก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยโดยตลอด และไม่มีการนำเงินมาจ่ายให้ใครแม้แต่บาทเดียว เพียงแต่พามาพบนายศรีสุวรรณเพื่อพูดคุยเพื่อให้ยุติการร้องเรียนในเรื่องที่ไม่มีมูลความจริง และมีเจตนาที่จะปกป้องข้าราชการประจำ เพราะตนเองไม่เคยมีเรื่องทุจริตใดๆ ต่อหน้าที่แต่อย่างใด และเมื่อทำความเข้าใจกับนายศรีสุวรรณแล้ว ตนเองและที่ปรึกษาคนดังกล่าวพร้อมทั้งภรรยา ก็ได้ขอตัวเดินทางกลับทันที

“ผมและภรรยาได้ร่วมกันดำเนินการเพียง 2 คน รวบรวมข้อมูลทั้งหมดเป็นระยะเวลานานพอสมควร แล้วก็ไปแจ้งความดำเนินคดี โดยทางทีมงานคณะรัฐมนตรีไม่มีใครทราบเรื่องนี้ ที่ออกข่าวมาว่าคนโน้น คนนี้ ยืนยันไม่มี จะมีอยู่วันหนึ่งวันที่ 28 พ.ย. ด้วยความรำคาญใจ ผมจึงตัดสินใจไปบ้านนายศรีสุวรรณ จรรยา ไปกับพี่หมู เพราะไม่มีญาติผู้ใหญ่ที่ไหนไปด้วย โดยไปกับพี่หมูและแฟนของผม รวม 3 คน ไปในฐานะที่ ศรีสุวรรณ เป็นรุ่นน้องผมที่สถาบันแม่โจ้ พี่หมูไปในฐานะพยาน โดยวัตุประสงค์ที่ไปไม่ได้ไปเคลียร์เรื่องเงิน แต่ไปถามว่าทำไมต้องร้องเรียนผม เพราะผลการสอบสวนออกมาแล้วว่าผมไม่ผิดอะไร ก็คุยกันเข้าใจ”

“หลังกลับจากบ้านนายศรีสุวรรณ ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร พี่หมูก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไร ไม่ได้จ่ายเงิน จ่ายทอง ตนพูดความจริงทุกอย่างไม่ได้โกหก ไม่ได้ไปเจรจาเรื่องการจ่ายเงินอะไร หลังจากนั้นประมาณ 2-3 สัปดาห์ กระทั่งมีการแถลงข่าวเรื่องกรมฝนหลวง แล้วเขาก็วกกลับมากรมการข้าว ไม่ยอมหยุดสักที ด้วยความเจ็บใจ ผมจึงวางแผนกับภรรยาโดยไม่ให้ทีมงานของคณะรัฐมนตรีเดือดร้อน ตอนนั้นรู้สึกว่า หากเราสู้ไม่ได้ก็ต้องจ้างทนายสู้ ตนจึงรวบรวมหลักฐานไปยื่นที่ ปปป.

“ส่วนทีมงานคณะที่ปรึกษา รมว.เกษตรและสหกรณ์ รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ก็รู้ตอนที่ตำรวจได้เข้าไปจับกุมแล้ว และ วันนั้นตนต้องโทรศัพท์ไปขอโทษ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ที่ไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้รับทราบล่วงหน้า เพราะกลัวทีมงานท่านเดือดร้อน ผมรับราชการและก็มีธุรกิจครอบครัวของผม ทำด้วยความสุจริต ที่เจ็บใจมากที่สุด คือ กว่าผมจะเลี้ยงไก่ได้แต่ตัว แต่ดันไปกล่าวหาว่า ภรรยาผมค้าตีนไก่ นี่คือจุดที่แค้นมาก”

อธิบดีโจผู้เป็นใหญ่ในกรมการข้าวว่าไว้อย่างนั้น

กระนั้นก็ดี เรื่องสับสนวุ่นวายหนักเข้าไปอีก เพราะนอกจาก “นายหมู” แล้ว ยังมี “นายธนดล สุวัณณะฤทธิ์” ที่ปรึกษารัฐมนตรี และ “นายเอก” ปรากฏเป็นตัวละครที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดี

ทั้งนี้ “นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์” ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เปิดเผยในวันที่เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. เพื่อนำเอกสารหลักฐานเป็นข้อความแชตสนทนาเกี่ยวกับคดีรีดเงินอธิบดีกรมการข้าวมามอบให้ โดยยืนยันว่า “นายธนดล สุวัณณะฤทธิ์” ที่ปรึกษารัฐมนตรี ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียกรับผลประโยชน์แต่อย่างใด

นายอัจฉริยะบอกว่า “นายเอก” เป็นตัวกลางในการเรียกรับเงินกับอธิบดีกรมการข้าว โดยติดต่อระหว่างนายธนดลกับนายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก ซึ่งเมื่อนายธนดลยืนยันว่าไม่สามารถทำตามที่นายเอกบอกได้ นายเอกจึงได้ติดต่อนายหมูซึ่งเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีเช่นกัน หลังจากนายเอกติดต่อนายหมูแล้วนั้น นายหมูได้พาภรรยาอธิบดีกรมการข้าว พร้อมนำเงินไปจ่ายให้นายศรีสุวรรณก้อนแรก 28 พฤศจิกายน โดยมีทนายน้อยหรือนายดนุเดช ศิริวงษ์ตระกุล ที่ปรึกษากฎหมายอธิบดีกรมการข้าว เป็นผู้ยืนยันข้อมูล

นายอัจฉริยะยังฝากย้ำไปถึงอธิบดีกรมการข้าวอีกว่า สิ่งที่ตนออกมาพูดเป็นหลักฐานที่ ป.ป.ป. ใช้ขออำนาจศาลออกหมายจับผู้ต้องหา ดังนั้นที่อธิบดีออกมาพูด ถือว่าเป็นการหมิ่นประมาท ตนจะดำเนินคดี พร้อมท้านายหมูให้ออกมาเปิดเผยว่าวันที่ 28 พฤศจิกายนนั้นไปในฐานะอะไร และทำไมต้องมีการออกมาจ่ายเงินดังกล่าว

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตำรวจก็ได้บุกไปรวบ “นายเอก” ที่นายอัจริยะบอกว่าเป็นตัวกลางในการเรียกรับเงินตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤมิชอบกลาง พร้อมตรวจยึดของกลางเอกสารเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างของทางราชการและเอกที่เกี่ยวข้องภายในบ้านพักได้จำนวน 3 ลัง มาตรวจสอบ

“นายเอก” คนนี้มีชื่อเสียงเรียงนามจริงว่า “เอกลักษณ์ วารีชล”

ขณะที่นายธนดลก็ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนกรณีที่ถูกสำนักข่าวดังแห่งหนึ่งรายงานภาพข่าว (Infographic) พาดพิงว่า ตนเองเป็น 1 ในแก๊งตบทรัพย์อธิบดีกรมการข้าว โดยยืนยันเรื่องการที่มีภาพตนเองกับนายยศวริศและนายศรีสุวรรณนั้น เป็นเพราะทั้งสองคนมาร้องเรียนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น

“ขอยืนยันว่าตัวเองไม่ใช่หมูตามที่มีการรายงานข่าว ผมชื่อเล่นดล”นายธนดลกล่าว ซึ่งก็สอดคล้องกับ “ผู้การเต่า” พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผบช.ก.ที่บอกว่านายธนดลไม่ใช่ “ที่ปรึกษาหมู”

แต่ที่ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นก็คือ การที่ “เจ๋ง ดอกจิก” ให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “เรื่องร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ยอมรับว่าได้รายงานร.อ.ธรรมนัส ท่านบอกว่าช่วยให้จบๆ หน่อย งานท่านคงเยอะ เลยคิดว่าเป็นยุงรำคาญ โทรศัพท์ไปเล่าให้ท่านฟังว่ามีเรื่องกรมข้าว ท่านบอกพี่ช่วยทำๆ ให้จบๆ หน่อย ประมาณ 18 ธ.ค. 66 วันที่ 19 ธ.ค. ก็ไปหา ร.อ.ธรรมนัสที่ทำเนียบฯ ถามว่าเรื่องพี่ศรีจะเอายังไง ท่านก็ถามว่าพี่ศรีจะเอายังไง ก็บอกไม่รู้ เขาบอกพี่เจ๋งไปช่วยจัดการให้หน่อย เลยเป็นที่มาที่เข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องนี้ ก็เลยไปช่วยเจรจา ท่านบอกให้ทำตามที่ศรีว่า ก็เลยไปจัดการให้จบๆ”

ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างอธิบดีกรมการข้าวกับรัฐมนตรีธรรมนัสนั้น ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัด แต่จากการติดตามสถานการณ์น่าจะคุ้นเคยกันพอสมควร ดังคำให้สัมภาษณ์ของผู้กองธรรมนัสว่า “กระทรวงเกษตรฯ เป็นผู้เสียหาย ตนในฐานะผู้บังคับบัญชา และสนิทสนมกับอธิบดีโจ และภรรยามาก่อน ทุกๆ ครั้งที่มีความทุกข์ก็จะมาปรับทุกข์กับตน และตนก็ได้รับรายงานตลอด จึงให้ฝ่ายกฎหมายที่ตนมีอยู่ประมาณ 20 คน เข้ามาช่วยดูแลแต่ไม่อยากพูดมาก เพราะพูดไปก็ไม่เกิดประโยชน์ และอาจเป็นการแทรกแซงการทำงานของ จนท.ขอร้องอย่ามองกระทรวงเกษตรฯ เป็นผู้ร้าย เพราะเราเป็นฝ่ายถูกกระทำ และขอฝากไปถึงเหล่านักร้องทั้งหลาย จะพูดอะไรก็พึงระวัง รวมถึงสื่อมวลชนหากจะเปิดคลิป ควรเปิดให้หมด อย่าตัดแค่บางส่วน เพราะกระทรวงเกษตรฯ เป็นผู้เสียหาย ที่ลูกน้องของตนถูกกระทำ ตนจะไม่ปล่อยให้เลยเถิด มีการพูดคุยกันแล้วแต่เรื่องไม่จบ ก็ไม่ต้องมาคุยกัน”

...ฟังความจากตัวละครทั้งหมดแล้วก็ต้องบอกว่า “ยุ่ง” ร้อยเปอร์เซ็นต์ ด้วยยังมีเงื่อนงำจากตัวละครต่างๆ รอให้ไขปริศนาอยู่อีกมากเลยทีเดียว เพราะเห็นๆ กันอยู่ว่า มี “ผู้ใหญ่มากบารมี” พยายามวิ่ง “เคลียร์” กันอยู่

อย่างไรก็ตาม คงต้องตามกันต่อไปว่า สุดท้ายแล้วเรื่องจะลงเอยอย่างไร เพราะขณะนี้ตัวละครสำคัญ 3 คนคือ “พี่ศรี เจ๋ง ดอกจิกและการ์ตูน” ยังคงเป็นแค่เพียง “ผู้ถูกกล่าวหา” ยังไม่มีคำพิพากษาว่ากระทำผิดแต่อย่างใด ซึ่งทั้ง 3 คนก็ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและเดินหน้าสู้คดีในชั้นศาลต่อไป รวมถึงสถานการณ์การเมืองว่าจะบานปลายออกไปที่ “พ่อยักษ์” ดังที่ “ผู้การเต่า” ว่า จนนำไปสู่การแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองและความเป็นพรรคร่วมรัฐบาลของ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” หรือ “พรรคอื่นๆ” หรือไม่ อย่างไร


กำลังโหลดความคิดเห็น