ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังจากที่ “เฮียเกียรติ-นายสมเกียรติ กอไพศาล” ใจดีสู้เสื้อ ตัดสินใจมอบตัวสู้คดี “ตีนไก่เถื่อน” ไปเป็นรายแรก 1 ใน 5 ผู้ต้องหารายสำคัญอีกคนก็คือ “เฮียเก้า” หรือ “นายหลี่ เซิ่งเจียว” ก็เดินทางจากเมืองจีนกลับมาประเทศไทย เพื่อมอบตัวสู้คดีกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เป็น “รายที่สอง” ซึ่งเป็นที่จับตาถึงต้นเหตุที่ทำให้มอบตัวว่า น่าจะมีช่องทางที่จะสู้คดีเป็นแน่แท้
ความสำคัญของ “เฮียเก้า” นอกจากสถานะ “นายกสมาคมการค้าแลกเปลี่ยนเศรษฐกิจไทยเอเชีย” แล้ว มีข้อกล่าวหาสำคัญที่ยังไม่สามารถอธิบายให้ “เคลียร์คัท” นั่นคือเรื่องที่เป็น “พี่น้องต่างมารดา” กับ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาลชุดที่แล้ว ซึ่งแม้ “เฮียต่อ” จะได้ชี้แจงความสัมพันธ์กับ “เฮียเก้า“ ไปแล้วว่า ไม่ได้เป็นพี่น้องต่างมารดาอย่างที่ข่าวนำเสนอก็ตาม โดยเฉพาะข้อเท็จจริงเรื่องที่ “กรินทร์ ปิยพรไพบูลย์” ลูกชายของ “เฮียเก้า” ใช้นามสกุลเดียวกันกับ วิรัช ปิยพรไพบูลย์ พี่ชายของ “เสี่ยต่อ” และ “เสี่ยเซ้ม” จักรพันธ์ ปิยพรไพบูลย์ สส.ประจวบคีรีขันธ์ พรรคประชาธิปัตย์ ผู้เป็นหลานชายของ “เสี่ยต่อ”
“หัวหน้าต่อ” ตอบเพียงแค่ว่า เป็นแค่การมาขอใช้นามสกุล แต่ไม่ทราบรายละเอียด
ทั้งนี้ ในวันที่ “เฮียเก้า” กลับไทย ประเด็นสำคัญนอกจากปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและยืนยันว่า “ไม่ได้ทำ” แล้ว คำตอบที่สังคมสนใจมากที่สุดก็คือเรื่องความสัมพันธ์กับ “เฉลิมชัย” ที่เจ้าตัวเลือก “นิ่ง” มากกว่าที่จะอธิบายขยายความอะไรออกมา
อย่างไรก็ดี หลังสอบสวนเฮียเก้าเกือบ 3 ชม. พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าชุดสอบสวนคดีหมูเถื่อนและตีนไก่เถื่อน ออกมาเผยว่า จากการสอบปากคำเฮียเก้าเบื้องต้นยังให้การปฏิเสธเรื่องสวมสิทธิ์ตีนไก่ส่งออกนอกประเทศ เพียงแค่ยอมรับว่า ทำธุรกิจส่งตีนไก่ออกนอกประเทศจริง แต่พนักงานสอบสวนไม่ได้ปักใจเชื่อ เนื่องจากมีหลักฐานพบความเชื่อมโยงไปยังผู้ต้องหาคนอื่น อาทิ เส้นทางการเงิน บริษัทชิปปิ้ง และผู้ที่เกี่ยวข้องรายอื่น ส่วนประเด็นสอบปากคำเฮียเก้ามีมากถึง 30 ประเด็น เช่น เรื่องขั้นตอนการส่งออกตีนไก่ไปประเทศจีน การโอนเงินระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงสมาคมที่เฮียเก้าดูแล พนักงานสอบสวนต้องสอบปากคำอย่างละเอียด นำมาพิจารณาว่าเฮียเก้าให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่มากน้อยแค่ไหน ก่อนผู้ต้องหาทำเรื่องยื่นขอประกันตัว จะนำเสนอรักษาการอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาเห็นควรให้ประกันตัวหรือไม่
ขณะที่ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยหลังประชุมวางกรอบการสืบสวนสอบสวนที่เกี่ยวข้องกับคดีและการรวบรวมพยานหลักฐาน ว่า ในการให้ปากคำเฮียเก้ายอมรับว่ารู้จักกับอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และข้าราชการในสังกัดในกระทรวงฯ โดยไม่ได้เปิดเผยว่าสนิทกับบุคคลเหล่านี้ระดับไหน ซึ่งเป็นสิทธิของผู้ต้องหาที่จะให้ปากคำ แต่พนักงานสอบสวนจะมีการรวบรวมพยานหลักฐานและขยายผลไปถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องต่อไป
ส่วนพ.ต.ต.ณฐพลให้ข้อมูลถึงผลการสอบปากคำเฮียเก้ากรณีความสัมพันธ์กับอดีตรัฐนตรีว่า เป็นการรู้จักกันในรุ่นปู่ จึงมีบ้างที่อาจมีการไปมาหาสู่กันปกติ แต่ในช่วงที่เฮียเก้าต้องการเข้ามาทำงานและลงหลักปักฐานที่ประเทศไทย ได้ติดต่อกับพี่ชายของอดีตรัฐมนตรี
นอกจาก 5 ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับแล้ว สิ่งที่จะต้องจับตาต่อไปก็คือ การขยายผลการจับกุม เพราะกระบวนการดังกล่าวย่อมไม่ได้มีแค่ 5 ผู้ต้องหา หากแต่ยังจะต้องมีบรรดา “บิ๊กๆ” ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคอยอำนวยความสะดวกให้ โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงคือ กรมปศุสัตว์และกรมศุลกากร ซึ่งเท่าที่เห็นก็มีเพียงความเคลื่อนไหวของข้าราชการระดับสูงของกรมปศุสัตว์ออกมาโอดครวญว่า ถูกกลั่นแกล้ง
กล่าวคือเมื่อวันที่ 17 มกราคมที่ผ่านมาบรรดา “ข้าราชการกรมปศุสัตว์กลุ่มหนึ่ง” ได้เดินทางไปยื่นหนังสือร้องเรียนต่อ “นายชาดา ไทยเศรษฐ์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่รัฐสภา เพื่อขอให้ตรวจสอบบุคคลและกลุ่มองค์กรที่ออกมาโจมตีกรมปศุสัตว์และใส่ร้ายป้ายสีข้าราชการประเด็นหมูเถื่อนว่าเป็นผู้มีอิทธิพลหรือไม่ โดยไม่ขอเปิดเผยรายชื่อ แต่ได้ส่งให้นายชาดาไปตรวจสอบแล้ว เพราะรู้สึกอัดอั้นตันใจและถูกกีดกันโดยผู้มีอิทธิพลดังกล่าว
ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้ก็มีกรณีที่ “นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์” อธิบดีกรมปศุสัตว์ พร้อม นายธนดล สุวัณณะฤทธิ์ ตัวแทนฝ่ายกฎหมายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเจ้าหน้าที่สารวัตรปศุสัตว์ เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อหารือแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวข้องกับขบวนการสวมสิทธิส่งออกตีนไก่ โดยมี นายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะโฆษกประจำกระทรวงยุติธรรม ฝ่ายการเมือง รับเรื่อง และใช้เวลาพูดคุยประมาณ 1 ชั่วโมง
โดยนายสัตวแพทย์สมชวนกล่าวยืนยันว่า ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวกับ “เฮียเก้า” หรือ นายหลี่ เซิ่งเจียว และในการทำงานกรมปศุสัตว์มีหน้าที่ต้องประสานงานกับบริษัทเอกชนมากมายในการค้าระหว่างประเทศ จึงเป็นธรรมดาที่จะรู้จักกับบุคคลต่างๆ ในนามของบริษัทเอกชนที่เข้ามาพูดคุยและขอถ่ายรูป แต่เมื่อเกิดเป็นคดีความและมีการนำภาพไปเปิดเผยก็ทำให้กลายเป็นจำเลยของสังคม
ส่วนกรณีที่มีการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อน เป็นช่วงที่เข้ามาดำรงตำแหน่งแล้วหรือยังนั้น นายสัตวแพทย์สมชวน กล่าวว่า ตนเข้ามารับตำแหน่งอธิบดีกรมปศุสัตว์ เมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2565 ก่อนหน้านั้น ตำแหน่งเป็นผู้ตรวจราชการ ช่วงปี 2564 พร้อมรักษาการอธิบดีกรมประมง ซึ่งไม่สามารถออกนโยบายอะไรได้ เพราะเป็นการเข้าไปดำรงตำแหน่งรักษาการเท่านั้น นอกจากนี้ ที่ผ่านมา กรมปศุสัตว์ก็พยายามปราบปรามขบวนการหมูเถื่อนมาอย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่ “คดีตีนไก่เถื่อน” ขมวดปมเข้ามาทุกที เป็นที่น่าสังเกตว่า “คดีหมูเถื่อน” ที่เคยอึกทึกครึกโครมและเป็นที่สนใจของสาธารณชนคนทั้งประเทศกลับทำท่าว่าจะ “เงียบ” อย่างมีข้อสงสัย แถมยังทำท่าว่าจะขยายวงไปที่เรื่อง “กุ้งเถื่อน” มาเป็นประเด็นใหม่เพิ่มขึ้นมาอีก
ที่สำคัญคือ จนป่านนี้ยังไม่มีการออกหมายจับหรือหมายเรียก “ตัวเป้งๆ” ที่พัวพันกับขบวนการหมูเถื่อนมาให้เห็นเป็นที่ประจักษ์เลย
“นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ” นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า ขณะนี้ผู้เลี้ยงหมู โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยต้องแบกภาระขาดทุนมานานกว่า 10 เดือน แม้ราคาหน้าฟาร์มจะทยอยปรับขึ้นตามอุปสงค์-อุปทานก็ตาม แต่ราคาขณะนี้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 70-76 บาทต่อกิโลกรัม(กก.) ขณะที่ต้นทุนผลิตเฉลี่ยยังสูงกว่า 80 บาทต่อ กก.หากหมูเถื่อนที่ยังซุกซ่อนอยู่ในห้องเย็นกระจายออกสู่ตลาด จะเป็นการเพิ่มซัพพลายให้สูงผิดปกติ ราคาหมูที่เกษตรกรขายได้จะถูกกดให้ต่ำ ทำให้ยังคงเผชิญปัญหาขาดทุนต่อเนื่อง และเป็นอุปสรรคต่ออุตสาหกรรมสุกรที่เพิ่งฟื้นตัว
สำหรับ “หมูเถื่อน” มีการปราบปรามกันมานานกว่า 2 ปี ซึ่งคดีใหญ่ ประกอบด้วย คดีหมูเถื่อนตกค้างที่ท่าเรือแหลมฉบัง 161 ตู้ น้ำหนัก 4,500 ตัน และคดีหมูเถื่อนสำแดงเท็จเป็นโพลิเมอร์และอาหารปลาแช่แข็ง เล็ดลอดจากท่าเรือแหลมฉบังอีก 2,385 ใบขนสินค้า น้ำหนักมากกว่า 60,000 ตัน (60 ล้านกิโลกรัม) ซึ่งกระจายไปทั่วประเทศรอจังหวะขายปะปนกับหมูไทยบนเขียงหรือช่องทางออนไลน์
ทั้งนี้ หากหมูเถื่อนกว่า 60 ล้านกิโลกรัม เล็ดลอดออกมาขายในตลาด จะทำให้ปริมาณหมูเพิ่มมากขึ้นเกินกว่าความต้องการ และกดราคาหมูในประเทศให้ตกต่ำ ขณะที่เกษตรกรพยายามฟื้นฟูฟาร์มและนำหมูเข้าเลี้ยงใหม่ หลังเจอปัญหาโรคระบาด ASF ตั้งแต่ปี 2565 แต่เมื่อผลผลิตพร้อมจับกลับต้องขายขาดทุน ที่สำคัญหมูเถื่อนยังอยู่ในประเทศอีกจำนวนมาก จึงอยากขอให้ท่านนายกรัฐมนตรีเร่งรัดการทำงานซ้ำอีกครั้ง โดยให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) นำคดีกลับเข้าสู่ขบวนการสอบสวนเพื่อขุดรากถอนโคนผู้กระทำผิดโดยเร็ว
ที่สำคัญคือ การดำเนินคดีหมูเถื่อน หยุดชะงักมานานกว่า 1 เดือน หลังจากที่ DSI เปลี่ยนไปทำคดีสวมสิทธิ์ตีนไก่ 10,000 ตู้ ทั้งที่การสอบสวนคดีหมูเถื่อน 161 ตู้ ก่อนหน้านี้มีความคืบหน้าไปมาก พบผู้กระทำผิด 18 บริษัท จับกุมแล้ว 10 บริษัท และมีการยึดทรัพย์จากการกระทำผิดแล้ว 92 ล้านบาท ส่วนการขยายผลหมูเถื่อน 2,385 ใบขนสินค้า อยู่ระหว่างรอเอกสารจากกรมศุลกากร และใบรับรองการส่งมอบสินค้าของบริษัทเดินเรือ (Bill of Lading : BL) เพื่อนำไปตรวจสอบปลายทางส่งมอบสินค้าและจับกุมผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องทั้งหมด แต่ขณะนี้คดีกลับไม่คืบหน้า
นายสิทธิพันธ์ กล่าวอีกว่า เวลานี้หมูเถื่อนยังถูกซุกซ่อนในห้องเย็นอีกมาก ทำให้การปรับราคาหมูมีชีวิตหน้าฟาร์มต้องทำแบบระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภคและต้องดูแลเกษตกรให้ได้รับราคาที่เป็นธรรมควบคู่ไปด้วย ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้ DSI เดินหน้าปราบปรามและดำเนินคดีกับผู้นำเข้าหมูเถื่อนให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมายโดยเร็ว เพื่อนำตัวคนผิดทุกรายไปรับโทษตามความผิด และตรวจค้นห้องเย็นทั่วประเทศต่อเนื่อง กวาดล้างหมูเถื่อนให้หมด ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้หมูไทยเข้าสู่ตลาดได้เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งราคาจะปรับตามกลไกตลาด สร้างความเชื่อมั่นให้เกษตรกรเดินหน้าผลิตหมูคุณภาพสูง ไม่มีสารปนเปื้อน ไม่มีสารเร่งเนื้อแดง เพื่อสุขภาพที่ดีและความมั่นคงทางอาหารของคนไทยในระยะยาว
ฟังความจากนายกสมาคมหมูแล้ว ก็ต้องบอกว่า หรือจะเป็นไปแบบที่มีการตั้งข้อสังเกตแบบเจ็บๆ ว่า “ยกตีนไก่บังหน้า ... ดูท่า DSI จะเก็บหมูเถื่อนเข้าแฟ้ม” กระนั้นหรือ?