คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร
การต่อต้าน พระเจ้าวิลเลียมที่หนึ่งแห่งสหราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ แบ่งออกเป็นสองพวก คือ พวกคาทอลิกและพวกเสรีนิยม พวกคาทอลิกต่อต้านพระเจ้าวิลเลียมที่หนึ่ง เพราะเห็นว่านโยบายการศึกษาที่เปิดกว้างในทางศาสนาของพระองค์เป็นอุปสรรคต่อการอบรมสั่งสอนและความศรัทธาในศาสนาของพวกคาทอลิก แม้ว่านโยบายต่างๆ ของพระเจ้าวิลเลียมที่หนึ่งจะเป็นเรื่องที่ดี จากการที่พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่รับเอาแนวคิดและภูมิปัญญาสมัยใหม่ในยุคแห่งแสงสว่าง (the Enlightenment) แต่พวกเสรีนิยมมองว่า การที่พระองค์ทรงใช้พระราชอำนาจของพระองค์ในการกำหนดนโยบายต่างๆ ด้วยพระองค์เอง โดยไม่เปิดให้สังคมได้มีส่วนร่วมหรือวิพากษ์วิจารณ์ ถือเป็นการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจไว้ที่ตัวเองคนเดียว (autocracy) เป็นสิ่งที่พวกเสรีนิยมไม่เห็นด้วย เพราะการปกครองของพระเจ้าวิลเลียมที่หนึ่งเข้าข่ายเป็นเผด็จการที่ทรงภูมิธรรม (enlightened despotism) จากความขัดแย้งไม่พอใจต่อรัฐบาลร่วมกันทำให้พวกเสรีนิยมหันมาประนีประนอมกับพวกคาทอลิกเพื่อร่วมพลังในการรณรงค์ต่อต้าน
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1830 การปฏิวัติในฝรั่งเศสส่งผลให้เปลี่ยนกษัตริย์ พระเจ้าชาร์ลสที่สิบ ราชวงศ์บูร์บองมาเป็นพระเจ้าหลุยส์-ฟิลลิปแห่งราชวงศ์ออร์ลีนส์ และมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจำกัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์มากขึ้น การเปลี่ยนตัวผู้ปกครองและราชวงศ์ในฝรั่งเศสได้กลายเป็นแบบอย่างที่ระบาดมาถึงเบลเยี่ยม ที่มีการรวมตัวกันต่อต้านพระเจ้าวิลเลียมที่หนึ่งอยู่แล้ว
การปฏิวัติได้ปะทุขึ้นในค่ำของวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 1830 ที่โรงอุปรากรชื่อ La Monnaie ของเบลเยี่ยม ได้จัดให้มีการแสดงอุปรากรเรื่อง La Muette de Portici (หญิงใบ้แห่งโปตีซี) ของ ดาเนียล โวเบอร์ ( Daniel-François-Esprit Auber) คีตกวีและผู้อำนวยการสถาบันดนตรีฝรั่งเศส La Muette de Portici มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับการก่อการกบฏของชาวเมืองเนเปิลส์ต่อการปกครองของสเปนในปี ค.ศ. 1647 และในฉากหนึ่งจะมีการร้องเพลงชื่อว่า “Amour sacre de la patrie” (ความรักอันสูงส่งต่อบ้านเกิดเมืองนอน) ที่มีเนื้อร้องว่า “จับอาวุธเถิด ประชาชน ! สร้างกองทหารขึ้น ! เดินกันเถอะ เดิน ! มีเพียงเลือดของพวกที่ไม่บริสุทธิ์..ที่ต้องหลั่งริน ไปกันเถอะ ! ลูกหลานแห่งปิตุภูมิ ! วันแห่งความรุ่งโรจน์มาถึงแล้ว ! เราต้องต่อต้านเผด็จการ....ทาสฝูงนี้ต้องการอะไร ผู้ทรยศ กษัตริย์ผู้สมคบคิด ?....”
หลังจากที่นักแสดงได้ร้องเพลง “Amour sacre de la patrie” อารมณ์ของผู้ชมได้ถูกปลุกให้รุนแรง ผู้ชมได้ส่งเสียงขอให้นักแสดงร้องเพลงนี้ซ้ำอีก โดยเฉพาะท่อนที่กล่าวให้ประชาชนจับอาวุธจนทำให้เหล่าผู้ชมทนไม่ได้ ได้กลายเป็นกองกำลังฝูงชนที่ลุกฮือขึ้นเพื่อบ้านเมืองของตน และพากันออกโรงอุปรากร ในขณะที่ได้มีการเตรียมฝูงชนอีกกลุ่มหนึ่งอยู่ด้านนอก ต่างเข้าร่วมในการประท้วง และมีการเตรียมธงสามสีอันเป็นสัญลักษณ์ของช่วงเวลาที่เบลเยี่ยมเคยเป็นอิสระและเป็นสาธารณรัฐ หรือที่เรียกช่วงเวลานั้นว่า ช่วงระหว่างเดือนตุลาคม ค.ศ. 1789 ถึงธันวาคม ค.ศ. 1790 อันเป็นช่วงเวลาที่รู้จักกันในประวัติศาสตร์ยุโรปว่า การปฏิวัติบราบันท์ (the Brabant Revolution) ที่เกิดขึ้นระหว่างเดือนตุลาคม ค.ศ. 1789 ถึงธันวาคม ค.ศ. 1790 ในช่วงการปฏิวัติบราบันท์ ได้มีการลุกฮือก่อความไม่สงบโดยการใช้อาวุธในพื้นที่ที่เรียกว่า เนเธอร์แลนด์ออสเตรีย (the Austrian Netherlands) ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. 1789
จากเหตุการณ์ที่ผู้คนในโรงอุปรากรถูกปลุกเร้าอารมณ์ด้วยอุปรากรเรื่อง La Muette de Portici และเพลง Amour sacre de la patrie จนต่างลุกฮือออกจากโรงอุปรากรมาร่วมกับฝูงชนที่เตรียมพร้อมอยู่ด้านนอก พร้อมกับธงสัญลักษณ์การปฏิวัติบราบันท์ การปฏิวัติเบลเยี่ยม ค.ศ. 1830 ก็ได้เริ่มขึ้น ประชาชนชาวเบลเยี่ยมได้กลายเป็นกองทัพประชาชนตามเนื้อเพลง Amour sacre de la patrie และพยายามจะยึดบรัสเซลส์จากการปกครองของสหราชอาณาจักรแห่งเนเธอร์แลนด์ของพระเจ้าวิลเลียมที่หนึ่ง
เจ้าชายวิลเลียม พระราชโอรสของพระเจ้าวิลเลียมที่หนึ่งได้นำกองกำลังทหารดัตช์ไปปราบพวกกบฏแต่ไม่สำเร็จ ทำให้ต้องมีการเจรจากัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปสามสัปดาห์ เจ้าชายวิลเลียมได้ระดมกองกำลังเข้าโจมตีบรัสเซลส์อีกครั้งแต่ถูกตี ต้องถอยร่นกลับไป และยังมีกองกำลังจากลักเซมเบอร์กเข้ามาร่วมสมทบกับพวกเบลเยี่ยมอีก จนในที่สุด เมื่อเวลาผ่านไปสองเดือน เบลเยี่ยมก็สามารถจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวของตนขึ้น และประกาศอิสรภาพในวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 1830
กล่าวได้ว่า การปฏิวัติเดือนกรกฎาคมในฝรั่งเศสส่งผลต่อการปฏิวัติของเบลเยี่ยมในปี ค.ศ. 1830 และจากการปฏิวัติดังกล่าวทำให้เบลเยี่ยมเป็นอิสระจากการเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ภายใต้พระเจ้าวิลเลียมที่หนึ่ง อย่างที่เคยกล่าวไปแล้วว่า การปฏิวัติฝรั่งเศสเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1830 ทำให้กษัตริย์ราชวงศ์บูร์บองต้องมีอันสิ้นสุดลง และมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1814 และเป็นที่มาของรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส ค.ศ. 1830 กระแสปฏิวัติในฝรั่งเศสได้ระบาดมายังเบลเยี่ยมด้วย
อย่างไรก็ตาม การอธิบายประวัติศาสตร์การปฏิวัติของเบลเยี่ยมในปี ค.ศ. 1830 ก็ไม่ต่างจากการอธิบายประวัติศาสตร์การเมืองของไทยที่มีการตีความที่แตกต่างกัน การเขียนประวัติศาสตร์เบลเยี่ยมช่วงนี้สามารถแบ่งอย่างหยาบๆออกเป็นการอธิบายแบบฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวา โดยฝ่ายซ้ายในที่นี้คือฝ่ายที่อยู่ภายใต้อุดมการณ์สังคมนิยม ฝ่ายสังคมนิยมจะจะอธิบายว่า การปฏิวัติของเบลเยี่ยมที่นำไปสู่การแยกตัวออกจากเนเธอร์แลนด์และนำไปสู่การกำเนิดประเทศและมีรัฐธรรมนูญการปกครองระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญในปี ค.ศ. 1831 นั้น มิได้เกิดจากการลุกฮือขึ้นของชาวเมืองเบลเยี่ยมที่มีฐานะอย่างที่พบในตำราเรียนทั่วไปในเบลเยี่ยมปัจจุบัน แต่การปฏิวัติเบลเยี่ยมในปี ค.ศ. 1830 เกิดจากมวลมหาประชาชนที่เป็นคนชั้นล่าง กรรมาชีพที่กำลังเติบโตขึ้น รวมทั้งคนจนในเมือง แต่เนื่องจากชนชั้นล่างขาดการจัดตั้งและมีผู้นำ ทำให้ชนชั้นที่มีฐานะฉกฉวยการนำในการปฏิวัติไป
การใช้คำว่า “การฉกฉวยการนำการปฏิวัติ” ทำให้ผู้เขียนนึกถึงเหตุการณ์ทางการเมืองในอียิปต์ในปี ค.ศ. 2011 ที่ประชาชนชาวอียิปต์ออกมาประท้วงขับไล่ ประธานาธิบดีมุมบารัค ซึ่งในตอนแรก ทหารและกองทัพยังไม่ได้ออกมามีทีท่าอย่างไร แต่กองทัพอียิปต์ติดตามประเมินความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ถ้ารัฐบาลเข้มแข็งพอที่จะปราบปรามหรือสกัดการต่อต้านของประชาชนได้ กองทัพก็จะยืนอยู่ข้างรัฐบาลนั้นเพื่อรักษาเสถียรภาพและสถานะสิทธิพิเศษของกองทัพไว้ เพราะหลายทศวรรษที่ผ่านมาจนกระทั่งต้นปี ค.ศ. 2011 กองทัพอียิปต์สนับสนุนระบอบการปกครองที่รวบอำนาจโดยประธานาธิบดีมุมบารัคมาตลอด เพราะมุมบารัคสามารถควบคุมตรวจสอบกระแสต่อต้านของประชาชนไว้ได้โดยผ่านมาตรการการออกกฎหมายพิเศษ และมุมบารัคเองก็เข้มแข็งพอที่จะยังอยู่ในอำนาจต่อไปเรื่อยๆ ได้ กองทัพอียิปต์ก็ยังคงรักษาสิทธิพิเศษอันมหาศาลของตนไว้ได้ภายใต้การปกครองของมุมบารัค และด้วยเหตุนี้ กองทัพมีแรงจูงใจที่จะสนับสนุนระบอบมุมบารัคอยู่ตราบเท่าที่มุมบารัคยังคงมีอำนาจ มากพอที่จะรักษาสถานการณ์ไว้ได้ แต่ในที่สุด กองทัพกลับเปลี่ยนมาต่อต้านมุมบารัค
คำถามคือ แล้วอะไรคือแรงจูงใจให้ทหารหันมาต่อต้านทำรัฐประหารโค่นล้มมุมบารัค หากในตอนแรกเริ่มก่อนหน้านี้ ยังให้การสนับสนุนอยู่ ?
คำตอบคือ เป็นไปได้ว่า พลวัตรทางอำนาจระหว่างรัฐบาลกับประชาชนเริ่มเปลี่ยน ฝ่ายประชาชนที่ออกมาต่อต้านเริ่มที่จะมีอำนาจมากพอที่จะต้านทานการปราบปรามควบคุมของรัฐบาล ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงในพลวัตรแห่งอำนาจนี้อาจจะเป็นสาเหตุที่เปลี่ยนแรงจูงใจของกองทัพ และเมื่อดุลอำนาจเปลี่ยนไปทางฝ่ายประชาชน กองทัพมีทางเลือกอยู่ ๓ ทาง นั่นคือ
1. เข้าข้างรัฐบาลและใช้กำลังปราบปรามฝ่ายประท้วง โดยทั่วไป ทางเลือกนี้มักจะไม่เป็น “ประโยชน์” ต่อกองทัพ เพราะถ้ากองทัพใช้กำลังจัดการกับประชาชน กองทัพก็อาจจะเจอสถานการณ์ที่ต้องเผชิญหน้ากับการตอบโต้จากอำนาจต่างประเทศ ที่ให้ความช่วยเหลือต่อกลุ่มปฏิวัติ ดังที่เกิดขึ้นในกรณีของลิเบียในปี ค.ศ. 2011 การใช้กำลังกับประชาชนอาจจะทำให้กองทัพต้องเสี่ยงต่อการสูญเสีย ความนิยมและสิทธิพิเศษในสังคมอย่างไม่สามารถกู้กลับคืนมาได้ อีกทั้ง กองทัพยังอาจจะต้องเสี่ยงกับการเอาใจออกห่างจากทหารชั้นผู้น้อยที่อาจจะปฏิเสธที่จะยิงใส่ประชาชนผู้ประท้วง แถมยังอาจจะก่อตัวทำรัฐประหารต่อรัฐบาลและผู้นำกองทัพอีกด้วย ซึ่งถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อันตรายอย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะในประเทศที่กองกำลังส่วนใหญ่ของกองทัพเป็นทหารเกณฑ์ ทหารเกณฑ์มีแนวโน้มที่จะมีใจให้ฝ่ายประชาชนมากกว่าทหารอาชีพ และจากปัจจัยที่ทหารชั้นผู้น้อยอาจจะขัดขืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งในการใช้ความรุนแรงกับประชาชนทั่วไป ย่อมส่งผลต่อการสูญเสียการบังคับบัญชา
2. คงความเป็นกลาง ปล่อยให้การความสับสนวุ่นวายหรือการปฏิวัติดำเนินไป ซึ่งทางเลือกนี้ก็ถือว่าเสี่ยงอีกเช่นกัน เพราะถ้าฝ่ายประชาชนชนะสามารถโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการได้ ประชาชนก็จะเป็นตัวแสดงที่มีบทบาทสำคัญในกระบวนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตย กองทัพจะไม่มีบทบาทนำ และในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ ประชาชนอาจจะล้มล้างหรือจำกัดอภิสิทธิ์หรือสถานะพิเศษที่กองทัพเคยมี ด้วยเหตุผลที่ว่าในช่วงที่ประชาชนต้องดิ้นรนต่อสู้ แต่ทหารกลับอยู่เฉยๆ
3. เลือกทำรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาล และรับบทกำกับควบคุมกระบวนการเปลี่ยนผ่านที่ลงเอยด้วยการผ่องถ่ายอำนาจไปสู่ประชาชนในภายหลัง ทางเลือกนี้จะทำให้กองทัพสามารถเล่นบทบาทในการวางรากฐานระบอบที่มีเสถียรภาพมากกว่า และในสายตาของประชาชน กองทัพจะยังคงรักษา ความเป็นสถาบันที่น่าเชื่อถือไว้วางใจ และกองทัพยังคงรักษาผลประโยชน์ของตนไว้ได้ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของผู้นำกองทัพ ด้วยเหตุนี้ การทำรัฐประหารจึงเป็นทางเลือกที่ให้ประโยชน์สำหรับกองทัพ นั่นคือ สามารถรักษาความต่อเนื่องและเสถียรภาพไว้ได้ ผลประโยชน์ดังกล่าวนี้จะบรรลุได้โดยผ่านการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานของโครงสร้างการปกครอง
จากที่กล่าวไปข้างต้น ทำให้เข้าใจได้ว่า ทำไมกองทัพอียิปต์จึงตัดสินใจย้ายข้างและ “ฉกฉวยการนำการปฏิวัติ” ในปี ค.ศ. 2011 เหตุผลของกองทัพอาจจะนำมาใช้เป็นแนวทางในการอธิบายสาเหตุที่ชนชั้นที่มีฐานะฉกฉวยการนำการปฏิวัติเบลเยี่ยมจากพวกมวลชนชนชั้นล่าง แม้ว่าทั้งสองชนชั้นนี้จะมีเป้าหมายเฉพาะหน้าร่วมกัน นั่นคือ การเป็นอิสระจากเนเธอร์แลนด์และการตั้งประเทศของตนขึ้น แต่ถ้าพิจารณาภายใต้อุดมการณ์สังคมนิยม เป้าหมายในระยะยาวของสองชนชั้นนี้ไปด้วยกันไม่ได้
จากคำอธิบายของฝ่ายซ้าย เห็นว่า เบลเยี่ยมไม่เคยเป็นอิสระมาเลย ยกเว้นช่วงเวลาไม่กี่เดือนของปี ค.ศ. 1790 ข้อความดังกล่าวนี้ ถ้าตัด “ยกเว้นช่วงเวลาไม่กี่เดือนของปี ค.ศ. 1790” ออกไป คำอธิบายของฝ่ายขวากับฝ่ายซ้ายจะไม่แตกต่างกัน เพราะไม่มีฝ่ายใดๆในเบลเยี่ยมคิดว่า เบลเยี่ยมเคยมีช่วงที่เป็นอิสระเลย อะไรทำให้ฝ่ายซ้ายเห็นว่า มีช่วงเวลาในปี ค.ศ. 1790 ที่เบลเยี่ยมมีความเป็นอิสระ แต่ฝ่ายขวากลับไม่เห็นเช่นนั้น ?
ไชยันต์ ไชยพร
การต่อต้าน พระเจ้าวิลเลียมที่หนึ่งแห่งสหราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ แบ่งออกเป็นสองพวก คือ พวกคาทอลิกและพวกเสรีนิยม พวกคาทอลิกต่อต้านพระเจ้าวิลเลียมที่หนึ่ง เพราะเห็นว่านโยบายการศึกษาที่เปิดกว้างในทางศาสนาของพระองค์เป็นอุปสรรคต่อการอบรมสั่งสอนและความศรัทธาในศาสนาของพวกคาทอลิก แม้ว่านโยบายต่างๆ ของพระเจ้าวิลเลียมที่หนึ่งจะเป็นเรื่องที่ดี จากการที่พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่รับเอาแนวคิดและภูมิปัญญาสมัยใหม่ในยุคแห่งแสงสว่าง (the Enlightenment) แต่พวกเสรีนิยมมองว่า การที่พระองค์ทรงใช้พระราชอำนาจของพระองค์ในการกำหนดนโยบายต่างๆ ด้วยพระองค์เอง โดยไม่เปิดให้สังคมได้มีส่วนร่วมหรือวิพากษ์วิจารณ์ ถือเป็นการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจไว้ที่ตัวเองคนเดียว (autocracy) เป็นสิ่งที่พวกเสรีนิยมไม่เห็นด้วย เพราะการปกครองของพระเจ้าวิลเลียมที่หนึ่งเข้าข่ายเป็นเผด็จการที่ทรงภูมิธรรม (enlightened despotism) จากความขัดแย้งไม่พอใจต่อรัฐบาลร่วมกันทำให้พวกเสรีนิยมหันมาประนีประนอมกับพวกคาทอลิกเพื่อร่วมพลังในการรณรงค์ต่อต้าน
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1830 การปฏิวัติในฝรั่งเศสส่งผลให้เปลี่ยนกษัตริย์ พระเจ้าชาร์ลสที่สิบ ราชวงศ์บูร์บองมาเป็นพระเจ้าหลุยส์-ฟิลลิปแห่งราชวงศ์ออร์ลีนส์ และมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจำกัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์มากขึ้น การเปลี่ยนตัวผู้ปกครองและราชวงศ์ในฝรั่งเศสได้กลายเป็นแบบอย่างที่ระบาดมาถึงเบลเยี่ยม ที่มีการรวมตัวกันต่อต้านพระเจ้าวิลเลียมที่หนึ่งอยู่แล้ว
การปฏิวัติได้ปะทุขึ้นในค่ำของวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 1830 ที่โรงอุปรากรชื่อ La Monnaie ของเบลเยี่ยม ได้จัดให้มีการแสดงอุปรากรเรื่อง La Muette de Portici (หญิงใบ้แห่งโปตีซี) ของ ดาเนียล โวเบอร์ ( Daniel-François-Esprit Auber) คีตกวีและผู้อำนวยการสถาบันดนตรีฝรั่งเศส La Muette de Portici มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับการก่อการกบฏของชาวเมืองเนเปิลส์ต่อการปกครองของสเปนในปี ค.ศ. 1647 และในฉากหนึ่งจะมีการร้องเพลงชื่อว่า “Amour sacre de la patrie” (ความรักอันสูงส่งต่อบ้านเกิดเมืองนอน) ที่มีเนื้อร้องว่า “จับอาวุธเถิด ประชาชน ! สร้างกองทหารขึ้น ! เดินกันเถอะ เดิน ! มีเพียงเลือดของพวกที่ไม่บริสุทธิ์..ที่ต้องหลั่งริน ไปกันเถอะ ! ลูกหลานแห่งปิตุภูมิ ! วันแห่งความรุ่งโรจน์มาถึงแล้ว ! เราต้องต่อต้านเผด็จการ....ทาสฝูงนี้ต้องการอะไร ผู้ทรยศ กษัตริย์ผู้สมคบคิด ?....”
หลังจากที่นักแสดงได้ร้องเพลง “Amour sacre de la patrie” อารมณ์ของผู้ชมได้ถูกปลุกให้รุนแรง ผู้ชมได้ส่งเสียงขอให้นักแสดงร้องเพลงนี้ซ้ำอีก โดยเฉพาะท่อนที่กล่าวให้ประชาชนจับอาวุธจนทำให้เหล่าผู้ชมทนไม่ได้ ได้กลายเป็นกองกำลังฝูงชนที่ลุกฮือขึ้นเพื่อบ้านเมืองของตน และพากันออกโรงอุปรากร ในขณะที่ได้มีการเตรียมฝูงชนอีกกลุ่มหนึ่งอยู่ด้านนอก ต่างเข้าร่วมในการประท้วง และมีการเตรียมธงสามสีอันเป็นสัญลักษณ์ของช่วงเวลาที่เบลเยี่ยมเคยเป็นอิสระและเป็นสาธารณรัฐ หรือที่เรียกช่วงเวลานั้นว่า ช่วงระหว่างเดือนตุลาคม ค.ศ. 1789 ถึงธันวาคม ค.ศ. 1790 อันเป็นช่วงเวลาที่รู้จักกันในประวัติศาสตร์ยุโรปว่า การปฏิวัติบราบันท์ (the Brabant Revolution) ที่เกิดขึ้นระหว่างเดือนตุลาคม ค.ศ. 1789 ถึงธันวาคม ค.ศ. 1790 ในช่วงการปฏิวัติบราบันท์ ได้มีการลุกฮือก่อความไม่สงบโดยการใช้อาวุธในพื้นที่ที่เรียกว่า เนเธอร์แลนด์ออสเตรีย (the Austrian Netherlands) ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. 1789
จากเหตุการณ์ที่ผู้คนในโรงอุปรากรถูกปลุกเร้าอารมณ์ด้วยอุปรากรเรื่อง La Muette de Portici และเพลง Amour sacre de la patrie จนต่างลุกฮือออกจากโรงอุปรากรมาร่วมกับฝูงชนที่เตรียมพร้อมอยู่ด้านนอก พร้อมกับธงสัญลักษณ์การปฏิวัติบราบันท์ การปฏิวัติเบลเยี่ยม ค.ศ. 1830 ก็ได้เริ่มขึ้น ประชาชนชาวเบลเยี่ยมได้กลายเป็นกองทัพประชาชนตามเนื้อเพลง Amour sacre de la patrie และพยายามจะยึดบรัสเซลส์จากการปกครองของสหราชอาณาจักรแห่งเนเธอร์แลนด์ของพระเจ้าวิลเลียมที่หนึ่ง
เจ้าชายวิลเลียม พระราชโอรสของพระเจ้าวิลเลียมที่หนึ่งได้นำกองกำลังทหารดัตช์ไปปราบพวกกบฏแต่ไม่สำเร็จ ทำให้ต้องมีการเจรจากัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปสามสัปดาห์ เจ้าชายวิลเลียมได้ระดมกองกำลังเข้าโจมตีบรัสเซลส์อีกครั้งแต่ถูกตี ต้องถอยร่นกลับไป และยังมีกองกำลังจากลักเซมเบอร์กเข้ามาร่วมสมทบกับพวกเบลเยี่ยมอีก จนในที่สุด เมื่อเวลาผ่านไปสองเดือน เบลเยี่ยมก็สามารถจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวของตนขึ้น และประกาศอิสรภาพในวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 1830
กล่าวได้ว่า การปฏิวัติเดือนกรกฎาคมในฝรั่งเศสส่งผลต่อการปฏิวัติของเบลเยี่ยมในปี ค.ศ. 1830 และจากการปฏิวัติดังกล่าวทำให้เบลเยี่ยมเป็นอิสระจากการเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ภายใต้พระเจ้าวิลเลียมที่หนึ่ง อย่างที่เคยกล่าวไปแล้วว่า การปฏิวัติฝรั่งเศสเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1830 ทำให้กษัตริย์ราชวงศ์บูร์บองต้องมีอันสิ้นสุดลง และมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1814 และเป็นที่มาของรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส ค.ศ. 1830 กระแสปฏิวัติในฝรั่งเศสได้ระบาดมายังเบลเยี่ยมด้วย
อย่างไรก็ตาม การอธิบายประวัติศาสตร์การปฏิวัติของเบลเยี่ยมในปี ค.ศ. 1830 ก็ไม่ต่างจากการอธิบายประวัติศาสตร์การเมืองของไทยที่มีการตีความที่แตกต่างกัน การเขียนประวัติศาสตร์เบลเยี่ยมช่วงนี้สามารถแบ่งอย่างหยาบๆออกเป็นการอธิบายแบบฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวา โดยฝ่ายซ้ายในที่นี้คือฝ่ายที่อยู่ภายใต้อุดมการณ์สังคมนิยม ฝ่ายสังคมนิยมจะจะอธิบายว่า การปฏิวัติของเบลเยี่ยมที่นำไปสู่การแยกตัวออกจากเนเธอร์แลนด์และนำไปสู่การกำเนิดประเทศและมีรัฐธรรมนูญการปกครองระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญในปี ค.ศ. 1831 นั้น มิได้เกิดจากการลุกฮือขึ้นของชาวเมืองเบลเยี่ยมที่มีฐานะอย่างที่พบในตำราเรียนทั่วไปในเบลเยี่ยมปัจจุบัน แต่การปฏิวัติเบลเยี่ยมในปี ค.ศ. 1830 เกิดจากมวลมหาประชาชนที่เป็นคนชั้นล่าง กรรมาชีพที่กำลังเติบโตขึ้น รวมทั้งคนจนในเมือง แต่เนื่องจากชนชั้นล่างขาดการจัดตั้งและมีผู้นำ ทำให้ชนชั้นที่มีฐานะฉกฉวยการนำในการปฏิวัติไป
การใช้คำว่า “การฉกฉวยการนำการปฏิวัติ” ทำให้ผู้เขียนนึกถึงเหตุการณ์ทางการเมืองในอียิปต์ในปี ค.ศ. 2011 ที่ประชาชนชาวอียิปต์ออกมาประท้วงขับไล่ ประธานาธิบดีมุมบารัค ซึ่งในตอนแรก ทหารและกองทัพยังไม่ได้ออกมามีทีท่าอย่างไร แต่กองทัพอียิปต์ติดตามประเมินความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ถ้ารัฐบาลเข้มแข็งพอที่จะปราบปรามหรือสกัดการต่อต้านของประชาชนได้ กองทัพก็จะยืนอยู่ข้างรัฐบาลนั้นเพื่อรักษาเสถียรภาพและสถานะสิทธิพิเศษของกองทัพไว้ เพราะหลายทศวรรษที่ผ่านมาจนกระทั่งต้นปี ค.ศ. 2011 กองทัพอียิปต์สนับสนุนระบอบการปกครองที่รวบอำนาจโดยประธานาธิบดีมุมบารัคมาตลอด เพราะมุมบารัคสามารถควบคุมตรวจสอบกระแสต่อต้านของประชาชนไว้ได้โดยผ่านมาตรการการออกกฎหมายพิเศษ และมุมบารัคเองก็เข้มแข็งพอที่จะยังอยู่ในอำนาจต่อไปเรื่อยๆ ได้ กองทัพอียิปต์ก็ยังคงรักษาสิทธิพิเศษอันมหาศาลของตนไว้ได้ภายใต้การปกครองของมุมบารัค และด้วยเหตุนี้ กองทัพมีแรงจูงใจที่จะสนับสนุนระบอบมุมบารัคอยู่ตราบเท่าที่มุมบารัคยังคงมีอำนาจ มากพอที่จะรักษาสถานการณ์ไว้ได้ แต่ในที่สุด กองทัพกลับเปลี่ยนมาต่อต้านมุมบารัค
คำถามคือ แล้วอะไรคือแรงจูงใจให้ทหารหันมาต่อต้านทำรัฐประหารโค่นล้มมุมบารัค หากในตอนแรกเริ่มก่อนหน้านี้ ยังให้การสนับสนุนอยู่ ?
คำตอบคือ เป็นไปได้ว่า พลวัตรทางอำนาจระหว่างรัฐบาลกับประชาชนเริ่มเปลี่ยน ฝ่ายประชาชนที่ออกมาต่อต้านเริ่มที่จะมีอำนาจมากพอที่จะต้านทานการปราบปรามควบคุมของรัฐบาล ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงในพลวัตรแห่งอำนาจนี้อาจจะเป็นสาเหตุที่เปลี่ยนแรงจูงใจของกองทัพ และเมื่อดุลอำนาจเปลี่ยนไปทางฝ่ายประชาชน กองทัพมีทางเลือกอยู่ ๓ ทาง นั่นคือ
1. เข้าข้างรัฐบาลและใช้กำลังปราบปรามฝ่ายประท้วง โดยทั่วไป ทางเลือกนี้มักจะไม่เป็น “ประโยชน์” ต่อกองทัพ เพราะถ้ากองทัพใช้กำลังจัดการกับประชาชน กองทัพก็อาจจะเจอสถานการณ์ที่ต้องเผชิญหน้ากับการตอบโต้จากอำนาจต่างประเทศ ที่ให้ความช่วยเหลือต่อกลุ่มปฏิวัติ ดังที่เกิดขึ้นในกรณีของลิเบียในปี ค.ศ. 2011 การใช้กำลังกับประชาชนอาจจะทำให้กองทัพต้องเสี่ยงต่อการสูญเสีย ความนิยมและสิทธิพิเศษในสังคมอย่างไม่สามารถกู้กลับคืนมาได้ อีกทั้ง กองทัพยังอาจจะต้องเสี่ยงกับการเอาใจออกห่างจากทหารชั้นผู้น้อยที่อาจจะปฏิเสธที่จะยิงใส่ประชาชนผู้ประท้วง แถมยังอาจจะก่อตัวทำรัฐประหารต่อรัฐบาลและผู้นำกองทัพอีกด้วย ซึ่งถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อันตรายอย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะในประเทศที่กองกำลังส่วนใหญ่ของกองทัพเป็นทหารเกณฑ์ ทหารเกณฑ์มีแนวโน้มที่จะมีใจให้ฝ่ายประชาชนมากกว่าทหารอาชีพ และจากปัจจัยที่ทหารชั้นผู้น้อยอาจจะขัดขืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งในการใช้ความรุนแรงกับประชาชนทั่วไป ย่อมส่งผลต่อการสูญเสียการบังคับบัญชา
2. คงความเป็นกลาง ปล่อยให้การความสับสนวุ่นวายหรือการปฏิวัติดำเนินไป ซึ่งทางเลือกนี้ก็ถือว่าเสี่ยงอีกเช่นกัน เพราะถ้าฝ่ายประชาชนชนะสามารถโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการได้ ประชาชนก็จะเป็นตัวแสดงที่มีบทบาทสำคัญในกระบวนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตย กองทัพจะไม่มีบทบาทนำ และในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ ประชาชนอาจจะล้มล้างหรือจำกัดอภิสิทธิ์หรือสถานะพิเศษที่กองทัพเคยมี ด้วยเหตุผลที่ว่าในช่วงที่ประชาชนต้องดิ้นรนต่อสู้ แต่ทหารกลับอยู่เฉยๆ
3. เลือกทำรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาล และรับบทกำกับควบคุมกระบวนการเปลี่ยนผ่านที่ลงเอยด้วยการผ่องถ่ายอำนาจไปสู่ประชาชนในภายหลัง ทางเลือกนี้จะทำให้กองทัพสามารถเล่นบทบาทในการวางรากฐานระบอบที่มีเสถียรภาพมากกว่า และในสายตาของประชาชน กองทัพจะยังคงรักษา ความเป็นสถาบันที่น่าเชื่อถือไว้วางใจ และกองทัพยังคงรักษาผลประโยชน์ของตนไว้ได้ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของผู้นำกองทัพ ด้วยเหตุนี้ การทำรัฐประหารจึงเป็นทางเลือกที่ให้ประโยชน์สำหรับกองทัพ นั่นคือ สามารถรักษาความต่อเนื่องและเสถียรภาพไว้ได้ ผลประโยชน์ดังกล่าวนี้จะบรรลุได้โดยผ่านการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานของโครงสร้างการปกครอง
จากที่กล่าวไปข้างต้น ทำให้เข้าใจได้ว่า ทำไมกองทัพอียิปต์จึงตัดสินใจย้ายข้างและ “ฉกฉวยการนำการปฏิวัติ” ในปี ค.ศ. 2011 เหตุผลของกองทัพอาจจะนำมาใช้เป็นแนวทางในการอธิบายสาเหตุที่ชนชั้นที่มีฐานะฉกฉวยการนำการปฏิวัติเบลเยี่ยมจากพวกมวลชนชนชั้นล่าง แม้ว่าทั้งสองชนชั้นนี้จะมีเป้าหมายเฉพาะหน้าร่วมกัน นั่นคือ การเป็นอิสระจากเนเธอร์แลนด์และการตั้งประเทศของตนขึ้น แต่ถ้าพิจารณาภายใต้อุดมการณ์สังคมนิยม เป้าหมายในระยะยาวของสองชนชั้นนี้ไปด้วยกันไม่ได้
จากคำอธิบายของฝ่ายซ้าย เห็นว่า เบลเยี่ยมไม่เคยเป็นอิสระมาเลย ยกเว้นช่วงเวลาไม่กี่เดือนของปี ค.ศ. 1790 ข้อความดังกล่าวนี้ ถ้าตัด “ยกเว้นช่วงเวลาไม่กี่เดือนของปี ค.ศ. 1790” ออกไป คำอธิบายของฝ่ายขวากับฝ่ายซ้ายจะไม่แตกต่างกัน เพราะไม่มีฝ่ายใดๆในเบลเยี่ยมคิดว่า เบลเยี่ยมเคยมีช่วงที่เป็นอิสระเลย อะไรทำให้ฝ่ายซ้ายเห็นว่า มีช่วงเวลาในปี ค.ศ. 1790 ที่เบลเยี่ยมมีความเป็นอิสระ แต่ฝ่ายขวากลับไม่เห็นเช่นนั้น ?