xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ใต้เงาจีน (32) ขุนเขาและสายน้ำแห่งกุ้ยหลิน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 กุ้ยหลิน เมืองแห่งขุนเขา สายน้ำ งามตระการตา (ภาพ : ซินหัว)
ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
ถึงแม้ว่าเมืองหนันหนิงจะเป็นเมืองเอกของกว่างซีก็ตาม แต่ดูเหมือนว่ากุ้ยหลินจะเป็นเมืองที่มีผู้คนรู้จักกันมากกว่า โดยเฉพาะนักท่องเที่ยว ดังนั้น การทำความรู้จักกับเมืองกุ้ยหลินแต่โดยสังเขปจึงเป็นการเริ่มต้นที่ดี

 กุ้ยหลินในปัจจุบันจัดเป็นเมืองระดับจังหวัดของกว่างซี ใจกลางเมืองมีแม่น้ำหลี (หลีเจียง) ไหลผ่าน และมีเขตแดนทางเหนืออยู่ติดกับมณฑลหูหนัน ชื่อของเมืองกุ้ยหลินนี้แปลได้ว่า วนาหอมหมื่นลี้ ที่ที่มีชื่อเช่นนี้ก็เพราะว่า กุ้ยหลินเป็นเมืองที่มีต้นหอมหมื่นลี้ขึ้นอยู่มากมาย 

ถึงตรงนี้ก็ต้องทำความรู้จักกับต้นหอมหมื่นลี้คั่นกลางก่อน

ต้นหอมหมื่นลี้นี้มีชื่อฝรั่งว่า สวีทออสมันธัส (sweet osmanthus) ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ ออสมันธัส ฟราแกรนส์ (Osmanthus fragrans) ส่วนชื่อไทยของต้นหอมหมื่นลี้นี้ยังมีอีกสองชื่อคือ สารภีฝรั่ง และ สารภีอ่างกา เป็นต้นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในแถบเทือกเขาหิมาลัยของอินเดียและในจีน และกระจายพันธุ์ไปยังญี่ปุ่นและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 โดยทั่วไปแล้วต้นหอมหมื่นลี้จัดเป็นไม้ประดับ แต่ในจีนได้นำเอามาทำเป็นใบชาและสุรา ข้อหลังนี้จีนเรียกว่า กุ้ยฮวาจิ่ว หรือ สุราดอกหอมหมื่นลี้ สุรานี้น่าจะจัดอยู่ในประเภทไวน์ เพราะตอนที่ผมได้ลิ้มรสนั้นรู้สึกได้ว่าแอลกอฮอล์ไม่รุนแรงมากนัก มีรสชาติหนักไปทางหวานนำ 

แต่ที่พิเศษจนดูจะเป็นเอกลักษณ์ของสุราหอมหมื่นลี้ก็คือ มีกลิ่นหอมของดอกหอมหมื่นลี้ที่โดดเด่นอย่างมาก มากจนใครที่ไม่ชอบสุรารสหวานๆ เพราะเลี่ยนก็อาจจะเบือนหน้าหนีก็ได้

การที่เมืองกุ้ยหลินมีต้นหอมหมื่นลี้อยู่มากนี้ได้กลายเป็นที่มาของชื่อเมืองไปด้วย แต่ด้วยเหตุที่เป็นเมืองที่มากด้วยขุนเขาท่ามกลางแม่น้ำหลี กุ้ยหลินจึงมีฉายาว่า กุ้ยหลินแห่งขุนเขาและสายน้ำที่งามเลิศในปฐพี (By water, by mountains, most lovely, Guilin, ซันสุ่ยเจี่ยเทียนเซี่ย,山水甲天下)

กุ้ยหลินมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน จากหลักฐานพบว่า กุ้ยหลินเริ่มถูกพูดถึงตั้งแต่ก่อนที่ราชวงศ์ฉินจะถือกำเนิดขึ้นเสียอีก คือมีหลักฐานว่าชนชาติไป่เยี่ว์ยหรือเยี่ว์ยร้อยเผ่าได้มาตั้งถิ่นฐาน ณ ที่แห่งนี้ตั้งแต่ ก.ค.ศ.314 แล้ว ครั้นถึงสมัยราชวงศ์ฉิน (ก.ค.ศ.221-206) กองทัพฉินได้รุกตีมาทางใต้ และได้ตีเอาอาณาบริเวณที่เป็นเมืองกุ้ยหลินในปัจจุบันเอาไว้ได้ จากนั้นก็จัดตั้งหน่วยปกครองและหน่วยบริหารขึ้นในอาณาบริเวณนี้

จากนั้นมากุ้ยหลินก็ได้รับการพัฒนาโดยราชวงศ์ต่างๆ เรื่อยมา บางสมัยได้มีการสร้างเมืองใหม่ในอาณาบริเวณนี้ขึ้นมาใหม่ บางสมัยก็เปลี่ยนชื่อเรียก บางสมัยก็เปลี่ยนสถานะความสำคัญของเมืองในระดับต่างๆ

 เมฆหมอกลอยห่มคลุมทะเลภูเขาเมืองกุ้ยหลิน (ภาพ : ซินหัว)
เช่น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กุ้ยหลินถือเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางการทหาร การคมนาคม และวัฒนธรรม โดยก่อนเกิดสงครามเมืองนี้มีประชากรอยู่ราว 70,000 คน แต่ก่อนสงครามจะสิ้นสุดหนึ่งปี คือในปี ค.ศ.1944 ประชากรกลับเพิ่มสูงถึง 500,000 คน เป็นต้น

ที่สำคัญ ในปี ค.ศ.1950 รัฐบาลคอมมิวนิสต์จีนได้ย้ายเมืองเอกจากกุ้ยหลินมาเป็นหนันหนิงจนปัจจุบันนี้

ความงดงามของสายน้ำและขุนเขาของเมืองกุ้ยหลินนี้หากใครได้เห็นก็ต้องยอมรับจริงๆ ก่อนที่ผมจะได้สัมผัสถึงความงดงามดังกล่าว ผมก็ได้ยินกิตติศัพท์มาก่อนแล้ว พอถึงวันที่ต้องล่องเรือยลความงามนั้น ทางเจ้าภาพได้นัดหมายพวกเราแต่เช้า เมื่อทุกอย่างพร้อมเราก็เดินทางไปยังแม่น้ำหลีเพื่อไปลงเรือ

ตอนที่ไปถึงท่าเรือเราก็เห็นสายน้ำและขุนเขาแล้ว แรกเห็นก็ว่างามแล้ว และคิดต่อไปว่า ภูมิประเทศคงเป็นอย่างนี้ไปตลอดแนวแม่น้ำ แต่พอลงเรือและเรือแล่นออกจากท่า ภาพที่เห็นกลับไม่ใช่อย่างที่คิด เพราะไม่ว่าเรือแล่นไปถึงจุดใดก็ตาม จุดนั้นจะพบแต่ภาพของขุนเขากลางสายน้ำในทุกจุด

ไม่มีจุดใดหรือมุมใดที่ไม่มีขุนเขาเป็นองค์ประกอบ ขุนเขาเหล่านี้เป็นทั้งฉากหน้าและฉากหลังไปตลอด โดยมีภาพของสายน้ำแห่งแม่น้ำหลีอยู่เบื้องหน้าโดยตลอด เราจึงเห็นภาพของขุนเขาแต่ละลูกตั้งอยู่ข้างหน้าด้วยขนาดที่ไม่เท่ากัน แต่ไม่ว่าจะขนาดไหนต่างก็มีความงดงามอยู่ในตัว

ในความคิดของผมแล้ว เสน่ห์ของขุนเขาและสายน้ำของกุ้ยหลินน่าจะอยู่ที่ภาพที่เห็นเป็นสำคัญที่สุด เพราะในขณะที่เรือแล่นไปอย่างเรื่อยๆ เหมือนตั้งใจให้เราเต็มอิ่มกับภาพเบื้องหน้านั้น สิ่งที่ทำให้ผมตะลึงก็คือ ภาพขุนเขาที่สลับเหลื่อมกันเป็นชั้นเป็นฉาก

โดยภาพในระยะใกล้เราจะเห็นขุนเขาด้วยสีที่ทึมทึบ บอกไม่ได้ว่าเป็นสีดำ เขียว หรือน้ำเงิน แต่ในระยะกลางเราจะเห็นขุนเขาที่มีสีที่จางลง พอระยะที่ไกลออกไปจนสุดตาภาพนั้นก็ยิ่งจางลงอีก และที่ผมพูดว่าระยะใกล้ ระยะกลาง และระยะไกลนี้ เป็นการพูดโดยย่อเท่านั้น ที่จริงแล้วระยะของภาพมีหลายชั้นจนนับแทบไม่ได้ แต่ละชั้นล้วนมีโทนสีหนักไปหาเบา ที่ไกลที่สุดจะเห็นเพียงยอดทิวเขาอยู่ลิบๆ มิได้เห็นทั้งลูก

ที่สำคัญ แต่ละภาพจะไม่เหมือนกัน มันเหมือนกับการเปลี่ยนฉากละครบนเวที เพียงแต่ว่าฉากที่เราเห็นอยู่นี้มีมากกว่าฉากละครไม่รู้กี่เท่า ทุกฉากทุกภาพที่เราเห็นไม่เพียงแต่จะงดงามเท่านั้น หากยังมีบางภาพที่เราแทบทุกคนถึงกับร้องด้วยความตะลึงในความงาม และที่ร้องเช่นนี้ไม่ใช่ครั้งสองครั้ง หากหลายครั้งเลยทีเดียว

 สำหรับผมแล้วนี่คือสวรรค์บนดิน ความงดงามนั้นเป็นดั่งวิมานของทวยเทพก็มิปาน

เรายลโฉมของขุนเขาและสายน้ำแห่งกุ้ยหลินตั้งแต่เช้าจนถึงเกือบเที่ยง ซึ่งได้เวลาอาหารเที่ยงแล้ว ระหว่างนั้นไกด์หนุ่มซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับท่านประธานเหมาได้แจ้งแก่พวกเราว่า อาหารเที่ยงนี้เขาได้กำหนดรายการอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว แต่มีอยู่รายการหนึ่งไม่ทราบว่าพวกเราสนใจหรือไม่ หากสนใจต้องจ่ายเงินเอง

 รายการอาหารที่ว่าคือ ปลาเป็นๆ จากแม่น้ำหลี 

รายการนี้พวกเราจะให้พ่อครัวประจำเรือทำอะไรก็ได้แล้วแต่เรา ไม่ว่าจะเจี๋ยน จะนึ่ง จะต้ม ฯลฯ ถ้าหากสนใจ ลูกเรือจะจับปลาในแม่น้ำหลีให้เราเห็นแบบตัวเป็นๆ แน่นอนว่า ไม่มีใครปฏิเสธ เพราะมาทั้งทีได้กินปลาแม่น้ำหลีเรียกได้ว่ามาถึงที่จริงๆ

พอตกลงกันเช่นนั้นเราต่างก็มาเกาะที่ราวขอบเรือเพื่อดูลูกเรือจับปลา ลูกเรือคนดังกล่าวยืนอยู่ตรงกราบเรือด้วยความช่ำชองแบบไม่กลัวว่าจะตกน้ำ มือข้างหนึ่งจับราวเอาไว้ อีกข้างหนึ่งถือกระชอนช้อนปลา พอเห็นเช่นนั้นพวกเราก็พูดกันว่า อะไรจะง่ายขนาดนั้น

แต่มันง่ายจริงๆ นะครับ เพราะด้วยลีลาเช่นนั้น ลูกเรือคนนั้นใช้เวลาไม่กี่วินาทีก็ช้อนปลาขนาดเขื่องขึ้นมาได้หนึ่งตัวในทันทีอย่างง่ายดาย และทำให้เราเห็นว่า ปลาในแม่น้ำหลีนี้ชุกชุมเหลือเกิน ซึ่งนั่นเท่ากับว่า เวลานั้นระบบนิเวศน์ของแม่น้ำหลียังอุดมสมบูรณ์ดีอยู่

อาหารรายการนี้เราให้พ่อครัวบนเรือนำไปทำเป็นปลาราดเต้าเจี้ยว ผมจำได้ว่ารสชาติดี เนื้อปลาไม่เหนียวและไม่นุ่มจนเกินไป แต่ที่จำไม่ได้แน่ก็คือ ก้างปลา ที่ผมคลับคล้ายคลับคลาว่ามีมากกว่าปลาทั่วไป แต่ไม่มากเท่าก้างปลาตะเพียนที่กินกันในบ้านเรา

เสร็จจากอาหารเที่ยงก็ถึงเวลาอำลาขุนเขาและสายน้ำแห่งกุ้ยหลินด้วยความทรงจำที่งดงาม


กำลังโหลดความคิดเห็น