xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ใต้เงาจีน (31)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เทศกาลขับร้องลำนำเพลงของชาวจ้วง (Zhuang Song Festival)  ในเขตปกครองตัวเองชนชาติจ้วงแห่งกว่างซี ภาพ : สำนักข่าวซินหวา

ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล


หนุ่มกว่างซีตัดพ้อประธานเหมา

ถัดจากซีอันเราก็ไป  เขตปกครองตนเองชนชาติจ้วงแห่งกว่างซี  เป็นลำดับต่อไป ถึงตรงนี้ก็ขอกล่าวก่อนว่า ถ้าเราได้ยินชื่อหน่วยปกครองของจีนเป็นเขตปกครองตนเองแล้วก็แสดงว่า หน่วยปกครองนั้นมีชนชาติที่มิใช่จีนอยู่เป็นจำนวนมาก คืออาจมากกว่าชนชาติจีน และจ้วงก็เป็นชนชาติส่วนใหญ่ในกว่างซี

 คำว่า กว่างซี หมายถึง แผ่นดินตะวันตกอันไพศาล ในอดีตเมื่อครั้งที่ยังมีฐานะเป็นมณฑลนั้น กว่างซีเป็นจะถูกเรียกคู่กับมณฑลกว่างตงอยู่เสมอ โดยคำว่า กว่างตง หมายถึง แผ่นดินตะวันออกอันไพศาล และคำที่ใช้เรียกขานคู่กันนั้นก็มักจะเรียกอย่างย่อว่า เหลียงกว่าง ซึ่งแปลว่า สองกว่าง เพื่อให้หมายถึงกว่างซีและกว่างตง 

ดังนั้น เวลาที่ทางส่วนกลาง (เมืองหลวง) ของจีนแต่งตั้งขุนนางไปปกครองมณฑลกว่างตง ก็มักจะให้ปกครองมณฑลกว่างซีควบคู่ไปด้วย และจะเรียกผู้ว่าการคนนั้นว่า ผู้ว่าสองกว่าง ดังนั้น ชาวจีนในอดีตหากได้ยินคำว่า ผู้ว่าสองกว่าง แล้วก็จะเข้าใจทันทีว่า ผู้ว่าคนนั้นปกครองมณฑลกว่างซีและกว่างตงควบกันไป

ประเด็นคำถามต่อมาคือ ชนชาติจ้วงคือใคร?

 กล่าวกันว่า ชนชาติจ้วงเป็นอนุชนชาติหนึ่งของชนชาติเยี่ว์ย การกล่าวเช่นนี้ก็หมายความว่า ชนชาติเยี่ว์ยย่อมต้องแบ่งย่อยเป็นอนุชนชาติอยู่อีก และความจริงก็เป็นเช่นนั้น เพราะชนชาติเยี่ว์ยนี้มีชื่อที่เรียกขานกันเต็มๆ ว่า ไป่เยี่ว์ย ซึ่งแปลว่า เยี่ว์ยร้อยเผ่า 

คำว่า เยี่ว์ยร้อยเผ่า ไม่ได้หมายความว่าชนชาติเยี่ว์ยถูกแบ่งย่อยเป็นอนุชนชาติได้ 100 เผ่าดังคำที่เรียกไม่ เพราะคำว่า ร้อย (ไป่) ของจีนมักจะหมายถึง มากนัก คือมีมากมายจนยากที่จะนับได้อย่างครบถ้วน เหมือนกับที่ไทยใช้คำว่า ห้าร้อย เวลาต้องการสื่อว่ามีอยู่มากมาย เช่นนี้แล้วก็แสดงว่า จ้วงเป็นส่วนหนึ่งของชนชาติเยี่ว์ย ซึ่งก็คือเป็นอนุชนชาติเยี่ว์ยนั้นเอง

ส่วนภาษาที่ชนชาติจ้วงใช้พูดกันก็เป็นภาษาใน ตระกูลขร้า-ไท ภาษาจ้วงจึงคล้ายภาษาไทยที่เราคนไทยพูดกัน เช่น คำว่า พ่อ จ้วงจะพูดว่า ปอ หรือ พอ คำว่า แม่ ก็ใช้ว่า แม่ เหมือนกับไทย หรือคำว่า ควาย จ้วงก็พูดว่า หว่าย คำว่า ไถนา จ้วงพูดว่า ไจ๋หนา หรือ ไถหน่า เป็นต้น เรียกได้ว่าคล้ายกันมากจนเหมือนกับเป็นเครือญาติกัน แต่ถ้าให้ไปนั่งฟังจริงๆ คงต้องให้ชาวจ้วงพูดช้าๆ หาไม่แล้วจะฟังไม่ทันแล้วจะไม่รู้เรื่อง

หลายปีหลังจากที่ไปเยือนกว่างซีครั้นนั้นแล้วผมก็รู้มาอีกว่า ชาวจ้วงเวลาพูดคุยกันในครอบครัวจะใช้คำว่า กู-มึง แทนคำเรียกในหมู่พ่อแม่ลูก ฟังดูแล้วไทยเราก็คงจะรู้สึกไม่ถนัดใจ แต่ก็แสดงให้เห็นไปด้วยว่า ภาษาที่คนจ้วงใช้นั้นเป็นภาษาไทแบบดั้งเดิมจริงๆ และเขาก็ใช้เช่นนั้นเรื่อยมาไม่เคยเปลี่ยน คนที่เปลี่ยนกลับเป็นเราคนไทยต่างหาก

  เสาหิน ของชาวจ้วง ที่หมายถึงความแข็งแรง ความไม่หวั่นไหว
 กว่างซีมีเมืองเอกคือ หนันหนิง แต่หนันหนิงกลับเป็นที่รู้จักรองลงมาจากอีกเมืองหนึ่งคือ กุ้ยหลิน อันเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อในฐานะแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวต้องมาปักหมุดกัน ประมาณว่า ถ้ามาถึงกว่างซีแล้วไม่ได้ไปเยือนกุ้ยหลินก็เหมือนกับมาไม่ถึงกว่างซี จากเหตุนี้ การไปเยือนกุ้ยหลินจึงเป็นหมุดหมายที่สำคัญมากของนักท่องเที่ยว 

คิดถึงเรื่องนี้แล้วก็ให้นึกเจ็บใจตัวเองอยู่เรื่องหนึ่งคือ มีครั้งหนึ่งผมได้ขอให้อดีตลูกศิษย์คนหนึ่งช่วยเป็นล่ามให้กับคณะนักธุรกิจไทยเชื้อสายจีนคณะหนึ่ง นักธุรกิจคณะนี้จะไปหาลู่ทางการลงทุนที่กว่างซี แน่นอนว่า เมื่อเสร็จภารกิจจากเรื่องธุรกิจแล้ว กำหนดการหนึ่งที่จะไปเยือนกันก็คือ กุ้ยหลิน และผมก็ได้บอกกับลูกศิษย์ของผมล่วงหน้าในเรื่องนี้ตั้งก่อนเดินทางแล้ว

การทำหน้าที่ล่ามของลูกศิษย์ผมเป็นไปด้วยดี และพอเสร็จเรื่องงานแล้วทางจีนก็พาเราไปเยือนกุ้ยหลินเป็นลำดับต่อไป ซึ่งตอนนั้นผมก็ได้คุยให้ลูกศิษย์ผมฟังว่า กุ้ยหลินสวยงามอย่างไรบ้าง แต่แล้วก็ได้รับแจ้งเจ้าหน้าที่จีนว่า คณะของเราไม่อาจไปกุ้ยหลินได้ เหตุเพราะในเวลานั้นกว่างซีเจอกับภัยแล้งมานานนับเดือน และทำให้น้ำในแม่น้ำหลี (หลีเจียง) อันเป็นที่ตั้งของแหล่งท่องเที่ยวกุ้ยหลินตื้นเขินจนเรือมิอาจแล่นไปได้

พอได้ยินเช่นนั้นผมก็เข่าแทบทรุด เพราะตัวเองได้ไปโม้ให้ลูกศิษย์ฟังเอาไว้มากมาย จากนั้นผมก็ให้สัญญากับเธอว่า ผมจะพยายามหาทางแก้ตัวในเรื่องนี้ให้ได้ แต่นี่เวลาก็ผ่านมาสิบกว่าปีแล้วผมก็ยังไม่อาจทำตามสัญญาได้ จนเธอมีครอบครัวและมีลูกที่กำลังจะโตเป็นสาวแล้ว

อย่างไรก็ตาม ที่กว่างซีนี้เราได้พบกับไกด์ท้องถิ่นเป็นคนนำเที่ยว ไกด์คนนี้เป็นเด็กหนุ่มที่เพิ่งจบมหาวิทยาลัยมาไม่กี่ปี และพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วเพราะเขาจบเอกภาษาอังกฤษมา แต่ที่ผมต้องพูดถึงไกด์คนนี้ก็เพราะว่า เขาแตกต่างจากไกด์คนอื่นที่เราเจอมาก่อนหน้านี้อยู่เรื่องหนึ่ง

 นั่นคือ เรารู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ดูจะคับแค้นประธานเหมาเจ๋อตง อดีตผู้นำจีนเสียเหลือเกิน ทุกที่ที่เราผ่านไปเขามักจะบอกเล่าสถานที่แห่งนั้นด้วยดี แต่ทุกครั้งก็มิวายที่จะต้องย้อนอดีตไปถึงสมัยเหมาเรืองอำนาจว่า มันไม่ดีอย่างไรบ้าง 

เช่น ถ้าเขาพาเราไปถึงสถานที่หนึ่งแล้วบอกว่า สถานที่แห่งนั้นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้ก็ด้วยมีชาวบ้านมาช่วยกันสร้างมันขึ้นมา แต่ชาวบ้านเหล่านั้นไม่ได้ค่าแรงแม้แต่สลึงเดียว คือทุกคนลงแรงไปฟรีๆ เป็นต้น

ทั้งๆ ที่จริงแล้วตอนนั้นพรรคคอมมิวนิสต์จีนเพิ่งยึดอำนาจการปกครองได้ไม่นาน บ้านเมืองหลังสงครามชิงแผ่นดินอยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด ทางการจีนจึงต้องฟื้นฟูประเทศอย่างเร่งด่วน และวิธีที่จะทำได้เร็ววิธีหนึ่งก็คือ การระดมแรงงานทั่วประเทศให้ช่วยกันบูรณะประเทศจากความพังพินาศขึ้นใหม่ ใครอยู่พื้นที่ไหนก็ให้ฟื้นฟูในพื้นที่ที่ตนอาศัยอยู่

ผลคือ ชาวจีนจำนวนนับล้านคนต่างก็ทุ่มกายเทใจให้กับการฟื้นฟูประเทศ เวลาผ่านไปไม่กี่ปีก็สามารถทำให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง อะไรที่เคยพังพินาศจากสงครามกลางเมืองระหว่างกว๋อหมินตั่งกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ดูใหม่ขึ้นมา

ที่สำคัญ การระดมแรงงานในเวลานั้นต้องอาศัยจิตอาสากันตรงๆ เพราะพรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่มีปัญญาที่จะหาค่าแรงมาจ่ายได้เลย เพราะตอนยึดอำนาจมาได้นั้น พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้มาก็แต่ความล่มสลายของบ้านเมือง ที่จะหาค่าแรงมาจ่ายนั้นเป็นอันเลิกคิดกัน ลำพังแค่ทำให้คนจีนมีข้าวกินสามมื้อได้สำเร็จก็นับว่าดีอักโขแล้ว

 ดังนั้น ที่พ่อหนุ่มไกด์คนนี้คิดและพูดจึงมิใช่อะไรอื่น หากแต่คือ ความคับแค้นใจที่มีต่อเศรษฐกิจสังคมนิยมในยุคเหมาที่ดำเนินไปอย่างเข้มข้น เป็นยุคที่ลัทธิทุนนิยมไม่อาจโงหัวขึ้นมาได้ ยุคนี้จึงไม่มีชนชั้นนายทุนโผล่มาให้เห็นแม้แต่คนเดียว แต่ในยุคที่พ่อหนุ่มคนนี้เติบโตเป็นหนุ่มนั้น เป็นยุคที่เศรษฐกิจจีนมีความเป็นเสรีนิยมมากแล้ว การคิดถึงเรื่องค่าแรงหรือค่าตอบแทนจึงถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา 

ใครลองกินแรงใครฟรีแล้วล่ะก็รับรองได้ว่า มีเรื่องแน่

แต่กระนั้น คณะของเราก็รับฟังพ่อหนุ่มคนนี้ด้วยดีและเข้าใจความรู้สึกของเขา และนอกจากเขาแล้วเราก็ไม่เคยพบไกด์คนไหนที่แสดงคับแค้นใจต่อประธานเหมาอีกเลย ไม่ว่าทั้งก่อนหน้าหรือหลังจากนั้น แต่เราก็ชอบเขาอยู่เรื่องหนึ่งคือ บางช่วงที่ต้องใช้เวลาเดินทางนานจนไม่มีอะไรจะคุยแล้ว เขาจะเอาขลุ่ยไม้ที่นำติดตัวมาขึ้นมาเป่าให้พสกเราฟัง ซึ่งเขาก็เป่าได้ไพเราะเลยทีเดียว


กำลังโหลดความคิดเห็น