xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

อำนาจในมุมมองนักปราชญ์ (15-3): มิเชล ฟูโกต์- อำนาจวินัย ชีวอำนาจและการปกครองชีวญาณ / Phichai Ratnatilaka Na Bhuket

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

แนวคิดอำนาจของมิเชล ฟูโกต์ยังมีประเด็นที่น่าสนใจอีกสองประเด็น แนวคิดแรกคือ  อำนาจวินัย (Disciplinary Power) ที่มีบทบาทในการกำหนดบงการร่างกายและจิตใจของมนุษย์ ถัดมาคือ  แนวคิดชีวอำนาจและการปกครองที่ลงลึกในระดับจิตใจ หรือที่นักวิชาการบางท่านเรียกว่า การปกครองชีวญาณ ( Biopower and Governmentality) ที่มีบทบาทสำคัญต่อการกำหนดพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของผู้คนและทางเลือกในการใช้ชีวิตของมนุษย์

 อำนาจวินัย หมายถึง การใช้วิธีที่ละเอียดอ่อนและแผ่ซ่านแทรกซึมเข้าไปในร่างกายและจิตใจของบุคคลอำนาจวินัยได้รับการกำหนดรูปแบบและควบคุมผ่านสถาบันและแนวปฏิบัติทางสังคมต่าง ๆ อำนาจนี้แตกต่างจากอำนาจรัฐที่อาศัยกำลังโดยตรงและการลงโทษในการควบคุมประชาชน อำนาจทางวินัยดำเนินการผ่านการทำให้เป็นมาตรฐาน การเฝ้าระวัง และการสร้างวินัยภายในบุคคล

ลักษณะสำคัญของอำนาจวินัย ประการแรกคือ การทำให้เป็นมาตรฐาน (Normalization) หรือความเป็นปกติ ในการนี้อำนาจทางวินัยพยายามทำให้บุคคลและกลุ่มคิดและปฏิบัติให้เป็นมาตรฐานเดียวกันโดยการสร้างมาตรฐาน กฎเกณฑ์ และความคาดหวังสำหรับพฤติกรรม ขณะเดียวกันก็มีการกำหนดว่าการคิดและปฏิบัติแบบใดที่เป็นการเบี่ยงเบนไปจากบรรทัดฐาน บุคคลใดที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนจะถูกตีตราว่าเป็นคนที่ผิดปกติ และมักได้รับการลงโทษหรือถูกสั่งให้แก้ไขปรับปรุง

 ประการที่สองคือ การมีระบบสอดส่องเฝ้าระวัง (Surveillance) อำนาจทางวินัยอาศัยการสอดแนมเฝ้าระวังจับตาดูความคิด การพูด และการกระทำของผู้คนอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือจินตนาการก็ตาม เพื่อให้แน่ใจว่าพฤติกรรมของบุคคลสอดคล้องกับบรรทัดฐานที่กำหนดไว้ การเฝ้าระวังมีหลายรูปแบบอาจเกิดขึ้นทางกายภาพ หรือทางจิตวิทยาที่ผ่านความรู้สึกภายในของการถูกเฝ้าดู

การเฝ้าระวังทางกายภาพที่สำคัญคือการเฝ้าระวังแบบติดตามต่อเนื่อง (Panoptic Surveillance) คล้ายกับการเฝ้าระวังนักโทษในเรือนจำ ซึ่งสื่อถึงความรู้สึกของการถูกสังเกตอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าผู้ถูกเฝ้าดูจะมองไม่เห็นผู้จับตามองตนเองอยู่ก็ตาม ดังเช่น การใช้กล้องวงจรปิดในพื้นที่สาธารณะ การถูกติดตามในโซเชียลมีเดีย หรือแม้แต่การจ้องมองนักเรียนของครู หรือการจับตาดูพนักงานของหัวหน้างาน การสังเกตเฝ้าดูในลักษณะนี้ทำให้บุคคลที่ถูกจับตามองต้องควบคุมพฤติกรรมของตนเอง โดยต้องกระทำในสิ่งที่สอดคล้องกับบรรทัดฐานและระเบียบกฎเกณฑ์ขององค์กรและสังคม

การเฝ้าระวังอีกรูปแบบหนึ่งคือ การเฝ้าระวังกันเองภายในสมาชิกกลุ่ม บุคคลที่อยู่ภายในกลุ่มงาน ชั้นเรียน หรือชุมชนเดียวกันจะสังเกต ประเมินและตัดสินซึ่งกันและกัน การฝ้าระวังในรูปแบบนี้เป็นการเสริมสร้างพฤติกรรมของสมาชิกให้ดำเนินไปในทิศทางที่ความสอดคล้องกับมาตรฐาน หากมีผู้ใดละเมิดก็ถูกแรงกดดันจากคนรอบข้างและการคุกคามของการคว่ำบาตร

 ประการที่สามคือ การสร้างวินัยภายใน (Internalized discipline) ซึ่งหมายถึงกระบวนการที่บุคคลนำบรรทัดฐานและความคาดหวังทางสังคมมาใช้และบังคับตนเอง เป็นรูปแบบการควบคุมที่ละเอียดอ่อนและทรงพลัง โดยที่ความกดดันในการปฏิบัติตามไม่ได้มาจากพลังภายนอก เช่น การลงโทษหรือรางวัล แต่มาจากตัวบุคคลนั้นเอง การปลูกฝังความมีวินัยในตนเองและการควบคุมภายในตนเองของบุคคลสามารถทำได้โดยใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น ตารางเวลา กิจวัตรประจำวัน ซึ่งกำหนดเงื่อนไขให้บุคคลควบคุมพฤติกรรมของตนเองและปฏิบัติตามความคาดหวังของสังคม

วิธีการสร้างวินัยภายในมีสามวิธีหลัก วิธีแรกคือ การกำกับดูแลตนเอง บุคคลกลายเป็นสุนัขเฝ้าบ้านของตนเอง คอยติดตามความคิด พฤติกรรม และความปรารถนาของตนเองอย่างต่อเนื่องให้เป็นไปตามบรรทัดฐานภายในที่ตนเองกำหนด สิ่งนี้สามารถแสดงออกได้หลายวิธี ตั้งแต่ความรู้สึกผิดที่หมกมุ่นอยู่กับนิสัยที่ไม่ดีต่อสุขภาพไปจนถึงการจัดลำดับความสำคัญของงานเหนือชีวิตส่วนตัวโดยไม่รู้ตัว

วิธีที่สองคือ  การกำหนดเข็มทิศคุณธรรม วินัยภายในทำหน้าที่เป็นเข็มทิศทางศีลธรรม ชี้นำการเลือกและการตัดสินใจของเราโดยยึดตามสิ่งที่เรามองว่า "ถูก" หรือ "ผิด" ตามมาตรฐานทางสังคม ศีลธรรมภายในนี้มักจะทับซ้อนกับความคาดหวังของโครงสร้างอำนาจที่ครอบงำสังคม
วิธีที่สามคือ ความรู้สึกผิดและความละอาย การกระทำเบี่ยงเบนไปจากบรรทัดฐานภายในของตนเองมักกระตุ้นให้บุคคลเกิดความรู้สึกผิดและความละอาย ซึ่งยิ่งตอกย้ำว่าการกระทำใด ๆ จำเป็นต้องสอดคล้องกับมาตรฐานภายในของตนเองมากขึ้น กลไกเหล่านี้ทำงานโดยไม่จำเป็นต้องถูกคว่ำบาตรจากภายนอก ซึ่งทำให้กลไกเหล่านี้มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการกำหนดพฤติกรรมของบุคคล

อำนาจวินัยสามารถช่วยเพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพภายในสถาบัน โดยการกำหนดมาตรฐานการปฏิบัติงานและการควบคุมพฤติกรรมของแต่ละบุคคล ช่วยส่งเสริมระเบียบสังคมและความมั่นคงด้วยการส่งเสริมการปฏิบัติที่มีความสอดคล้องกับบรรทัดฐานสังคมของสมาชิก โดยทำให้บุคคลยอมรับบรรทัดฐานและความคาดหวังของสังคม ขณะเดียวกันก็กีดกันและขจัดพฤติกรรมเบี่ยงเบนออกไป ในแง่นี้อำนาจวินัยทำให้บุคคลกำกับดูแลตนเองให้กระทำในแนวทางที่สอดคล้องกับบรรทัดฐานสังคมมากขึ้น แม้ว่าจะไม่มีการเฝ้าระวังจากภายนอกก็ตาม อย่างไรก็ตาม อำนาจทางวินัยสามารถส่งผลเสียตามมา เช่น การระงับหรือปิดกั้นความเป็นปัจเจกบุคคล การจำกัดความคิดสร้างสรรค์ และการเสริมสร้างความไม่เท่าเทียมโดยเสริมพลังแก่โครงสร้างอำนาจที่ดำรงอยู่ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

แนวคิดเกี่ยวกับอำนาจที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของฟูโกต์คือ ชีวอำนาจและการปกครองชีวญาณ ซึ่งมีบทบาทในการกำหนดชีวิตและการปกครองประชาชน ชีวอำนาจ หมายถึง อำนาจที่ใช้กับประชาชนและบุคคลผ่านการจัดการและการควบคุมชีวิต ซึ่งรวมถึงการควบคุมอัตราการเกิด สุขภาพ เพศ และร่างกาย ชีวอำนาจแตกต่างจากอำนาจอธิปไตยแบบดั้งเดิมซึ่งมุ่งเน้นไปที่การควบคุมบุคคลผ่านกฎหมายและการลงโทษ ในทางกลับกัน ชีวอำนาจทำงานด้วยวิธีที่ละเอียดอ่อนและมักมองไม่เห็น ซึ่งกำหนดเงื่อนไขของการดำรงอยู่ของผู้คนในสังคม

การปกครองชีวญาณเป็นการอธิบายถึงวิธีการหลากหลายที่ประชากรถูกปกครองไม่เพียงแค่ผ่านสถาบันทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังผ่านกลไกทางสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีต่าง ๆ ด้วย กระบวนการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อกำหนดพฤติกรรมและทางเลือกของบุคคลในลักษณะที่ส่งผลต่อความเป็นอยู่และความมั่นคงโดยรวมของประชากร

ชีวอำนาจและการปกครองชีวญาณมีความสัมพันธ์ในหลายมิติ ประการแรก ชีวอำนาจมอบเครื่องมือและเทคนิคสำหรับการปกครองชีวญาณ โดยสร้างวิธีการในการรวบรวมข้อมูล กำกับติดตามประชากร และแทรกแซงชีวิตของบุคคลในรูปแบบของการกำหนดคุณลักษณะของสุขภาพ พฤติกรรม และทางเลือกของพวกเขา หน่วยงานภาครัฐใช้ประโยชน์จากชีวอำนาจเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการควบคุมประชากร การส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี และการรักษาระเบียบทางสังคม

ทั้งชีวอำนาจและการปกครองชีวญาณมีความเป็นพลวัตและการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา แนวคิดทั้งสองมีการปรับให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างของการดำเนินการด้านชีวอำนาจและการปกครองชีวญาณ ได้แก่ การรณรงค์ด้านสาธารณสุข ที่รัฐบาลและองค์กรด้านสุขภาพมักจะดำเนินการรณรงค์เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพ เช่น การฉีดวัคซีน หรือการให้ความรู้เกี่ยวกับโภชนาการและการออกกำลังกาย การณรงค์เหล่านี้ใช้ชีวอำนาจโดยการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มด้านสุขภาพ ระบุประชากรที่มีความเสี่ยง และดำเนินการแทรกแซงเพื่อปรับปรุงผลลัพธ์ด้านสุขภาพ

นโยบายอนามัยการเจริญพันธุ์เป็นวิธีการของชีวอำนาจที่สำคัญอีกประการหนึ่งในการควบคุมประชากร รัฐบาลจะกำหนดกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการทำแท้ง การเข้าถึงการคุมกำเนิด และเทคโนโลยีการเจริญพันธุ์เพื่อควบคุมและจัดการการเติบโตของประชากรและทางเลือกในการสืบพันธุ์ของแต่ละบุคคล ทั้งยังมีการทำให้ชีวิตประจำวันของบุคคลกลายเป็นเรื่องทางการแพทย์ เช่น การตรวจสอบสุขภาพจิตของบุคลากรประจำปี หรือการกำหนดว่าบุคคลที่มีความเครียดและความวิตกกังวลจากการทำงานจะต้องไปปรึกษานักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์

ตัวอย่างที่ชัดเจนอีกประการหนึ่งของชีวอำนาจคือ โครงการสวัสดิการสังคม รัฐบาลของประเทศต่าง ๆมักจัดให้มีโครงการสวัสดิการสังคม เช่น สิทธิประโยชน์การว่างงาน การให้ค่าเลี้ยงดูบุตร ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อปรับปรุงชีวิตของพลเมืองและรักษาเสถียรภาพทางสังคม โครงการเหล่านี้เป็นตัวแทนของชีวอำนาจรูปแบบหนึ่งเพราะเป็นการแทรกแซงชีวิตของแต่ละคนและมีอิทธิพลต่อทางเลือกของพวกเขา

การใช้เทคโนโลยีกล้องวงจรปิดและโปรแกรมรวบรวมข้อมูลประชาชนอย่างแพร่หลายก็เป็นอีกวิธีการอย่างหนึ่งของชีวอำนาจ ทำให้รัฐบาลสามารถตรวจสอบบุคคลและประชากรได้อย่างครอบคลุมทั่วถึง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมและทางเลือกของประชาชน สิ่งนี้ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและความเป็นอิสระส่วนบุคคล โดยเฉพาะการนำชีวอำนาจไปใช้ในทางที่ผิด

 ในด้านหนึ่งชีวอำนาจและการปกครองชีวญาณส่งผลให้สุขภาพและความเป็นอยู่ของประชาชนที่ดีขึ้น และทำให้สังคมมีระเบียบและปลอดภัยมากขึ้น เพราะรัฐบาลสามารถป้องกันความไม่สงบทางสังคมและรักษาความเรียบร้อยภายในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในอีกด้านหนึ่ง ชีวอำนาจและการปกครองชีวญาณสามารถก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเป็นอิสระและการละเมิดความเป็นส่วนตัวของแต่ละบุคคล เนื่องจากแนวคิดเหล่านี้สามารถนำไปสู่การทำให้การเฝ้าระวังและการควบคุมพฤติกรรมบุคคลให้เป็นไปตามมาตรฐานที่รัฐบาลกำหนด ที่สำคัญคือส่งผลกระทบต่อชุมชนชายขอบที่ผู้คนอาจมีวัฒนธรรมและบรรทัดฐานการปฏิบัติแตกต่างจากวัฒนธรรมหลักที่รัฐส่งเสริม และกลุ่มคนที่มีความคิดและความเชื่อทางการเมืองแตกต่างจากรัฐบาล ผู้คนเหล่านั้นจะถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดและอาจถูกกระทำที่ลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์จากเจ้าหน้าที่รัฐ ด้วยเหตุผลที่พวกเขามีความคิดและการกระทำที่แตกต่างจากสิ่งที่รัฐบาลกำหนด สิ่งนี้อาจยิ่งตอกย้ำความไม่เท่าเทียมและความอยุติธรรมทางสังคมมากขึ้น

ด้วยการทำความเข้าใจชีวอำนาจและการปกครองชีวญาณทำให้เราสามารถประเมินนโยบายและโครงการของรัฐบาลอย่างมีวิจารณญาณ สามารถวิเคราะห์ได้ว่านโยบายเหล่านี้ใช้ประโยชน์จากชีวอำนาจและการปกครองชีวญาณอย่างไร และสามารถประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อบุคคลและชุมชน เรายังสามารถผลักดันให้มีการดำเนินการด้านชีวอำนาจและการปกครองชีวญาณเป็นไปอย่างมีจริยธรรมและเสมอภาคมากขึ้น โดยทำให้แน่ใจว่าแนวคิดเหล่านี้จะไม่ถูกนำไปใช้ในการเลือกปฏิบัติหรือควบคุมกลุ่มชายขอบและประชาชนที่มีความเชื่อทางการเมืองไม่สอดคล้องกับรัฐบาล

 การเข้าใจชีวอำนาจและการปกครองชีวญาณเป็นการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับศักยภาพในการละเมิดเสรีภาพและความเป็นส่วนตัวของแต่ละบุคคลของอำนาจเหล่านี้ด้วย เมื่อผู้คนเกิดความตระหนักรู้ก็จะมีแนวโน้มสนับสนุนกฎหมายและนโยบายที่ปกป้องสิทธิของประชาชนที่อาจจะได้ผลกระทบจากชีวอำนาจ การมีกฎหมายและนโยบายปกป้องสิทธิของกลุ่มชายขอบและกลุ่มที่มีความคิดทางการเมืองต่างจากรัฐบาลจะทำให้สังคมมีความยุติธรรมและเท่าเทียมกันมากขึ้น ซึ่งจะส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของบุคคลและชุมชนทั้งหมด ไม่ใช่แค่ผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจเท่านั้น (ยังมีต่อ)


กำลังโหลดความคิดเห็น