คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร
ในการอธิบายขอบเขตพระราชอำนาจและบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ของประเทศหนึ่งๆ เบื้องต้น เรามักจะต้องศึกษารัฐธรรมนูญของประเทศนั้น ในการทำความเข้าใจรัฐธรรมนูญใด การอ่านมาตราต่างๆในรัฐธรรมนูญนั้นย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ลำพังการอ่านมาตราโดยไม่รู้ที่มาของรัฐธรรมนูญอาจจะทำให้ไม่ได้ภาพที่เพียงพอ ขณะเดียวกัน ในการทำความเข้าใจขอบเขตพระราชอำนาจและบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ของประเทศใดในปัจจุบัน จะดีกว่า ถ้าเราเข้าใจพัฒนาการของรัฐธรรมนูญของประเทศนั้นด้วย
และในการทำความเข้าใจพัฒนาการของรัฐธรรมนูญ ย่อมต้องกลับไปที่จุดเริ่มต้นของรัฐธรรมนูญนั้น และจะยิ่งดี หากสามารถเข้าใจบริบทของจุดเริ่มต้นของรัฐธรรมนูญนั้น
ในกรณีของเบลเยี่ยม เบลเยี่ยมเริ่มมีรัฐธรรมนูญครั้งแรกในปี ค.ศ. 1831 และจากเงื่อนไขที่กล่าวไว้ข้างต้น เราจึงควรที่จะศึกษากำเนิดรัฐธรรมนูญเบลเยี่ยม ค.ศ. 1831 รัฐธรรมนูญเบลเยี่ยม ค.ศ. 1831 เกิดขึ้นพร้อมๆกับการเกิดประเทศเบลเยี่ยม การเกิดประเทศเบลเยี่ยมเกิดจากการปฏิวัติของผู้คนในพื้นที่ทางใต้ของสหราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ (the United Kingdom of the Netherlands) การปฏิวัตินี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสลัดหลุดออกจากการอยู่ภายใต้การปกครองของเนเธอร์แลนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปฏิเสธรัฐธรรมนูญเนเธอร์แลนด์ ค.ศ. 1814 แก้ไข 1815 การปฏิเสธ รัฐธรรมนูญเนเธอร์แลนด์ คือการปฏิเสธการอยู่ภายใต้พระเจ้าวิลเลียมที่หนึ่ง ผู้เป็นประมุขของสหราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ที่รัฐธรรมนูญได้ออกแบบให้กษัตริย์เป็นประมุขของรัฐและมีพระราชอำนาจที่กว้างขวางและเข้มแข็ง แม้ว่าจะอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญก็ตาม
การที่เบลเยี่ยมมีรัฐธรรมนูญฉบับแรกพร้อมๆ กับกำเนิดประเทศ เบลเยี่ยมจึงแตกต่างจากในกรณีของ สวีเดน นอร์เวย์และเดนมาร์ก เพราะสวีเดนเป็นประเทศหรือราชอาณาจักรมายาวนานก่อนที่จะมีรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1809 อันเป็นการปกครองที่พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
ส่วนในกรณีของนอร์เวย์ ก็ถือว่าเป็นกรณีที่พิเศษ เพราะในปี ค.ศ. 1814 แม้นอร์เวย์จะมีรัฐธรรมนูญแต่ก็ยังอยู่ภายใต้พระมหากษัตริย์สวีเดน จนเมื่อถึง ค.ศ. 1905 นอร์เวย์จึงจะเป็นประเทศที่เป็นอิสระจากสวีเดนอย่างแท้จริง
สำหรับเดนมาร์ก เดนมาร์กเป็นประเทศหรือราชอาณาจักรมายาวนานก่อนที่จะมีรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1665 ที่เดนมาร์กอ้างว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรก แต่ปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1849 ที่เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ถูกกำหนดและจำกัดโดยรัฐธรรมนูญ
ประเทศไทยเราก็เช่นกัน เป็นประเทศหรือราชอาณาจักรมายาวนานก่อนที่จะมีรัฐธรรมนูญฉบับแรกในปี พ.ศ. 2475
แต่ในกรณีของเบลเยี่ยม มีรัฐธรรมนูญฉบับแรกพร้อมๆกับกำเนิดประเทศ และแม้ว่าการปฏิวัติของเบลเยี่ยม (the Belgian Revolution) จะมีเป้าหมายที่จะแยกตัวออกจากเนเธอร์แลนด์ และปฏิเสธการอยู่ใต้รัฐธรรมนูญและพระมหากษัตริย์เนเธอร์แลนด์ แต่เมื่อเบลเยี่ยมมีรัฐธรรมนูญของตัวเองในปี ค.ศ. 1831 เบลเยี่ยมก็กลับมิได้ปฏิเสธสถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งๆ ที่ตนไม่เคยมีสถาบันพระมหากษัตริย์ของตัวเองมาก่อน อีกทั้งยังกำหนดให้รูปแบบการปกครองเป็นแบบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญอันเป็นรูปแบบการปกครองที่ชาวเบลเยี่ยมเคยอยู่ภายใต้เนเธอร์แลนด์ แต่แน่นอนว่า รัฐธรรมนูญระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของเบลเยี่ยมย่อมจะต้องต่างในรายละเอียดจากรัฐธรรมนูญระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของเนเธอร์แลนด์
การทำความเข้าใจสาเหตุของความไม่พอใจที่นำไปสู่การปฏิวัติของคนในพื้นที่ทางใต้ของเนเธอร์แลนด์หรือที่เป็นเบลเยี่ยมในปัจจุบันจะช่วยให้เราเข้าใจความแตกต่างในรายละเอียดระหว่างรูปแบบการปกครองพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของเบลเยี่ยมกับรูปแบบการปกครองพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของเนเธอร์แลนด์ หรืออีกนัยหนึ่งคือ ความสัมพันธ์ระหว่างการปฏิวัติกับการออกแบบรัฐธรรมนูญ
แม้ว่าการปฏิวัติคือการปฏิเสธระเบียบแบบแผนอย่างใดอย่างหนึ่งที่ดำรงอยู่ แต่โดยธรรมชาติของการเมือง การปฏิวัติอย่างไม่หยุดยั้ง (permanent revolution) ย่อมขัดกับการเมือง เพราะการเมืองหมายถึงวิถีหรือแบบแผนของการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ และไม่ว่าจะเป็นวิถีใด แบบแผนใด การปฏิวัติครั้งหนึ่งๆย่อมจะต้องลงเอยด้วยการรับหรือการกำหนดวิถีหรือแบบแผนอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นแทนวิถีหรือแบบแผนที่ถูกล้มล้างไป
จริงๆ แล้ว การใช้คำว่า ล้มล้าง ก็ไม่ถูกต้อง เพราะไม่เคยเกิดขึ้นได้จริง ไม่มีการปฏิวัติครั้งใด ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน จะสามารถทำให้วีถีหรือแบบแผนสูญสลายหายไปได้ สิ่งที่การปฏิวัติทำได้คือ เพียงแต่เปลี่ยนวิถีหรือแบบแผนไปเท่านั้น ดังนั้น วิถีหรือแบบแผนในฐานะรูปแบบ (form) ย่อมยังคงอยู่เสมอ และสิ่งที่เปลี่ยนไปคือเนื้อหาสาระ (content)
ส่วนหนึ่งของสาเหตุของการปฏิวัติของเบลเยี่ยม (the Belgian Revolution) ที่ผู้เขียนได้กล่าวไปในตอนที่แล้วห้าประการ ได้แก่
หนึ่ง โครงสร้างของรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1814-1815 ไม่ให้ความสำคัญต่อจำนวนประชากรที่ต่างกันระหง่าวพื้นที่ทางเหนือที่มีประชากรน้อยกว่าทางใต้ แต่กลับมีจำนวนตัวแทนในสภา (States General) เท่ากัน ซึ่งทำให้ประชาชนทางใต้ในพื้นที่ที่เป็นเบลเยี่ยมมีความรู้สึกคับแค้นไม่พอใจมาตั้งแต่ต้น จำนวนประชากรของเบลเยี่ยมคิดเป็นร้อยละ 62 ของประชากรทั้งหมด แต่เบลเยี่ยมมีตัวแทนในสภาคิดเพียงร้อยละ 50 เท่านั้น
สอง แม้ว่าในตอนต้น ประชาชนทางใต้จะมีความรู้สึกดังที่กล่าวไปในข้อแรก แต่การบูรณาการดินแดนทางใต้ก็ยังดำเนินต่อเนื่องไปจนถึงกลางทศวรรษ 1820 และมีความก้าวหน้าพอที่จะกล่าวได้ว่า การบูรณาการชาติที่มีความมั่นคงและเสถียรภาพเป็นสิ่งที่พอจะเป็นไปได้ แต่ปัญหาคือ มาตรการการเร่งบูรณาการอย่างเข้มข้นของพระเจ้าวิลเลียมที่หนึ่งได้ก่อให้เกิดปัญหา มาตรการการบูรณาการที่เข้มข้น ได้แก่ นโยบายเรื่องภาษา ที่ต้องการให้ทุกคนพูดภาษาดัตช์ แม้ว่าจะไม่ได้บังคับในตอนแรกเริ่ม แต่ก็ค่อยๆเพิ่มแรงกดดันขึ้นเรื่อยๆ เช่นในปี ค.ศ. 1819 รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ได้ประกาศว่า ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1823 เป็นต้นไป ในการปกครองและการบริหารงานยุติธรรมในเขตพื้นที่ที่ใช้ภาษาเฟลมิช (Flemish) จะใช้ภาษาดัตช์เท่านั้น
เฟลมิชเป็นแคว้นๆ หนึ่งในสามแคว้นของประเทศเบลเยี่ยมปัจจุบัน อีกสองแคว้นคือ แคว้นวอลลูนและแคว้นบรัสเซลส์ ส่วนการใช้ภาษาในแคว้นวอลลูน รัฐบาลเนเธอร์แลนด์อนุญาตให้ใช้สองภาษาได้ (bilingual) อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีความพอใจจากผู้คนในพื้นที่เฟลมิช แต่ไม่ได้มีการต่อต้านมากนัก
สาม มาตรการการบูรณาการต่อมาคือ เรื่องการศึกษา โดยรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ถือว่าเป็นนโยบายสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความเป็นเอกภาพ ในปี ค.ศ. 1821 รัฐบาลได้ริเริ่มใช้ตัวแบบการศึกษาของโรงเรียนในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศในพื้นที่ทางใต้ ซึ่งเป็นตัวแบบประถมศึกษาที่มีความเคร่งครัดตายตัวอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการส่งผลกระทบในการเรื่องการเผยแพร่ภาษาดัตช์ในการเรียนการสอนในระดับชั้นประถม
สี่ แม้ว่าเรื่องภาษาภายใต้นโยบายการศึกษาจะสร้างปัญหาในพื้นที่ทางใต้ แต่ปัจจัยสำคัญในนโยบายการศึกษาที่สร้างปัญหาความไม่พอใจอย่างรุนแรงคือประเด็นเสรีทางศาสนา ซึ่งเป็นประเด็นที่อ่อนไหวมากกว่าเรื่องภาษา แต่นโยบายเสรีทางศาสนาของรัฐบาลไม่ได้กำหนดให้การศึกษาจะต้องปลูกฝังคุณค่าแบบคริสต์ศาสนา แต่ให้สอนในลักษณะเปิดกว้าง โดยไม่ต้องเน้นไปที่ศาสนาคริสต์นิกายใดนิกายหนึ่ง และในสายตาของผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก นโยบายเสรีทางศาสนานี้ถือเป็นการลดทอดความเป็นอิสาระและความเป็นเอกเทศในการสอนศาสนาของพวกตน และประเด็นดังกล่าวนี้เองได้กลายเป็นการจุดชนวนการต่อต้านของพวกคาทอลิกที่อยู่ในพื้นที่ทางใต้ และตั้งแต่รัฐบาลประกาศใช้นโนบายดังกล่าวนี้ ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ วิทยาลัยเด็กเณรคาทอลิกจำนวนหนึ่งที่โดยปกติจะมีอิสระเปิดรับสอนเตรียมเด็กเฉพาะที่จะไปเป็นพระ แต่หลังจากรัฐบาลมีนโยบายเปิดเสรี ทำให้ต้องรับเด็กที่ไม่ต้องการจะไปเป็นพระด้วย หากวิทยาลัยใดต้องการจะเปิดสถานสอนศาสนาและปฏิเสธที่จะเปิดสอนเป็นการทั่วไป รัฐบาลจะไม่อนุญาตให้เปิด และบางที รัฐบาลก็สั่งปิดไป และรัฐบาลได้เปิดโรงเรียนภายใต้การกำกับของรัฐ และกำหนดให้ผู้ที่ต้องการจะเป็นนักบวชจะต้องเรียนที่โรงเรียนดังกล่าวนี้ของรัฐเท่านั้น ซึ่งนโยบายดังกล่าวนี้ ในทางใต้ มีทั้งผู้สนับสนุนและเห็นด้วย พวกที่เห็นด้วยคือ พวกเสรีนิยมที่ต่อต้านอำนาจของพระที่เกิดจากการที่พระมาจัดตั้งองค์กรของตัวเองขึ้น แต่แน่นอนว่านโยบายนี้สร้างความโกรธแค้นให้พวกคาทอลิก แม้ว่าภาพรวมของนโยบายการศึกษาดังกล่าวจะให้ดี โดยเฉพาะการพัฒนาอัตราการรู้หนังสือของผู้คนทั่วไป แต่ล้มเหลวในฐานะของเครื่องมือในการสร้างความเป็นเอกภาพของชาติ
ห้า ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ งบประมาณแผ่นดินที่ให้ทางใต้น้อยกว่าทางเหนือ ทั้งๆที่ทางใต้เสียภาษีมากกว่าแต่ต้องมาแบกภาระคนทางเหนือที่ยากจนกว่า ทางเหนือมีหนี้สาธารณะสูงกว่าทางใต้ โดยทางเหนือเป็นหนี้สาธารณะถึง 1.25 พันล้านกิลเดอร์ ส่วนทางใต้มีหนี้สาธารณะเพียง 100 ล้านกิลเดอร์ แต่ทางใต้ยังจะต้องไปแบกภาระทางการเงินของทางเหนือด้วย
สาเหตุประการต่อๆ มา
หก องค์กร สถาบันต่างๆ เกือบทั้งหมดตั้งอยู่ในเขตทางเหนือ และการกระจายปัญหาภาระของประเทศดำเนินไปอย่างไม่เท่าเทียมกัน เบลเยี่ยมมีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเพียงหนึ่งในสี่ และมีชาวดัตช์เป็นข้าราชการมากกว่าชาวเบลเยี่ยมถึงสี่เท่า ส่งผลให้พวกดัตช์มีอำนาจอิทธิพลครอบงำในทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม
เจ็ด มีการเกณฑ์ทหารในเบลเยี่ยมเป็นอัตราที่สูง แต่อัตราส่วนที่คนเบลเยี่ยมเป็นทหารสัญญาบัตรน้อย คิดเป็นอัตราส่วนหนึ่งในหกที่มาจากทางใต้ และทหารที่มาจากทางใต้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของนายทหารที่ไม่ได้มาจากทางใต้ อีกทั้งยังมีการกำหนดให้ใช้เฉพาะภาษาดัตช์ในกองทัพ ส่งผลให้เกิดความไม่พอใจแก่ผู้นำทหารที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสและภาษาอื่นๆที่ไม่ใช่ภาษาดัตช์
แปด ปัญญาชนเบลเยี่ยมเห็นว่า การบังคับใช้กฎหมายเสรีภาพสื่อสิ่งพิมพ์และเสรีภาพในการชุมนุม เป็นเครื่องมือที่ทางเหนือใช้ควบคุมทางใต้
เก้า พ่อค้าและนักอุตสาหกรรมเบลเยี่ยมร้องเรียนเรื่องนโยบายการค้าเสรีที่ดำเนินมาตั้งแต่ ค.ศ. 1827 การแบ่งแยกจากฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1813 ส่งผลต่ออุตสาหกรรมทางใต้ ทางใต้ต้องเสียมูลค่าการซื้อขายไปเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกัน จากการเกิดการต่อต้านเป็นช่วงระยะเวลายาวนานในอาณานิคมของบริษัทอิสต์อินเดีย และอังกฤษส่งสินค้าแข่งขันกับสินค้าของเบลเยี่ยม และหลังจากการยกเลิกการปิดกั้นทางการค้าในภาคพื้นทวีป สินค้าที่เป็นผลผลิตทางการเกษตรของอังกฤษที่มีราคาถูกกว่าได้เข้าตีตลาด ซึ่งทางเหนือของเนเธอร์แลนด์ได้ประโยชน์ แต่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตของทางใต้
สิบ พวกอนุรักษ์นิยมทางเหนือพยายามผลักดันเฉพาะคนของพวกตนที่เป็นเคยเป็นโปรเตสแตนท์ตอนที่ยังมีศาสนาแห่งชาติให้ได้รับตำแหน่งในรัฐบาล ในขณะที่ พวกอนุรักษ์นิยมเบลเยี่ยมต้องการให้คาทอลิกเป็นศาสนาประจำเบลเยี่ยม การดำรงอยู่ของทั้งสองนิกายในฐานะที่เป็นศาสนาแห่งชาติเป็นสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายรับไม่ได้ จนเมื่อ ค.ศ. 1821 รัฐบาลได้พวกที่ต่อต้านคาทอลิกในรัฐธรรมนูญในการดำรงไว้ซึ่งแนวทางโปรเตสแตนท์ของกลไกรัฐที่จะแต่งตั้งพวกโปรเตสแตนท์เป็นข้าราชการ พระเจ้าวิลเลียมที่หนึ่งสนับสนุนโปรเตสแตนท์นิกายลูเธอรัน ซึ่งตัวพระองค์เองจะเป็นประมุขทางศาสนาด้วย พระองค์ต้องการทัดทานอำนาจของสันตะปาปาที่มีต่อศาสนาจักรคาทอลิก และต้องการที่จะมีอิทธิพลในการแต่งตั้งสังฆราช
สิบเอ็ด ปัจจัยสองประการสุดท้าย ที่เป็นตัวเร่งที่ทำให้ความไม่พอใจสิบข้อแรกปะทุกลายเป็นการปฏิวัติ คือ
-การไม่ได้ผลผลิตทางการเกษตรตามฤดูกาล ส่งผลให้มีการควบคุมอย่างเข้มงวด
-เกิดการปฏิวัติในฝรั่งเศสอีกในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1830 ดังที่ผู้เขียนได้เคยอธิบายเกี่ยวกับการปฏิวัติเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1830 ในตอนที่ 50 ไปแล้วว่า จากการประกาศใช้ “พระราชกฤษฎีกาเดือนกรกฎาคม” (the July Ordinances) ที่มีสาระสำคัญ คือ ยุบสภาล่าง, ควบคุมเสรีภาพสื่อสิ่งพิมพ์ และกีดกันชนชั้นพ่อค้าชนชั้นกลางหรือกระฎุมพีออกจากการเลือกตั้ง และให้มีการเลือกตั้งใหม่ ทำให้เกิดกระแสต่อต้านพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวขึ้นจนนำไปสู่ปรากฎการณ์ทางการเมืองครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสหลัง ค.ศ. 1789 นั่นคือ “การปฏิวัติเดือนกรกฎาคม (the July Revolution) ที่ทำให้กษัตริย์ราชวงศ์บูร์บองต้องมีอันสิ้นสุดลง และมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1814 และเป็นที่มาของรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส ค.ศ. 1830 ซึ่งมีอิทธิพลต่อการปฏิวัติของเบลเยี่ยม อันนำไปสู่การกำเนิดรัฐธรรมนูญเบลเยี่ยม ค.ศ. 1831 รวมทั้งกำเนิดประเทศและระบอบการปกครองแบบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของเบลเยี่ยมเอง