ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
จากเรื่องราวของเสีว์ยนจั้งหรือพระถังซัมจั๋งที่ได้บอกเล่าไปนั้น ทำให้คิดถึงตอนที่ผมเรียนพิเศษภาษาจีนสมัยยังเป็นวัยรุ่น
มีอยู่วันหนึ่งได้เรียนมาถึงบทที่เป็นเรื่องราวของพระถังซัมจั๋ง ในบทนี้ได้ตัดเอาตอนหนึ่งจาก บันทึกเรื่องอัศดงคตประเทศฯ มาใช้สอน ตอนที่ว่านี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับม้าที่พระถังซัมจั๋งใช้ขณะจาริกไปชมพูทวีป ม้าในบทนี้ถูกเรียกว่า “ม้าแก่” ตอนที่ผมและเพื่อนนักเรียนที่เรียนอยู่ด้วยกันได้ยินคำว่า “ม้าแก่” ก็เข้าใจว่า ม้าของพระถังซัมจั๋งเป็นม้าแก่จริงๆ คือเป็นที่อายุมากแล้ว
พวกเราก็ได้แต่สงสัยว่า ทำไมต้องเอาม้าแก่มาใช้งานด้วย แต่ครูที่สอนอยู่ก็อธิบายว่า ม้าแก่ที่ว่านี้ไม่ได้หมายถึงม้าที่มีอายุมาก หากแต่หมายถึงม้าที่ช่ำชองเส้นทางที่พระถังซัมจั๋งกำลังจะเดินทางจาริกไป ซึ่งก็คือเส้นทางที่มุ่งไปสู่ตะวันตกหรือชมพูทวีป จากนั้นครูก็สอนบทดังกล่าวแก่พวกเรา
บทที่ว่าด้วยเรื่องราวของม้าแก่นี้มีสาระสำคัญอยู่ตรงที่ว่า ช่วงหนึ่งของการจาริก พระถังซัมจั๋งได้เดินทางผ่านทะเลทราย การจาริกผ่านทะเลทรายนี้ท่านได้เตรียมน้ำในปริมาณที่เพียงพอแก่การเดินทางไว้แล้ว น้ำนี้ถูกบรรจุไว้ในกระติกน้ำขนาดใหญ่ที่ทำด้วยหนังสัตว์ รูปทรงของกระติกจะออกไปในทางทรงกลมแบน เวลาจะดื่มน้ำจึงต้องใช้สองมือยกขึ้นดื่ม
จนมีอยู่ตอนหนึ่งที่พระถังซัมจั๋งกระหายน้ำขึ้นมาก็ได้ยกเอากระติกน้ำนั้นขึ้นมาดื่ม แต่ด้วยความที่กระติกนั้นใหญ่และยังมีน้ำอยู่มาก ความหนักของกระติกก็ทำให้มันหลุดจากมือของพระถังซัมจั๋งร่วงลงบนพื้นทะเลทราย จนน้ำในกระติกทะลักออกมาอย่างรวดเร็ว กว่าที่พระถังซัมจั๋งจะคว้าขึ้นมาได้น้ำก็ในกระติกก็เหลือน้อยลงมากแล้ว
ผลคือ เวลาผ่านไปไม่นานหลังจากนั้นน้ำก็หมดลง
แต่การจาริกตะวันตกจะหยุดลงไม่ได้ พระถังซัมจั๋งจำต้องมุ่งหน้าต่อไป แต่ยิ่งมุ่งไปก็ยิ่งรู้สึกว่าเส้นทางอันเวิ้งว้างและร้อนระอุดูจะไม่สิ้นสุด ความกระหายน้ำทำให้พระถังซัมจั๋งยิ่งหมดเรี่ยวแรงลง ส่วนม้าก็ไม่ต่างกับคนที่ได้หมดเรี่ยวแรงลงไปด้วย
แต่ที่แปลกคือ ม้ายังคงเดินกระย่องกระแย่งต่อไปอย่างช้าๆ จนกระทั่งถึงช่วงหนึ่งของเส้นทางที่เวิ้งว้างนั้นเอง ม้าตัวนั้นก็เกิดมีเรี่ยวแรงขึ้นมาโดยพลันน่าอัศจรรย์ ผมจำไม่ได้แน่ว่าม้าตัวนี้ได้สะบัดพระถังซัมจั๋งร่วงจากม้าหรือไม่ จำได้แต่ว่าพระถังซัมจั๋งที่หมดเรี่ยวแรงนอนกองอยู่กับพื้น ประมาณว่าถ้ายังไม่ได้น้ำไปอีกหนึ่งชั่วยามก็อาจมรณภาพได้เลยทีเดียว
ม้าตัวนั้นวิ่งไปข้างหน้าโดยไม่สนใจพระถังซัมจั๋ง ส่วนพระถังซัมจั๋งมองตามม้าไปก็ค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเดินตามม้าไปอย่างไร้เรี่ยวแรง จนไม่กี่อึดใจก็เดินมาถึงจุดที่ม้าหยุดเดิน ปรากฏว่า จุดที่ม้าหยุดนั้นมีหนองน้ำขนาดเล็กตั้งอยู่ น้ำในหนองก็ใสสะอาด และม้าตัวนั้นก็กำลังดื่มน้ำด้วยความกระหาย
ถึงตอนนี้พระถังซัมจั๋งจึงรู้ว่าตนรอดตายแล้ว และทำให้เข้าใจความหมายของคำว่า “ม้าแก่” ว่าที่แท้แล้วคือม้าที่รู้ทางดี รู้แม้กระทั่งว่า ณ จุดใดมีอะไรบ้าง และแหล่งน้ำก็เป็นจุดหนึ่งที่ม้ารู้ดีว่ามีอยู่ที่ไหนบ้าง และที่รู้ก็เพราะม้าตัวนี้ถูกใช้สำหรับเดินทางบนเส้นทางนี้มานาน นานจนจำได้ว่ามีอะไรอยู่ตั้งที่จุดใดบ้าง
เรื่องของพระถังซัมจั๋งตอนนี้เป็นที่ประทับใจผมมาก และเป็นหนึ่งในไม่กี่บทเรียนที่ผมจำได้จนทุกวันนี้ ในขณะที่บทเรียนส่วนใหญ่ “เข้าหม้อ” หมดแล้ว
ถึงตรงนี้ก็ขอบอกว่า ผมตั้งใจหยิบยกเอาเรื่องราวตอนนี้มาเล่าไม่ใช่เพราะผมประทับใจ แต่เล่าก็เพราะหลังจากที่ไปเยือนเจดีย์ห่านป่าในปีนั้นผ่านไปอีกนับสิบปี ผมก็มีโอกาสไปเยือนสถานที่นี้อีกสองสามครั้ง ตอนที่ไปครั้งที่สองนั้นผมพบว่า ทางการจีนได้สร้างอาคารเพิ่มขึ้นในบริเวณที่ไม่ไกลจากเจดีย์มากนัก
ตอนหนึ่งของอาคารนี้มีภาพสลักนูนต่ำบอกเล่าเรื่องราวบางตอนเกี่ยวกับการจาริกตะวันตกของพระถังซัมจั๋ง และหนึ่งในเรื่องราวนั้นก็คือ เรื่อง “ม้าแก่” (เหลาหม่า, 老马) ของพระถังซัมจั๋งที่ผมเล่ามาข้างต้น
ผมไปพบอาคารนี้ตอนที่ได้ไปเยือนเจดีย์ห่านป่านั้นห่างจากที่ไปครั้งแรกเกือบ 20 ปี ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าอาคารดังกล่าวมีอะไรบ้าง ผมซึ่งไปในฐานะวิทยากรพอไปพบภาพสลักเรื่องราวตอนนี้เข้าก็เลยเข้าทางผม เพราะดูจากภาพก็รู้ทันทีว่าเป็นเรื่อง “ม้าแก่” ผมก็เลยบรรยายได้ หาไม่แล้วก็คงได้แต่ใบ้กิน
ในใจก็ได้แต่นึกขอบคุณครูภาษาจีนของผม ที่ทำให้ผมพอได้ยืดกับเขาบ้าง เพราะผมไม่ได้รู้เรื่องจีนไปเสียทุกเรื่อง โดยมากต้องอาศัยฟังจากไกด์จีนจึงได้ความรู้เพิ่มขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม ตอนที่ผมโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนั้น ทุกครั้งที่ผมได้ยินพวกเราคนไทยพูดกระทบต่อว่าใครเป็น “ม้าแก่” ที่หมายถึง คนที่หมดสภาพหรือหมดเรี่ยวแรง ผมมักจะคิดถึง “ม้าแก่” ในความหมายของจีนอยู่ร่ำไป
ผมควรกล่าวด้วยว่า “ม้าแก่” ในความหมายของจีนนั้น จริงๆ แล้วถือเป็นคำพังเพยที่คนจีนนิยมใช้พูดเปรียบกันมาก คำเต็มของคำพังเพยนี้คือ ม้าแก่รู้ทาง ภาษาจีนคือ เหลาหม่าซื่อถู (老马识途)
คำพังเพยนี้ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ หากแต่มาจากเรื่องจริงในประวัติศาสตร์จีนที่เกิดขึ้นในยุควสันตสารท (ชุนชิว) ซึ่งเป็นยุคที่จีนเกิดความแตกแยก รัฐต่างๆ นับสิบนับร้อยรัฐต่างทำศึกในระหว่างกัน จนมีอยู่ครั้งหนึ่งรัฐฉีได้ยกทัพไปปราบปรามความไม่สงบในรัฐเอียน แต่ระหว่างทางทัพฉีเกิดหลงทางจนทำให้ขาดน้ำและเสบียง
กุนซือของทัพฉีจึงให้คัดเลือกม้าแก่มาจำนวนหนึ่งแล้วสั่งให้ปล่อยให้มันเดินไปโดยอิสระ และให้ทหารเดินตามม้าแก่เหล่านั้นไป ปรากฏว่า ม้าแก่เหล่านั้นพาทัพของรัฐฉีไปพบแหล่งน้ำและเสบียงเข้าจริงๆ ทัพฉีจึงรอดตาย และสามารถปฏิบัติภารกิจได้สำเร็จ
เรื่องราวนี้จึงกลายเป็นที่มาของคำพังเพย “ม้าแก่รู้ทาง” ในที่สุด
ถึงตรงนี้ผมก็ขอจบเรื่องราวของพระถังซัมจั๋งแต่เพียงเท่านี้ ต่อไปก็มาว่ากันถึงเรื่องราวของเจดีย์ห่านป่าบ้าง เจดีย์นี้สร้างโดยพระถังซัมจั๋งในระหว่างปี ค.ศ.648-649 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของจักรพรรดิถังเกาจง (ค.ศ.649-683) โดยมีการบูรณะครั้งใหญ่ในสมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368-1644)
เจดีย์ห่านป่ามีความสัมพันธ์กับพระถังซัมจั๋งก็ตรงที่ว่า เจดีย์นี้ใช้เป็นที่เก็บพระไตรปิฎกที่พระถังซัมจั๋งนำมาจากชมพูทวีป และพระไตรปิฎกฉบับแปลเป็นภาษาจีนโดยพระถังซัมจั๋ง องค์เจดีย์มีความสูงราว 60 เมตร ตั้งอยู่ในวัดต้าฉือเอิน เจดีย์นี้ผ่านร้อนผ่านหนาวมานับพันปี บางครั้งก็เจอแผ่นดินไหวพังลงจนต้องสร้างใหม่
จนใน ค.ศ.1964 รัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ได้ทำการบูรณะครั้งใหญ่ จนทำให้เจดีย์องค์นี้มีความสูงเพิ่มขึ้นเป็น 64 เมตร และสามารถเปิดให้ประชาชนขึ้นไปเยี่ยมชมได้
ผมซึ่งตอนนั้นได้มาเยือนเจดีย์ห่านป่าเป็นครั้งแรกก็ได้ขึ้นไปกับเขาด้วย เมื่อถึงชั้นบนของเจดีย์ก็มองออกไปข้างนอกด้านตะวันตกแล้วจินตนาการว่า ผมเห็นพระถังซัมจั๋งกำลังแอบหนีออกจากเมืองซีอันไปชมพูทวีปแล้วก็นึกชมในใจว่า ศรัทธาของท่านช่างแรงกล้าเหลือเกิน หากไม่มีท่านก็คงไม่มีเจดีย์ห่านป่าให้ผมขึ้นมาจินตนาการถึงท่านเป็นแน่