ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ถือเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์เศร้าสลดรับปีมะโรง กับเหตุการณ์ที่ “สัตวแพทย์หญิง” ตัดสินใจซด “ไซยาไนต์” ดับพร้อม “ลูกสาว” วัย 12 ปี ในพื้นที่ อ.บ้านฉาง จ.ระยอง เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2567 พร้อมกับทิ้งข้อความเอาไว้บอกให้เผาแม่กับลูกในโลงเดียวกัน ไม่ต้องจัดงาน
ประเด็นที่น่าตกใจประการแรกคือ “ไซยาไนด์” ดังกล่าว เป็นลอตเดียวกับ “แอม ไซยาไนด์” และดาราสาว “ไอซ์ ปรีชญา” ใช้ รวมถึงสัตวแพทย์หญิงรายนี้ก็เคยถูกเรียกสอบตอนเกิดคดี “แอม ไซยาไนด์” แต่ไม่มีความผิด เพราะใช้ตามกฎหมายรักษาสัตว์
แต่ที่สะกิดใจสังคมมากที่สุดก็คือ “บรรทัดสุดท้าย” ของข้อความ ซึ่งเขียนเอาไว้ว่า “ขอให้การตายครั้งนี้ นำมาซึ่งอิสรภาพทั่วทุกจักรวาล” เพราะมีนัยที่เชื่อได้ว่า เกี่ยวโยงกับ “ความเชื่อ” ของผู้ตาย
และในเวลาต่อมา “สามีของสัตวแพทย์หญิง” ก็ไขปริศนาการตายและข้อความบรรทัดสุดท้ายออกมาว่า ตนเองและภรรยาแต่งงานกันกว่า 10 ปี มีลูกสาว 1 คน ภายหลังมีปัญหาครอบครัวกัน และแยกกันอยู่ ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา คุณแม่ของสัตวแพทย์หญิงป่วยติดเตียงทำให้เครียดมากจนป่วยเป็นโรคซึมเศร้า และหันไปนับถือลัทธิโยเร ที่มักจะประกอบพิธีกรรมพิสดาร คนที่เป็นสาวกจะแบ่งชนชั้น ต้องสละเงินเพื่อให้ได้ขึ้นสวรรค์ ก็ไม่รู้ว่าภรรยาไปรู้จักกับลัทธินี้ได้อย่างไร แต่ทำให้ภรรยาเชื่อจนเขียนข้อความในจดหมายทิ้งไว้ว่า “ขอให้การตายครั้งนี้ นำมาซึ่งอิสรภาพทั่วทุกจักรวาล” และทิ้งเงินไว้ 100,000 บาท เพราะความเชื่อที่ว่า สละเงินแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์
ชื่อของ “ลัทธิโยเร” ทำให้สังคมกระหายใคร่รู้ว่า มีความเป็นมาอย่างไร เข้ามาในประเทศไทยได้อย่างไร
อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่ “ครั้งแรก” ที่ชื่อของ “ลัทธิโยเร” เชื่อมโยงกับ “ความตาย” ซึ่งหากยังจำกันได้ เคยเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ในประเทศไทยมาแล้ว กล่าวคือเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2562 มีชายคนหนึ่งเสียชีวิตในบ้านที่นครนายก และมีผู้หญิง 2 คน คือ “หมออ้อยและนางสาวพุฒินันท์” อยู่กับศพ 12 วัน และเอาปูนขาวโรยจนศพแห้ง โดยทราบข้อมูลต่อมาว่า บ้านหลังนี้เปิดรักษาผู้ป่วยตามแบบลัทธิโยเร โดยที่ญาติได้พาชายคนนี้มารักษาที่บ้าน โดยการรักษาคือ สวดคาถา ไม่ต้องกินยา เมื่อผู้ตายเสียชีวิตก็ไม่มีการแจ้งเจ้าหน้าที่ เพราะคนตายสั่งเสียเอาไว้ว่าจะฟื้นขึ้นมา
ปี 2564 ลูกชายของนางสาวพุฒินันท์ ก็เสียชีวิตด้วยโรคประจำตัว และนางสาวพุฒินันท์ก็นั่งเฝ้าศพลูกไว้ 3 วัน ไม่ยอมเอาลูกไปทำพิธีทางศาสนา จนศพของลูกเน่าและส่งกลิ่นเหม็น
ลัทธิโยเรนั้นมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “เซไค คิวเซ-เคียว (Sekai Kyusei-kyo)” ในภาษาญี่ปุ่น หรือ The Church of World Messianity ในภาษาอังกฤษ ตามข้อมูลจากเอกสารชื่อ THE CHURCH OF WORLD MESSIANITY ซึ่งทางหอสมุดแห่งชาติญี่ปุ่น (NDL) ได้เผยแพร่ในรูปแบบไฟล์ PDF ระบุว่า ผู้ก่อตั้งลัทธินี้คือ โมคิจิ โอคาดะ (Mokichi Okada) ชายผู้เกิดในปี 2425 ในครอบครัวที่ประกอบอาชีพค้าขาย ในวัยเด็กสุขภาพของเขาไม่ค่อยแข็งแรงนัก แม้จะมีความฝันอยากเป็นจิตรกรแต่ต้องออกจากโรงเรียนสอนศิลปะกลางคันเพราะอาการป่วยด้วยโรคตา และยังเคยเฉียดตายด้วยอาการเยื่อหุ้มปอดอักเสบจากวัณโรค
แต่อาการเจ็บป่วยเหล่านั้นกลับทำให้เขามีจิตใจมุ่งมั่นจะช่วยเหลือผู้อื่น ทำให้ภายหลังเมื่อเขาได้รับสืบทอดกิจการจากบิดา เขาพยายามหาเงินเพื่อนำไปบริจาคทำการกุศลที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการสังคม แต่แล้วทรัพย์สินทุกอย่างก็สูญสิ้นไปกับเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 2466 กระทั่งในปี 2478 โอคาดะ จึงได้ก่อตั้งลัทธิเซไค คิวเซ-เคียว ขึ้นมาโดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงโตเกียว โดยมีสาวกรุ่นแรก 400-500 คน แต่ช่วงแรกๆ ยังต้องจดทะเบียนเป็นองค์กรที่มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาอาการเจ็บป่วย กระทั่งในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง หรือหลังสปี 2488 จึงได้รับการรับรองในฐานะองค์กรศาสนา
ต่อมาจำนวนผู้นับถือได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการตั้งสำนักงานเพิ่มเติมในเมืองฮาโกเนะและเมืองอาตามิ รวมถึงขยายการดำเนินงานออกไปในต่างประเทศ และแม้จะถูกทางการญี่ปุ่นเพ่งเล็งอยู่เป็นระยะๆ แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งช่วยให้จำนวนผู้นับถือลัทธินี้เพิ่มขึ้น
ลัทธิโยเรมีคำสอนว่า หากต้องการกำจัดเมฆหมอกหรือเงามืดที่บดบังเพื่อให้เกิดความสุขขึ้นภายในจิตใจ สามารถทำได้ 2 วิธี คือ 1.การได้รับแสงอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งประทานจากเบื้องบนเพื่อชำระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ กับ 2.เพียรพยายามหมั่นทำความดีช่วยเหลือผู้อื่นหรือสังคม
ในเรื่องการได้รับแสงศักดิ์สิทธิ์จากเบื้องบน ตามคำสอนของลัทธิโยเร ก็ไม่ได้จำกัดว่ามีเฉพาะอาจารย์ (หรือนักบวช) ในลัทธิเท่านั้น แต่ผู้ที่ศรัทธาทุกคนก็สามารถเข้าถึงได้เช่นกัน แม้กระทั่งสาวกของลัทธิก็สามารถถ่ายทอดหรือส่งผ่านแสงศักดิ์สิทธิ์นี้ไปสู่ผู้อื่นได้ ยิ่งความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณของผู้ศรัทธากับพระผู้เป็นเจ้าลึกซึ้งมากขึ้นเท่าใด พรของพระเจ้าก็จะยิ่งอุดมสมบูรณ์พร้อมมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ โอคาดะ ผู้เป็นศาสดายังแนะนำให้ผู้นับถือใช้ความงาม ทั้งที่เป็นตามธรรมชาติและที่ถูกประดิษฐ์ขึ้น เพื่อชำระล้างจิตใจให้บริสุทธิ์ ซึ่งเขาได้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ศิลปะขึ้นที่เมืองฮาโกเนะ แต่ก็ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องมาที่พิพิธภัณฑ์เท่านั้น ขอเพียงผืนดินถูกรังสรรค์ให้เป็นสวนที่มีทิวทัศน์สวยงาม นั่นก็เป็นอีกหนทางในการชำระล้างจิตใจให้บริสุทธิ์ได้เช่นเดียวกัน เขายังสนับสนุนให้ศาสนาต่างๆ ที่มีอยู่บนโลกร่วมมือกันเพื่อสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นด้วย
สำหรับประเทศไทย มีรายงานว่า ลัทธิโยเรเข้ามาในปี 2511 โดย คาซูโอะ วาคุกามิ (Kazuo Wakugami) เพื่อส่งเสริมการทำเกษตรแบบธรรมชาติตามแนวทางของคิวเซ (Kyusei Nature Farming) ที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ และต่อมาได้จดทะเบียนองค์กรชื่อ “มูลนิธิบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ด้วยกิจกรรมทางศาสนา” ในช่วงแรกกรมการศาสนาให้การรับรองในฐานะองค์กรศาสนาย่อยของศาสนาพุทธนิกายมหายาน
กระทั่งในปี 2527 ได้ถูกเพิกถอนสถานะดังกล่าว แต่ยังดำเนินการในฐานะมูลนิธิฯ ต่อไป ซึ่งในไทย มีสถานปฏิบัติธรรมหรือชุมนุมของผู้นับถือลัทธิโยเรทั้งหมด 24 สาขา เกือบทั่วประเทศ ทั้งที่กรุงเทพฯ สระบุรี นนทบุรี ฉะเชิงเทรา สระแก้ว จันทบุรี ระยอง นครราชสีมา อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต หาดใหญ่ เชียงใหม่ ลำปาง สุโขทัย พิษณุโลก แพร่ น่านและเพชรบูรณ์ ส่วนสถานที่บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ของลัทธิโยเรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เรียกว่าหอเซจิ ตั้งอยู่ที่ ต.ชำผักแพว อ.แก่งคอย จ.สระบุรี มีเนื้อที่กว่า 430 ไร่
โดยผู้ต้องการเข้าร่วมต้องเข้าพิธี “รับพระ” หรือ “เหรียญโอฮิการิ” ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่าย ยกตัวอย่างเช่น มีการเรียกเก็บเงินแรกเข้ากับสมาชิกรายละ 100 บาท เรียกเก็บเงินค่าเหรียญโยเร รายละ 1,000 - 3,000 บาท นอกจากนี้ ยังมีการเรียกเก็บค่าสมาชิกรายปีอีก รายละ 150 บาท เป็นต้น
เมื่อเข้าร่วมลัทธิแล้วก็จะต้องหมั่นปฏิบัติกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง ทั้งการสักการะ การโยเร และการบำเพ็ญประโยชน์ รวมถึงเผยแพร่คำสอนเพื่อให้มีจำนวนผู้นับถือมากขึ้น นอกจากนี้ ผู้ที่ผ่านพิธีรับพระแล้วจะสามารถปล่อยแสงจากมือเพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ โดยการบูชาจะกล่าวถ้อยคำเป็นคาถาว่า “ขออำนาจพระรัตนตรัยและท่านเมซึซามะ ขอให้คนข้างหน้าจงมีความสุข” แล้วยกมือขึ้นระดับศีรษะ หันฝ่ามือไปทางผู้รับแสงค้างไว้ 10 - 15 นาที วันละ 1 - 2 ครั้ง
การเข้าเป็นสาวกหรือศาสนิกชนของลัทธิโยเร แบ่งเป็นลำดับชั้น ทั้งหมด 5 ระดับ ไล่จากระดับล่างสุด คือ
1.ระดับสมาชิก คือ ผู้เพิ่งเข้าลัทธิ
2.เซวานิน ผู้ที่เข้าลัทธิ 1-2ปี และถ้าจะขึ้นมาระดับนี้ต้องชักชวนคนเข้าลัทธิ
3.ไคเฮียว ผู้ที่เข้าลัทธิมากกว่า 2 ปีต้องปฏิบัติศาสนากิจประจำ
4.ภูไคอิ้น คือ ผู้ที่มีความเลื่อมใสสูง ร่วมทำพิธีบ่อย และระดับสูงสุดคือ
5.เกียวไคโจ้ ผู้ที่เป็นระดับอาจารย์ ละทางโลก เป็นผู้เผยแพร่คำสอน
“นายจีรพันธ์ เพชรขาว หรือ หมอปลา” มือปราบสัมภเวสี ให้ข้อมูลเกี่ยวกับลัทธิโยเรว่า เมื่อ 40 ปีก่อน รู้จักลัทธิโยเรตั้งแต่อายุ 9 ขวบ เพราะว่าช่วงนั้นคุณเเม่ตนเองป่วย เเล้วมีพวกหน้าม้าเข้ามาตีสนิทบอกว่า ถ้าเข้าลัทธิโยเรเเล้วจะทำให้อาการเจ็บป่วยหายดี ตนเองจึงเข้าลัทธิเป็นเพื่อนเเม่ ไปถึง จ.สระบุรี ในอดีตเป็นเพียงป่าสับปะรดอยู่ตีนเขา ไปตั้งเเต่ห้องน้ำยังกั้นด้วยสังกะสี ตนเคยเตือนเเม่เเล้ว เเต่มีพวกสาวกที่เป็นหน้าม้าคอยเข้ามาประกบ คอยบอกว่าไปแล้วดียังไงบ้าง เพื่อให้คนคล้อยตาม
หมอปลา กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังมีการรับเหรียญ หรือที่เรียกว่ารับพระ ตอนนั้นราคา 900 บาท เเต่ปัจจุบันราคาหลายพันบาท ซึ่งจะมีพิธีกรรมต่างๆ โดยการยกมือตัวเองขึ้นมา เพื่อปล่อยเเสงให้กับคนที่เจ็บป่วย เเล้วเชื่อว่าจะหาย ช่วงที่เเม่ตนป่วยหนักจะมีสาวกของเขามาปล่อยให้เเม่เยอะมาก สุดท้ายก็ไม่หาย เเม่ตนก็เสียชีวิต มีหลายคนโดนหลอกแบบเเม่ ตนก็พยายามเตือนมาตลอด บางคนก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง เเละยังคงเชื่อในลัทธิอยู่ ตนมองว่าลัทธินี้ปัจจุบันฉลาดมาก จะเปิดเป็นสาขาต่างๆ เพื่อให้หัวหน้าหน่วยมาสอนความเชื่อดังกล่าว
ส่วนกรณีที่เกิดการฆ่าตัวตายที่ จ.ระยอง หมอปลาไม่เเน่ใจว่าจะข้องเกี่ยวกับลัทธินี้หรือไม่ อาจจะ 50/50 เเต่สิ่งที่น่าจะเกี่ยวข้องกับลัทธิโยเรอยู่ 1 ประเด็น คือ การพูดถึงจักรวาล ซึ่งลัทธิโยเร เชื่อว่าคนที่เข้าลัทธิเป็นผู้วิเศษสามารถช่วยเหลือคนให้หายจากอาการเจ็บป่วยได้ เป็นจิตวิทยาให้คนแก่หรือเด็ก หลงเชื่อคำสอน คล้อยตาม ที่บอกว่าตายไปแล้วฟื้น มีคำสอนนี้จริง เคยได้ยิน เเต่ถ้าตายเพื่อจักรวาล ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ขอให้เชื่อตัวเอง เราไม่ใช่ผู้วิเศษ เเต่ลัทธิต่างๆ จะอ้างว่าพอเข้าไปแล้วจะเป็นผู้เหนือคนอื่น สามารถช่วยเหลือผู้คนได้ อย่างลัทธิโยเร มีเเสงออกจากมือรักษาคน เเต่ที่ตนเห็น สุดท้ายทุกคนก็เข้ารพ. เพราะมันคือการหลอกลวง เเละทำให้เสียเวลาไปรพ.หาหมอ” หมอปลาเตือนสติ
นอกจากความเชื่อเรื่อง แสงจากฝ่ามือจะช่วยรักษาโรคภัย อาการเจ็บป่วยทางร่างกายและจิตใจได้แล้ว ยังมีปัญหาการบิดเบือนคำสอน และเจตนารมย์เดิมของผู้ก่อตั้ง มีการตั้งองค์กรเป็นกลุ่มธุรกิจเชิงพาณิชย์มากขึ้น สาวกที่คลั่งไคล้คำสอนในปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ และแม่บ้านที่ค่อนข้างมีเวลา และทุนทรัพย์ไปบำเพ็ญบุญร่วมกิจกรรม และให้เวลากับการร่วมกิจกรรมของลัทธิมากกว่าครอบครัว
และยังพบข้อมูลด้วยว่า ผู้ร่วมลัทธิโยเรส่วนหนึ่ แตกกระจายมาจากกลุ่มของวัดพระธรรมกาย ในช่วงที่ “พระธัมมชโย” อดีตเจ้าอาวาสประสบปัญหา ช่วงนั้นผู้ศรัทธาต่างหันหน้าไปแสวงบุญและบริจาคเงินทำบุญกับมูลนิธิโยเรแทน
อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 4 มกราคม เฟซบุ๊ก สำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย ได้เผยแพร่เอกสารชี้แจง ยืนยันว่า วัดธรรมกาย ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มโยเร โดยระบุว่า วัดพระธรรมกายไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มโยเรแต่อย่างใด
“ตามที่สื่อออนไลน์บางสำนักนำเสนอข่าวอันเป็นเท็จว่า “ลัทธิโยเร” เชื่อมโยงเกี่ยวพันกับวัดพระธรรมกายนั้น วัดพระธรรมกายขอชี้แจงว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับกลุ่มความเชื่อตามที่สื่อกล่าวอ้าง ทั้งนี้ วัดพระธรรมกายเป็นวัดในพระพุทธศาสนา สังกัดคณะสงฆ์ไทย ยึดแนวปฏิบัติตามหลักพระธรรมวินัยของสงฆ์เถรวาท ภายใต้การปกครองของมหาเถรสมาคม (มส.) ดังนั้นการนำเสนอข่าวที่ปราศจากข้อเท็จจริง อาจเป็นการกระทำผิดกฎหมายได้ วัดพระธรรมกายจึงชี้แจงมาเพื่อทราบ และโปรดเผยแพร่ความจริงดังกล่าวแก่สาธารณชนด้วย จักขอบคุณยิ่ง”เฟซบุ๊ก สำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย ว่าไว้
ขณะที่ พ.ต.อ.อาทิตย์ ยาแก้ว ผู้กำกับการ สภ.บ้านฉาง การสอบสวนทราบว่า สัตวแพทย์หญิงรายดังกล่าวไม่ได้มีปัญหาเรื่องการเงิน แต่ป่วยซึมเศร้ามานานแล้ว จึงอาจเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตครั้งนี้ ส่วนประเด็นเรื่องลัทธิโยเร เท่าที่ทราบ ผู้ตายนับถือลัทธิดังกล่าวจริง โดยไม่ให้ลูกสาวไปโรงเรียนมา 2 ปีแล้ว โดยให้เหตุผลว่าเดี๋ยวโลกก็แตก แต่จากข้อมูลพฤติกรรมที่ผ่านมา ผู้ตายก็รักลูก และไม่มีท่าทีจะทำร้าย จึงเชื่อว่าอาจจะเป็นเพียงการนับถือของผู้เสียชีวิต แต่ไม่น่าจะเกี่ยวกับการตัดสินใจปลิดชีพ
ถึงตรงนี้ แม้จะยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว แต่ก็น่าจะทำให้หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบอย่าง “กรมการศาสนา” ปฏิบัติการเชิงรุกเพื่อตรวจสอบอย่างจริงๆ จังๆ ว่า สภาพที่แท้จริงของลัทธิโยเรในประเทศไทย เวลานี้ เป็นเช่นไร กันแน่