ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - จุดพลุกระตุ้นเศรษฐกิจในปีนี้ให้เติบโตตามเป้าหมายสมราคาคุย หลังปีกลายอะไรๆ ก็พลาดเป้าไปหมด แม้แต่จะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้สอดรับกับค่าครองชีพยังทำไม่ได้ อย่าฝันถึงแจกเงินดิจิทัลวอลเลตที่ยังเละเป็นวุ้น
มาปีนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จึงปลุกใจคนไทยว่าเศรษฐกิจจะต้องดีขึ้นกว่าปีก่อน การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรกของปี 2567 จึงเคาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เสนอโดยกระทรวงการคลังเพื่อส่งเสริมประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย ดึงเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มสดใส
มาตรการลดภาษีรอบนี้คล้ายเอากุ้งฝอยไปตกปลากะพง โดยรัฐบาลวาดหวังว่าเมื่อลดภาษีสุราพื้นบ้าน ไวน์ และสถานบันเทิง บวกกับการยกเว้นวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวจีนหรือฟรีวีซ่าจากที่ยกเว้นเป็นการชั่วคราวให้เป็นการถาวร จะดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวไทยและจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
“... มั่นใจเศรษฐกิจปีนี้ดีกว่าปีที่ผ่านมา...” นายกรัฐมนตรี กล่าว ส่วนปีที่ผ่านมา “... ถือว่าอยู่ในภาวะที่หนักหนาอยู่เหมือนกัน...”
เป็นการสะท้อนความเห็นของนายกรัฐมนตรี ที่ยอมรับว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยเมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา เติบโตต่ำกว่าเป้าหมายโดยไตรมาส 3/2566 โตแค่ 1.5% ซึ่งถือว่า “ไม่ดี” ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านยังมีการขยายตัวดี ดังนั้นเมื่อคู่เทียบยังดีมีแต่ไทยที่ย่ำแย่ รัฐบาลเพื่อไทยจึงต้องทำการบ้านอย่างหนักตั้งแต่ต้นปี
นายเศรษฐา ยอมรับว่า ตามแผนเตรียมปล่อยดิจิทัลวอลเลตออกมาให้ได้ในไตรมาสแรกของปี 2567 แต่เมื่อทำไม่ได้ก็หามาตรการอื่น เช่น การยกเว้นวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวจีนแบบชั่วคราวซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 ก็จะยกเว้นวีซ่าถาวรเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป นักท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศสามารถไปกลับได้โดยไม่ต้องมีวีซ่า และที่ประชุมครม.ยังเห็นชอบปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตและอากรประเภทต่างๆ ด้วย
กล่าวสำหรับเรื่องฟรีวีซ่าไทย-จีน นั้น นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้รายละเอียดว่า ครม. ได้เห็นชอบการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการตรวจลงตรา หรือการยกเว้นวีซ่าซึ่งกันและกัน สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาและหนังสือเดินทางกึ่งราชการ โดยจะลงนามความตกลงภายในเดือนมกราคมหรือต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2567
สาระสำคัญร่างความตกลงฯ ระบุให้ยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทยและผู้ถือหนังสือเดินทางกึ่งราชการ และหนังสือเดินทางธรรมดาของจีน สามารถพำนักได้ไม่เกิน 30 วัน และรวมระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน ภายในช่วงเวลา 180 วัน ยกเว้นกรณีการพำนักถาวร การทำงาน การศึกษา กิจกรรมด้านสื่อ หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่จำเป็นต้องได้รับการอนุญาตล่วงหน้า
เบื้องหลังการจัดทำความตกลงนี้ นายปานปรีย์ เล่าว่า เป็นผลมาจากที่นายกรัฐมนตรีไปเยือนจีนอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 16-19 ตุลาคม 2566 โดยได้หารือกับนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ ประชาชนจีน ขอให้ทั้งสองฝ่ายจัดทำความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาซึ่งกันและกัน ต่อมาวันที่ 6-7 ธันวาคม 2566 ตนได้ไปร่วมประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศ กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ที่กรุงปักกิ่ง ได้หารือทวิภาคีเรื่องการยกเว้นวีซ่าให้กับคนไทยกับนายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน ซึ่งนายหวัง อี้ เห็นชอบด้วย จึงตั้งคณะทำงานทั้งสองฝ่ายมาหารือกัน จากนั้นวันที่ 21—22 ธันวาคม 2566 คณะทำงานฝ่ายไทย นำโดยรองอธิบดีกรมเอเชียตะวันออก ได้เจรจากับรองอธิบดีกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศของจีนที่กรุงปักกิ่งและเห็นพ้องที่จะให้ความตกลงฯมีผลบังคับใช้ภายในวันที่ 1 มีนาคม 2567
ส่วนการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตและอากรอื่นๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ขยายความว่า ครม.มีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ เพื่อเป็นการเสริมสร้างบรรยากาศและภาพลักษณ์การเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยว (Tourist Destination) หรือเป็นศูนย์กลาง (Hub) ด้านร้านอาหารและภัตตาคารที่มีคุณภาพ หลากหลาย และมีจุดแข็งด้านราคาในระดับภูมิภาค นำไปสู่การเพิ่มการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและชาวไทยทุกระดับ และเพิ่มสัดส่วนนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงอย่างยั่งยืน โดยมีมาตรการปรับปรุงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตและภาษีประเภทอื่น รวมทั้งปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว จูงใจให้นักท่องเที่ยวใช้จ่ายซื้อสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจเพิ่มมากขึ้น
สำหรับการปรับปรุงโครงสร้างภาษีสรรพสามิต สินค้าสุรา แยกเป็น สุราแช่ชนิดไวน์ และสปาร์กลิ้งไวน์ที่ทำจากองุ่น (Wine) ยกเลิกการจัดเก็บภาษีจากการแบ่งชั้นของราคา (Price Tier) และกำหนดให้มีการจัดเก็บเป็นอัตราเดียว (Unitary Rate) โดยปรับอัตราภาษีให้มีอัตราภาษีตามมูลค่าที่ร้อยละ 5 และอัตราภาษีตามปริมาณที่ 1,000 บาท ต่อปริมาณหนึ่งลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์
สุราแช่ผลไม้ที่มีส่วนผสมขององุ่นหรือไวน์องุ่น (Fruit Wine) ยกเลิกการจัดเก็บภาษีจากการแบ่งชั้นของราคา และกำหนดให้มีการจัดเก็บเป็นอัตราเดียว โดยปรับอัตราภาษีให้มีอัตราภาษีตามมูลค่าที่ร้อยละ 0 และอัตราภาษีตามปริมาณที่ 900 บาท ต่อปริมาณหนึ่งลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์
สุราแช่ชนิดอื่นๆ จากเดิมจัดเก็บภาษีอัตราตามมูลค่าร้อยละ 10 และอัตราตามปริมาณ 150 บาท ต่อปริมาณหนึ่งลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ให้กำหนดอัตราภาษีโดยจำแนกพิกัดอัตราภาษีประเภทย่อย ดังนี้
อุ กระแช่ สาโท สุราแช่พื้นบ้านอื่น และสุราแช่ที่ใช้วัตถุดิบเป็นข้าวที่มีแรงแอลกอฮอล์ไม่เกิน 7 ดีกรี กำหนดอัตราภาษีตามมูลค่าร้อยละ 0 และอัตราตามปริมาณ 150 บาท ต่อปริมาณหนึ่งลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์
สุราแช่ที่มีการผสมสุรากลั่นและมีแรงแอลกอฮอล์เกินกว่า 7 ดีกรี เช่น โซจู โดยกำหนดอัตราภาษีตามมูลค่าร้อยละ 10 และอัตราภาษีตามปริมาณ 255 บาท ต่อปริมาณหนึ่งลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ส่วนสุราแช่อื่นๆ นอกจากที่กล่าวมาแล้ว กำหนดอัตราภาษีตามมูลค่าร้อยละ 10 และอัตราภาษีตามปริมาณ 150 บาท ต่อปริมาณหนึ่งลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์
สำหรับสุราแช่ที่มิใช่เพื่อการค้า ได้ปรับโครงสร้างและอัตราภาษีให้สอดคล้องกับการปรับโครงสร้างภาษีและอัตราภาษีในครั้งนี้ โดยกำหนดอัตราภาษีตามมูลค่าร้อยละ 0 และอัตราภาษีตามปริมาณเท่ากับอัตราภาษีของสินค้าสุราแช่ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
นอกจากนั้น ยังมีการปรับปรุงโครงสร้างภาษีสรรพสามิต กิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ โดยกรมสรรพสามิต ยกร่างกฎกระทรวงฯ เพื่อปรับปรุงโครงสร้างภาษีสรรพสามิต ตอนที่ 17 กิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ โดยปรับลดอัตราภาษีตามมูลค่า จากอัตราร้อยละ 10 ลดลง เหลือร้อยละ 5 ของรายรับของสถานบริการโดยไม่หักค่าใช้จ่าย สำหรับกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ ประเภทที่ 17.01 ได้แก่ ไนต์คลับ , ดิสโกเธค , ผับ , บาร์ และคอกเทลเลาจน์ โดยให้หมายความรวมถึงสถานที่ที่จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ โดยจัดให้มีการแสดงดนตรี หรือการแสดงอื่นใดเพื่อการบันเทิง ซึ่งปิดทำการหลังเวลา 24.00 น. เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคการท่องเที่ยวและบริการ ให้สอดคล้องกับนโยบายสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวของรัฐบาล โดยมาตรการดังกล่าวเป็นมาตรการระยะสั้นมีกำหนดระยะเวลาประมาณ 1 ปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567
กรมสรรพสามิต ยังปรับปรุงโครงสร้างภาษีศุลกากรสินค้าไวน์ โดยยกร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่ง พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 30 (ฉบับที่…) เพื่อปรับปรุงโครงสร้างภาษีศุลกากรสินค้าไวน์ให้สอดคล้องกับการปรับปรุงโครงสร้างภาษีสรรพสามิต โดยกำหนดให้ยกเว้นอากรศุลกากรสินค้าไวน์ทุกชนิดตามประเภทพิกัด 22.04 (ไวน์ที่ทำจากองุ่นสด และเกรปมัสต์) และ 22.05 (เวอร์มุท และไวน์อื่นๆ ที่ทำจากองุ่นสด ปรุงกลิ่นรสด้วยพืช หรือ สารหอม) รวมทั้งสิ้น 21 ประเภทย่อย และให้ลดอัตราอากรจากร้อยละ 60 เป็นยกเว้นอากร โดยให้มีผลใช้บังคับพร้อมร่างกฎกระทรวงฯ
ขณะเดียวกัน กระทรวงการคลัง ยังมีการปรับปรุงหลักเกณฑ์การตรวจสินค้า เพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มของนักท่องเที่ยว (VAT Refundfor Tourists) โดยกรมสรรพากร ได้ดำเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์การตรวจสินค้าเพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เพื่อลดปริมาณนักท่องเที่ยวที่ต้องเข้าคิวแสดงสินค้าในกระบวนการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มของนักท่องเที่ยว ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566
สำหรับการปรับเพิ่มวงเงินซื้อสินค้าที่ต้องแสดงต่อศุลกากร จากเดิมตั้งแต่ 5,000 บาทขึ้นไป ปรับเป็น 20,000 บาทขึ้นไป ซึ่งจะลดจำนวนนักท่องเที่ยวที่ต้องแสดงสินค้าลงจาก 1.2 แสนรายต่อปี เหลือประมาณ 30,000 รายต่อปี หรือ ลดลงประมาณ 75% และการปรับเพิ่มมูลค่าสินค้าที่ต้องนำไปแสดงต่อสรรพากร 9 รายการ ได้แก่ เครื่องประดับ ทองรูปพรรณ นาฬิกา แว่นตา ปากกา สมาร์ทโฟน แล็ปท็อป หรือ แท็บเล็ต กระเป๋า (ไม่รวมกระเป๋าเดินทาง) เข็มขัด จากเดิมมูลค่าต่อชิ้นตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป เพิ่มเป็น 40,000 บาทขึ้นไป และของที่สามารถถือขึ้นเครื่องได้ (carry-on) จากเดิมมูลค่าต่อชิ้นตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป เพิ่มเป็น 100,000 บาทขึ้นไป ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ใหม่นี้จะช่วยลดจำนวนนักท่องเที่ยวที่ต้องแสดงสินค้าลงจาก 1.2 แสนรายต่อปี (หรือ 4.7% ของจำนวนนักท่องเที่ยวที่ขอคืนภาษีทั้งหมด) เหลือประมาณ 30,000 รายต่อปี (หรือ 1.2% ของจำนวนนักท่องเที่ยวที่ขอคืนภาษีทั้งหมด) หรือ ลดลงจาก 333 คนต่อวัน ที่ต้องแสดงสินค้าเหลือเพียง 84 คนต่อวัน โดยประมาณ หรือ ลดลงกว่า 75%
ปลัดกระทรวงการคลัง ตั้งเป้าหมายว่า การปรับปรุงโครงสร้างและอัตราภาษีสรรพสามิต และการยกเว้นอากรขาเข้าต่าง ๆ ข้างต้น ซึ่งต้องตราเป็นกฎกระทรวงและประกาศกระทรวงการคลังจะเร่งดำเนินการให้มีผลบังคับใช้ภายในเดือนมกราคม 2567 ซึ่งมาตรการดังกล่าวข้างต้น จะส่งผลทำให้การจัดเก็บรายได้ภาษีสรรพสามิตและภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้นสุทธิประมาณ 401 ล้านบาทต่อปี และ GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.0073% เทียบกับกรณีไม่มีมาตรการ
กระทรวงการคลัง ยังคาดหวังว่า ภาครัฐยังจะสามารถจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้นิติบุคคลได้เพิ่มเติมในอนาคตจากการเพิ่มขึ้นของการจับจ่ายใช้สอยและการเพิ่มขึ้นของรายได้ของผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น ร้านค้า ร้านอาหาร ภัตตาคาร ธุรกิจบริการ สถานบันเทิง โรงแรมที่พัก ผู้ให้บริการขนส่ง สายการบินเป็นต้น และส่งผลให้มีการลงทุนขยายกิจการและการจ้างงานเพิ่มขึ้นต่อไปส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ดีขึ้น
อย่างไรก็ดี กระทรวงการคลัง ประมาณการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ จากการปรับปรุงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตสินค้าสุรา ทำให้กรมสรรพสามิตจัดเก็บภาษีได้ลดลง 150 ล้านบาทต่อปี ส่วนการปรับลดอัตราภาษีสำหรับกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ ทำให้กรมสรรพสามิตจัดเก็บภาษีได้ลดลงเป็นจำนวน 70 ล้านบาท (คาดการณ์จากสถิติปริมาณการชำระภาษีในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566) และการยกเว้นอากรศุลกากรขาเข้าสินค้าไวน์ดังกล่าว ทำให้กรมศุลกากรสูญเสียรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 429 ล้านบาทต่อปี
ปรับโครงสร้างภาษีใหม่แล้ว คอไวน์จะจ่ายน้อยลงหรือไม่ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า โครงสร้างภาษีไวน์ใหม่นั้น จะทำให้ราคาไวน์ที่เกิน 1 พันบาทถูกลง ส่วนไวน์ราคาไม่เกิน 1 พันบาท จะใกล้เคียงกับของเดิม เช่น ไวน์ขวดละ 1 หมื่น เดิมเสียภาษีประมาณ 1 พันบาท หลังจากนี้จะเสียภาษี 600 บาท โดยประเมินว่าภาพรวมการจัดเก็บภาษีไวน์ภายหลังจากการปรับโครงสร้างภาษีจะเพิ่มขึ้นราว 900 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากปีที่ผ่านมาจากเก็บได้ 2.5 พันล้านบาท เพิ่มจากก่อนหน้านี้ที่ 1.8 พันล้านบาท การปรับโครงสร้างภาษีใหม่เพื่อให้เป็นสากลมากขึ้นด้วย
ส่วนการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตกิจการบันเทิงและหย่อนใจนั้น จะช่วยทำให้ผู้ประกอบการที่อยู่นอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบมากขึ้น และจะช่วยให้ผู้ประกอบการมีสภาพคล่องมากขึ้นด้วย โดยก่อนหน้านี้มีผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบ 1,500 ราย แต่ในช่วงโควิด-19 ลดลงเหลือราว 700 ราย หลังจากมีมาตรการนี้ กรมคาดว่าจะมีผู้ประกอบการเข้ามาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด-19
ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2566 กรมสรรพสามิต จัดเก็บภาษีสุรา ภาษีเบียร์ และภาษีเครื่องดื่ม 177,596 ล้านบาท แบ่งเป็นภาษีสุรา 64,168 ล้านบาท ภาษีเบียร์ 86,480 ล้านบาท ภาษีเครื่องดื่ม 26,948 ล้านบาท
มีเสียงสะท้อนจากบริษัทผู้นำเข้าและจำหน่ายไวน์ ที่เพิ่งอิมพอร์ตไวน์เข้ามาหรือมีไวน์ค้างในสต็อก ซึ่งต่างได้รับผลกระทบ เนื่องจากสินค้าที่นำเข้ามาแล้วเสียภาษีในอัตราที่สูงราคาขายจึงสูงเมื่อเทียบกับไวน์ลอตใหม่ที่นำเข้ามาหลังมีมติครม. ทางออกหนึ่งคือต้องนำเข้าลอตใหม่เพื่อนำมาถัวเฉลี่ยกับราคาไวน์ในสต็อก ซึ่งคาดว่ากว่าจะเคลียร์สต็อกหมดต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3-6 เดือน ส่วนราคาไวน์ที่นำเข้ามาใหม่จากการคำนวณอัตราภาษีที่ปรับลดลง จะทำให้ราคาไวน์ลดลงขวดละประมาณ 100-200 บาท
ขณะเดียวกัน เมื่อภาษีไวน์ถูกลงก็อาจจะมีผู้ประกอบการที่นำเข้ามาทำตลาดมากขึ้น ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็จะส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการไวน์ไทยหรือผู้ประกอบการที่ได้มีการลงทุนตั้งแต่ปลูก ผลิต และจำหน่าย
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ในปี 2567 มีการประเมินว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 34-35 ล้านคน คาดว่าหลังจากมีมาตรการส่งเสริมประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย จะช่วยทำให้รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2.9 พันล้านบาท จากเป้าหมายเดิมก่อนมีมาตรการที่ 1.49 ล้านล้านบาท ภายใต้สมมุติฐานจำนวนนักท่องเที่ยวไม่เพิ่มขึ้นจากที่ได้ประมาณการเอาไว้ แต่ถ้าจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ประมาณการเอาไว้ ก็จะทำให้รายได้จากนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นไปมากกว่านี้ โดยค่าใช้จ่ายต่อหัวคาดว่าจะเพิ่มเป็น 4.34 หมื่นบาท จากเดิมที่ 4.2 หมื่นบาท การบริโภคแอลกอฮอล์จะเพิ่มขึ้นจากสถิติเดิมราว 3%
อย่างไรก็ดี ที่ประชุม ครม. วาดฝันถึงเป้าหมายนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวไทยในปี 2567 เอาไว้สูงถึง 40 ล้านคน เพิ่มเกือบเท่าตัวจากปีที่ผ่านมา 28.04 ล้านคน ซึ่งนายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายก รัฐมนตรี (ครม.) เผยว่า รัฐบาลตั้งเป้าสูงมากเพราะหวังจากมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ผลักดันออกมา และคาดว่านักท่องเที่ยวชาวจีนจะมามากขึ้นจากปี 2566 ที่เข้ามา 3.5-3.6 ล้านคน ส่วนเมื่อก่อนหน้าช่วงปี 2562 มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามามากเกือบ 11 ล้านคนเลยทีเดียว นอกจากนั้นรัฐบาลยังคาดหวังนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่น เช่น รัสเซีย มาเลเซีย และกลุ่มประเทศยุโรป เข้ามาเพิ่มมากขึ้น
อีกมุมหนึ่ง มาตรการที่รัฐบาลออกมาล่าสุดคือลดภาษีสุราเพื่อกระตุ้นท่องเที่ยวนั้น ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) มองว่าอาจได้ไม่คุ้มเสีย เพราะการเก็บภาษีสุราเพื่อลดแรงจูงใจในการบริโภคและนำเอารายได้ไปดูแลปัญหาสังคมที่เกิดขึ้น เช่น รณรงค์เมาไม่ขับ หรือรักษาผู้ป่วยพิษสุราเรื้อรัง การลดภาษีเป็นการขัดกับหลักการที่ว่าการเก็บภาษีน้ำเมาเพื่อเอาไว้ดูแลสังคม ขณะที่การลดภาษีสุราพื้นบ้านเหลือ 0% เพื่อกระตุ้นท่องเที่ยวและเศรษฐกิจภายในประเทศ นั้นอาจมีผลทำให้ราคาถูกลงแต่ผลทางอ้อมคือนักท่องเที่ยวจะมามากหรือน้อยคงไม่เกี่ยวกับการลดภาษี การกระตุ้นภาคท่องเทียวควรต้องเสริมเรื่องคุณภาพการให้การบริการ แก้ปัญหาการเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว ให้ผลประโยชน์ตกแก่ชุมชนให้มากที่สุด เช่น จัดอีเว้นท์ในแต่ละเดือนให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่และโปรโมทให้เป็นงานประจำปี เช่น Christmas Market ของยุโรป
ทั้งนี้ ข้อมูลจากศูนย์วิจัยปัญหาสุรา ด้านพฤติกรรมการดื่มสุราของประชากรไทย ปี 2565 พบว่าแนวโน้มค่าใช้จ่ายในการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของนักดื่มปัจจุบันเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ส่วนการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2564 พบนักดื่มหน้าใหม่ของไทย ช่วงอายุ 15-19 ปี มากถึง 30.8% ช่วงอายุ 20-24 ปี 53.3% ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การดื่มเพิ่มมากขึ้นคือ การโฆษณาผ่านสื่อสังคมออนไลน์และการจัดอีเว้นท์
นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.พรรคก้าวไกล ทวิตถึงมาตรการลดการจัดเก็บภาษีสุราของครม.ข้างต้นว่า “ช้าก่อน ภาษีสุรา ไม่ใช่ 0% ยังคงต้องเสียไปเสียภาษีประเภทสุราตามดีกรีเเอลกอฮอล์ ตามประเภท ตามชนิดสุรากันต่อไป เเต่ก็ขอบคุณครม. และดีใจกับพี่น้อง #สุราชุมชน บางคนด้วย เเม้สุราขาวที่ทำส่วนใหญ่จะยังไม่ได้”
ที่ผ่านมา Think Forward Center ของพรรคก้าวไกล ผลักดันนโยบาย “สุราก้าวหน้า” ปลุกกระแสสุราชุมชน เหล้าพื้นบ้าน เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตทางการเกษตร ทั้งข้าว อ้อย มัน ข้าวโพด มะพร้าว ตาล จาก ฯลฯ โดยคาดว่าจะเพิ่มมูลค่าได้ไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท/ปี สร้างงานและผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ทำให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชนไม่น้อยกว่า 30,000 ล้านบาท/ปี เป็นการเสริมสร้างการท่องเที่ยว พัฒนาต่อยอดภูมิปัญญาดั้งเดิมเพิ่มมูลค่า
ทางด้านพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นต้นคิดปลุกปั้นสุราพื้นบ้านเป็นหนึ่งในสินค้าโอทอปมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 สมัยที่ยังเป็นพรรคไทยรักไทย เพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชน ถือว่ามาตรการลดการจัดเก็บภาษีสุราพื้นบ้านที่ออกมาเป็นการสานต่อนโยบาย ซึ่งใช้เวลารอคอยยาวนานกว่ายี่สิบปี
และที่แน่ๆ การลดภาษีครั้งนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อช่วยให้คนตัวเล็กตัวน้อยผู้ผลิตสุราพื้นบ้านหรือผู้ผลิตไวน์ภายในประเทศ ต่อกรกับยักษ์น้ำเมาที่ผูกขาดตลาดมาเนิ่นนานแต่อย่างใด