ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
สถานที่ที่ควรไปเยือนอีกที่หนึ่งในซีอันคือ เจดีย์ห่านป่า อันเป็นสถานที่ที่เคยใช้เก็บพระไตรปิฎกและพระพุทธรูปที่ พระถังซัมจั๋ง นำมาจากอินเดียตั้งแต่ครั้งราชวงศ์ถัง (ค.ศ.618-907) ด้วยเหตุที่เจดีย์นี้มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพระถังซัมจั๋ง ในที่นี้จึงขอบอกเล่าเรื่องราวของภิกษุรูปนี้ก่อน
คำว่า พระถังซัมจั๋ง ที่เป็นคำในเสียงจีนแต้จิ๋วนี้เป็นชื่อเรียกขานพระภิกษุเสีว์ยนจั้ง (ค.ศ.602-664) อันเป็นสมณฉายาของ เฉินฮุย หรือ เฉินอี (ชื่อในพยางค์ที่สองอ่านได้สองเสียง) ส่วนสมณฉายาในพยางค์แรกคือคำว่า เสีว์ยน นั้นหมายถึง ลึกซึ้ง คำว่า จั้ง หมายถึง คัมภีร์ ซึ่งในบริบทของสังคมจีนจะหมายถึงคัมภีร์ในศาสนาพุทธและลัทธิเต้า
ดังนั้น ในเมื่อเสีว์ยนจั้งบวชในศาสนาพุทธ สมณฉายาของเสีว์ยนจั้งจึงหมายถึง ผู้ลึกซึ้งในคัมภีร์พุทธ และเมื่อแปลสมณฉายานี้เป็นคำสันสกฤตจึงมีผู้แปลเป็นว่า ไตรปิฎกธโร
โดยคำว่า ธโร หมายถึง การทรงไว้ คำว่า ไตรปิฎกธโร จึงหมายถึง การทรงไว้ซึ่งไตรปิฎก ซึ่งมีความหมายนัยเดียวคำว่า เสีว์ยนจั้ง แต่กระนั้น ด้วยบทบาทของเสีว์ยนจั้งที่มีต่อศาสนาพุทธในจีนมีคุณูปการเป็นที่ยิ่ง จึงนอกจากสมณฉายานี้แล้วจึงยังมีฉายาอื่นอีกคือ ถังซันจั้ง
คำว่า จั้ง ในฉายานี้แม้มีเสียงเดียวกับฉายาแรก แต่ก็มีตัวเขียนต่างกันและหมายถึง ไตรปิฎก ฉายานี้จึงมีผู้ให้คำเรียกว่า ตรีปิฎก ที่มีความหมายนัยเดียวกับคำว่า ไตรปิฎก และเป็นคำที่เหมาะจะเป็นฉายาของบุคคล
ผิดกับคำว่าไตรปิฎกที่ฟังดูแล้วจะให้ความรู้สึกที่เป็นปกรณ์หรือคัมภีร์ (ดังจะเห็นได้จากฉายาไตรปิฎกธโร เป็นต้น) จากเหตุนี้ คำว่า ถังซันจั้ง จึงแปลได้ว่า ตรีปิฎกแห่งราชวงศ์ถัง และเป็นที่มาของชื่อ ถังซัมจั๋ง (บางที่เขียนว่า ถังซำจั๋ง) อันเป็นเสียงจีนแต้จิ๋วที่คนไทยคุ้นหู
นอกจากนี้ ภิกษุรูปนี้ก็ยังมีฉายาอื่นๆ อีกคือ เสีว์ยนจั้งซันจั้ง (ตรีปิฎกแห่งไตรปิฎกธโร) เสีว์ยนจั้งต้าซือ (ปรมาจารย์ไตรปิฎกธโรหรือท่านอาจารย์ไตรปิฎกธโร) และถังเซิง (ภิกษุแห่งถัง)
ฉายาที่ยกมานี้ล้วนสะท้อนความหมายไปในทางที่ว่า เสีว์ยนจั้งเป็นภิกษุที่มีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์ถังและตรงกับยุคของจักรพรรดิถังไท่จง (ค.ศ.598-649) และเป็นผู้แปลพระไตรปิฎกจากภาษาสันสกฤตมาเป็นภาษาจีน อย่างไรก็ตาม หากว่าตามความคุ้นชินแล้วดูเหมือนว่าฉายา ถังซันจั้ง จะเป็นที่แพร่หลายมากกว่าฉายาอื่น
ทั้งนี้ก็คงมาจากเหตุที่ภิกษุรูปนี้มีผลงานแปลพระไตรปิฎกนั้นเอง
ชีวิตและบทบาทที่มีต่อศาสนาพุทธในจีนของเสีว์ยนจั้งจนเป็นที่กล่าวขานนั้น รู้ได้จากผลงานสองชิ้นคือ บันทึกเรื่องอัศดงคตประเทศแห่งมหาราชวงศ์ถัง (ต้าถังซีอวี้จี้) และ ประวัติภิกษุไตรปิฎกธโรแห่งมหาการุณยารามในสมัยมหาราชวงศ์ถัง (ต้าถังต้าฉือเอินซื่อซันจั้งฝ่าซือจ้วน)
เล่มแรกเขียนโดยเสีว์ยนจั้ง ส่วนเล่มที่สองเขียนโดยศิษย์ของเสีว์ยนจั้งคือ ภิกษุฮุ่ยลี่ หลังจากเขียนแล้วเสร็จก็มีภิกษุที่เป็นศิษย์อีกรูปหนึ่งนำมาแก้ไขเพิ่มเติม แต่สาระสำคัญยังคงอยู่ที่ต้นฉบับแรก
ต่อมาเมื่อถึงศตวรรษที่ 16 ซึ่งตรงกับสมัยราชวงศ์หมิงได้มีนักวรรณคดีชื่อ อู๋เฉิงเอิน (ค.ศ.1500-1582 หรือ ค.ศ.1505-1580) นำเรื่องของเสีว์ยนจั้งมาผูกเป็นวรรณกรรมเรื่อง ซีโหยวจี้ (ท่องแดนตะวันตก) จนเป็นที่นิยมติดต่อกันมาหลายร้อยปีจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งมีการแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมายหลายภาษา
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเป็นวรรณกรรมในแนวผจญภัยที่เต็มไปด้วยอภินิหาร โดยชั้นหลังต่อมายังได้มีการเรียบเรียงเป็นฉบับการ์ตูนสำหรับเด็กอีกด้วย แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงคติและปริศนาธรรมทางพุทธศาสนาเอาไว้อย่างลุ่มลึก ความนิยมนี้มีมากจนทำให้มีผู้สร้างรูปเคารพของตัวละครบางตัวเพื่อกราบไหว้บูชา
ถ้าเป็นวรรณกรรมผจญภัยนั้น มีผู้แปลเป็นไทยโดยใช้นามว่า ติ่น และให้ชื่อเรื่องว่า พงศาวดารเรื่องไซอิ๋ว เล่ม 1-8 (2512) ผู้แปลท่านนี้ใช้คำว่า ติ่น เป็นชื่อของตนเพียงพยางค์เดียว แต่ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด ที่แน่ๆ คือ เป็นผู้ที่มีความรู้ภาษาไทยและจีนดีมาก ถึงแม้งานแปลชุดนี้จะมี วรรณเอดิเตอร์ ตุลวิภาคพจนกิจ เป็นบรรณาธิการแปลก็ตาม
ในส่วนที่เป็นการ์ตูนก็มีการแปลเป็นไทยเช่นกันคือ ไซอิ๋ว ตอนที่ 1-32 ผู้แปลและเรียบเรียงคือ บ.ใบไม้ (นามปากกา) แปลและเรียบเรียง แต่ถ้าเป็นในส่วนที่ของคติหรือปริศนาธรรมแล้วงานศึกษาที่น่าสนใจก็คือ เดินทางไกลกับไซอิ๋ว ของ เขมานันทะ (นามปากกา) ทั้งสองเล่มนี้ไม่ระบุปีที่พิมพ์
กล่าวเฉพาะ บันทึกเรื่องอัศดงประเทศฯ แล้วได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพภูมิศาสตร์ จารีตประเพณี และตำนานลัทธิหรือศาสนาของรัฐต่างๆ ถึง 111 รัฐที่เสีว์ยนจั้งได้พบเห็นระหว่างทางที่จาริกไปถึง และอีก 28 รัฐที่ได้ยินได้ฟังมา บันทึกนี้จึงมีประโยชน์ต่อการศึกษาประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ของดินแดนแถบนั้น โดยเฉพาะเอเชียตะวันตกเฉียงเหนือกับเอเชียกลาง
ส่วนผลงานแปลพระไตรปิฎกนั้น ต่อมาได้ทำให้ศาสนาพุทธในจีนขยายไปสู่ความเป็นเอตทัคคะด้านต่างๆ ของศาสนานี้ และยังแผ่ไปยังเกาหลีและญี่ปุ่นอีกด้วย
แต่ก็ควรกล่าวด้วยว่า ที่ศาสนาพุทธรุ่งเรืองด้วยบทบาทของเสีว์ยนจั้งและตรงกับยุค จักรพรรดิถังไท่จง นั้น มิได้หมายความว่าจักรพรรดิพระองค์นี้จะทรงให้การส่งเสริม เพราะแรกที่เสีว์ยนจั้งมีความตั้งใจที่จะจาริกไปชมพูทวีปเพื่อแปลพระไตรปิฎก และได้ขอประทานราชานุญาตจากถังไท่จงนั้น คำขอของเสีว์ยนจั้งกลับไม่ได้รับราชานุญาต
จนคณะภิกษุที่จะร่วมจาริกไปด้วยต่างท้อถอยกันไป คงเหลือก็แต่เสีว์ยนจั้งเท่านั้นที่ยังคงไม่ละความตั้งใจ และได้ตัดสินใจหนีออกจากเมืองไปในที่สุด กล่าวอีกอย่าง หากเสีว์ยนจั้งไม่ตัดสินใจหนีเพื่อจาริกแล้ว บางทีผลงานตามที่กล่าวมาก็คงไม่ปรากฏให้เห็นก็เป็นได้
แม้ใน ประวัติพระถังซัมจั้ง จะไม่ได้ให้เหตุผลว่า เหตุใดถังไท่จงจึงไม่อนุญาตให้เสีว์ยนจั้งและคณะได้จาริกในครั้งนี้ก็ตาม แต่ในหนังสือเล่มเดียวกันนี้ได้ให้ข้อมูลโดย
อ้อมไว้เช่นกันว่า ในเวลานั้นถังเพิ่งตั้งราชวงศ์ขึ้นมาได้ไม่กี่ปี (ตรงกับปีที่ 3 ของถังไท่จง)
“...บ้านเมืองเพิ่งจัดขึ้นใหม่ เขตต์แดนราชอาณาจักรก็ยังไม่กว้างใหญ่ไพศาล จึงมีกฤษฎีกาห้ามมิให้ราษฎรออกไปยังดินแดนของพวกฮวน”
พวกฮวนในหนังสือเล่มนี้หมายถึง ชนชาติเติร์ก การที่ถังไท่จงไม่อนุญาตให้เสีว์ยนจั้งและคณะจาริกไปยังชมพูทวีปจึงน่าจะมาเหตุนี้ แต่ครั้นเสีว์ยนจั้งกลับถึงจีนอีกครั้งหนึ่ง ถังไท่จงจึงทรงมีบัญชาให้เสีว์ยนจั้งบันทึกเรื่องราวของดินแดนชมพูทวีป จนกลายเป็นผลงานเรื่อง บันทึกเรื่องอัศดงคตประเทศฯ ดังกล่าว
จากเหตุนี้ แม้ถังไท่จงจะไม่อนุญาตด้วยเหตุผลที่ว่า แต่หากไม่ทรงมีบัญชาให้เสีว์ยนจั้งบันทึกเรื่องที่ว่าแล้ว บางทีผลงานเรื่องนี้ก็อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้
การที่ศาสนาพุทธรุ่งเรืองในยุคนี้มีผลทำให้วัดของศาสนาพุทธเกิดขึ้นมากมาย ที่ขึ้นชื่อไม่น้อยก็คือ ศาสนสถานถ้ำที่เป็นฝีมือมนุษย์ในหลายที่หลายแห่งที่ตกทอดให้เห็นมาถึงปัจจุบัน