xs
xsm
sm
md
lg

อำนาจในมุมมองนักปราชญ์ (15-1) : มิเชล ฟูโกต์ - อำนาจสร้างผลผลิต ดำรงอยู่ทุกหนแห่ง ไม่เว้นแม้แต่ภายในร่างกาย / Phichai Ratnatilaka Na Bhuket

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 มิเชล ฟูโกต์
"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

หากถามว่าใครคือยักษ์ใหญ่ในเรื่องแนวคิดอำนาจตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 20 จนถึงต้น ศตวรรษที่ 21 บุคคลนั้นน่าจะเป็น มิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault, 1926-1984) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส อิทธิพลทางความคิดของฟูโกต์ต่อวงการสังคมศาสตร์นั้นมีมากมายมหาศาลครอบคลุมแทบทุกสาขา ฟูโกต์ให้ความสำคัญกับแนวคิดเรื่องอำนาจอย่างมาก และได้พัฒนาวิธีใหม่และมุมมองใหม่ ๆ ที่ท้าทายความเข้าใจอำนาจแบบดั้งเดิมอย่างพลิกฟ้า คว่ำแผ่นดิน เขามองว่า อำนาจมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่ใช่แค่อยู่ในมือของรัฐบาลและสถาบันทางเศรษฐกิจและสังคมท่านั้น หากแต่ดำรงอยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน ในรูปแบบที่พวกเขาคิดและกระทำ และแม้กระทั่งในร่างกายของพวกเขา รวมทั้งอำนาจมีหลายรูปแบบและถูกใช้ด้วยนานายุทธศาสตร์ผ่านวาทกรรมและความรู้

ฟูโกต์มองว่าอำนาจมีธรรมชาติที่สำคัญสี่ประการ ประกอบด้วย อำนาจสร้างผลผลิต (Power is productive) อำนาจกระจัดกระจาย (Power is dispersed) อำนาจเป็นความสัมพันธ์ (Power is relational) และ อำนาจมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา (Power is constantly changing)

  อำนาจสร้างผลผลิต หมายถึง อำนาจไม่ใช่แค่เรื่องของการควบคุมหรือกดขี่ผู้คนเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการสร้างวิธีคิด พฤติกรรม และความสัมพันธ์ระหว่างกันในรูปแบบแบบใหม่ ๆ ด้วย ในแง่นี้อำนาจก่อให้เกิดความเป็นจริง ขอบเขตของความจริง และพิธีกรรมแห่งความจริง อำนาจในมุมมองนี้ไม่ใช่แค่การระงับหรือห้ามเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการสร้างอัตลักษณ์ ความปรารถนา และรูปแบบของความรู้ด้วย

แต่เดิมอำนาจมักถูกเข้าใจว่าเป็นพลังเชิงลบที่ใช้ในการควบคุม ครอบงำ และปราบปรามผู้อื่น อย่างไรก็ตาม มิเชล ฟูโกต์ ท้าทายมุมมองที่เรียบง่ายนี้โดยเสนอว่าอำนาจก็มีการสร้างผลผลิตเช่นกัน ซึ่งหมายความว่าอำนาจไม่เพียงแต่จำกัดการกระทำและทางเลือกของเราเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการกำหนดตัวตน ความปรารถนา วิธีการโต้ตอบ และการตอบสนองต่อโลกของเราอีกด้วย

สำหรับวิธีการสร้างผลผลิตของอำนาจมีดังนี้

 1. การกำหนดรูปแบบความรู้และวาทกรรม (Shaping knowledge and discourse) อำนาจเป็นตัวกำหนดว่าความรู้ใดที่ถือว่าถูกต้อง และจะเผยแพร่อย่างไร อำนาจยังมีอิทธิพลต่อเรื่องเล่าหรือความเชื่อที่หล่อหลอมความเข้าใจของเราเกี่ยวกับตัวเราและโลก กำหนดว่าความเชื่อหรือเรื่องเล่าใดที่กลายเป็นความจริงหรือวาทกรรมที่ได้รับการยอมรับในสังคม ตัวอย่างเช่น พลวัตของอำนาจภายในสถาบันการศึกษาและสื่อต่าง ๆ มีอิทธิพลต่อวิธีการนำเสนอข้อมูลและมุมมองที่ได้รับสิทธิพิเศษ สิ่งนี้กำหนดรูปแบบฐานความรู้ของเราและมีอิทธิพลต่อการกระทำและตัวเลือกที่ตามมาของเรา

 2. การสร้างอัตลักษณ์และความปรารถนาใหม่: โครงสร้างอำนาจและสถาบันทางสังคมมีบทบาทสำคัญในการกำหนดอัตลักษณ์และความปรารถนาของเรา ผ่านกลไกต่าง ๆ เช่น บรรทัดฐานทางวัฒนธรรม การโฆษณา และความคาดหวังทางสังคม อำนาจมีอิทธิพลต่อแรงบันดาลใจ ค่านิยม และความรู้สึกในตนเองของเรา สิ่งนี้นำไปสู่การสร้างรูปแบบใหม่ของความเป็นส่วนตัวและประสบการณ์ส่วนบุคคล

 3. การส่งเสริมรูปแบบใหม่ของระเบียบและองค์การในสังคม: อำนาจไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การควบคุมส่วนบุคคลเท่านั้น แต่ยังกำหนดโครงสร้างและระบบทางสังคมที่ใหญ่ขึ้นอีกด้วย ควบคุมวิธีการจัดระเบียบสังคม การกระจายทรัพยากร และการจัดสรรอำนาจ สิ่งนี้นำไปสู่การเกิดขึ้นของรูปแบบใหม่ขององค์กรและลำดับชั้นทางสังคมที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของบุคคลและชุมชน

 4. การเอื้ออำนวยนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลง: แม้ว่าในด้านหนึ่งอำนาจจะถูกนำมาใช้เพื่อการควบคุมและการปราบปราม แต่ในอีกด้านหนึ่งอำนาจก็สามารถเป็นแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกและนวัตกรรมได้เช่นกัน และเมื่อใช้อย่างสร้างสรรค์ อำนาจสามารถสร้างการร่วมมือและดำเนินการร่วมกันของผู้คน เพื่อส่งเสริมความยุติธรรมทางสังคม และเอื้ออำนวยในการพัฒนาเทคโนโลยีและแนวคิดใหม่ ๆ

ตัวอย่างลักษณะการสร้างผลผลิตของอำนาจ

 1) การสร้างพัฒนาการของขบวนการทางสังคม แม้ว่าโดยทั่วไปโครงสร้างอำนาจเดิมที่ดำรงอยู่ในสังคมอาจต่อต้านการเคลื่อนไหวทางสังคม แต่การระดมจัดตั้งของปัจเจกบุคคลและการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องของขบวนการทางสังคมสามารถท้าทายโครงสร้างของอำนาจที่มีอยู่ ก่อให้เกิดพลวัตและนำไปสู่การปฏิรูปสังคมและการเปลี่ยนแปลงที่ก้าวหน้าได้

  2) การพัฒนาของเทคโนโลยีใหม่ นวัตกรรมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมักเกิดขึ้นภายในโครงสร้างอำนาจที่มีอยู่ แต่การพัฒนาเหล่านี้ยังสามารถกำหนดนิยามใหม่ของพลวัตของอำนาจ และสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับบุคคลและชุมชน เช่น เทคโนโลยีสื่อสังคมออนไลน์ที่เกิดขึ้นภายใต้โครงสร้างอำนาจเดิม แต่ได้เพิ่มพลังอำนาจแก่ปัจเจกบุคคลและชุมชนอย่างกว้างขวาง จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจขึ้นมา

 3) วิวัฒนาการของการแสดงออกทางศิลปะ การแสดงออกทางศิลปะมักถูกหล่อหลอมโดยโครงสร้างอำนาจที่มีอยู่และบรรทัดฐานทางวัฒนธรรม แต่ศิลปินยังสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขาเพื่อท้าทายโครงสร้างเหล่านี้ และสร้างรูปแบบใหม่ของการแสดงออกที่สร้างแรงบันดาลใจและมอบอำนาจให้กับผู้อื่น

 4) การเปลี่ยนแปลงของสถาบันการศึกษา ระบบการศึกษาได้รับการกำหนดรูปแบบโดยโครงสร้างอำนาจเดิม แต่ยังสามารถปฏิรูปได้ด้วยพลังอำนาจแห่งการสร้างสรรค์ที่ดำรงอยู่ในสังคม ซึ่งส่งเสริมการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ส่งเสริมการเติบโตของแต่ละบุคคล และช่วยให้นักเรียนกลายเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก

ด้วยการตระหนักถึงธรรมชาติของอำนาจในฐานะการสร้างผลผลิต ทำให้เราสามารถท้าทายมุมมองที่เรียบง่ายเกี่ยวกับอำนาจว่าเป็นเชิงลบเพียงอย่างเดียว ความเข้าใจนี้ช่วยให้สามารถวิเคราะห์พลวัตของอำนาจและผลกระทบที่มีต่อบุคคลและสังคมได้ละเอียดและครอบคลุมมากขึ้น ส่งเสริมการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการตระหนักรู้ในตนเอง กระตุ้นให้เราตั้งคำถามกับบรรทัดฐานที่มีอยู่ และพัฒนาความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับอัตลักษณ์และความปรารถนาของเราเอง รวมไปถึงการเพิ่มขีดความสมรรถนะแก่บุคคลและชุมชนให้สามารถพัฒนากลยุทธ์เพื่อต่อต้านโครงสร้างที่กดขี่และขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเชิงบวก อันจะนำไปสู่การสร้างโลกที่ยุติธรรมและเท่าเทียมกันมากขึ้น

 ธรรมชาติของอำนาจประการที่สองของฟูโกต์คือ อำนาจกระจัดกระจาย  ซึ่งหมายถึงอำนาจไม่ได้กระจุกอยู่ในมือของคนเพียงไม่กี่คนหรือสถาบันเพียงไม่กี่แห่ง หากแต่ดำรงอยู่ทุกหนทุกแห่งและไม่มีที่ไหนเลยในเวลาเดียวกัน ถักทอเป็นโครงสร้างของความสัมพันธ์ทางสังคม ดำเนินงานในทุกระดับของสังคม และไม่ได้จำกัดอยู่ในขอบเขตของรัฐหรือชนชั้นปกครองเท่านั้น

เหตุผลและหลักฐานที่บ่งบอกถึงลักษณะของอำนาจที่กระจัดกระจายมีหลายประการ

 ประการแรกคือ อำนาจแสดงออกในระดับจุลภาค (Micro-processes of power) มีหลักฐานมากมายที่บ่งชี้ว่า อำนาจไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเหตุการณ์ทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่ แต่ดำรงอยู่ในการมีปฏิสัมพันธ์และความสัมพันธ์ในชีวิตประจำวันที่เราเผชิญ ทั้งในแง่การเลือกใช้ภาษาพูด ภาษาเขียน ภาษากาย และแม้แต่การแต่งกาย กล่าวได้ว่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดปฏิสัมพันธ์ของผู้คนล้วนมีพลวัตของอำนาจอันละเอียดอ่อนซึ่งมีอิทธิพลต่อตัวเราและผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา ช่วงเวลาที่ดูเหมือนไม่มีนัยสำคัญเหล่านี้เชื่อมโยงถึงกันและมีส่วนทำให้เกิดโครงสร้างอำนาจที่ใหญ่ขึ้นซึ่งหล่อหลอมรูปลักษณ์ของสังคมขึ้นมา

กล่าวได้ว่า พลังของการกระทำส่วนบุคคล แม้แต่การกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น การแสดงน้ำใจต่อกัน การท้าทาย การต่อต้าน หรือความคิดสร้างสรรค์ก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นและมีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในวงกว้างได้

 ประการที่สอง การแพร่กระจายความรู้ ในยุคปัจจุบัน อินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีการสื่อสารทำให้การเข้าถึงข้อมูลสะดวก รวดเร็ว และทั่วถึงยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการท้าทายการควบคุมความรู้แบบดั้งเดิมที่กระทำโดยกลุ่มชนชั้นสูง การแพร่กระจายความรู้นี้ช่วยให้บุคคลและชุมชนมีส่วนร่วมในการกำหนดวาทกรรมสาธารณะและมีอิทธิพลต่อพลวัตของอำนาจ ผู้บริโภคเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับสินค้านานาชนิด และสามารถมีอิทธิพลต่อตลาดผ่านการตัดสินใจซื้อ การสนับสนุนธุรกิจที่มีจริยธรรม และการเข้าไปมีส่วนร่วมในการถือครองหรือเป็นหุ้นส่วนของบริษัทที่รับผิดชอบต่อสังคม ยิ่งกว่านั้นบุคคลสามารถใช้แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับประเด็นทางสังคม การเมือง และท้าทายเรื่องเล่าหรือวาทกรรมที่ครอบงำสังคม รวมทั้งระดมการสนับสนุนเพื่อทำกิจกรรมทางสังคมและการเมืองร่วมกัน

 ประการที่สาม การขยายตัวของการเคลื่อนไหวทางสังคม การเคลื่อนไหวทางสังคมเป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าอำนาจมีการกระจัดกระจาย สามารถท้าทายและปรับเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจที่มีอยู่ได้ เมื่อเสียงของประชาชนแต่ละคนรวมกันเป็นหนึ่งและขยายออกไป จะก่อให้เกิดพลังร่วมกันที่สามารถเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง และทำให้สถาบันที่ทรงอำนาจในสังคมต้องรับผิดชอบต่อการตัดสินใจและการกระทำของพวกเขามากขึ้น

 ประการที่สี่ เครือข่ายและความร่วมมือ ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 20 อำนาจมีการใช้มากขึ้นผ่านเครือข่ายและความร่วมมือระหว่างบุคคล กลุ่ม และองค์การในสังคม การใช้อำนาจลักษณะนี้ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาแทนที่การใช้อำนาจแบบสั่งการตามลำดับชั้นแบบรวมศูนย์ดั้งเดิม การดำเนินงานแบบเครือข่ายที่มีการกระจายอำนาจทำให้เกิดความยืดหยุ่น ความสามารถในการปรับตัว และการมีส่วนร่วมจากบุคคลและกลุ่มที่หลากหลายมากขึ้น เป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชนท้องถิ่นให้สามารถนำเสนอปัญหาและความต้องการของพวกเขาอย่างเป็นระบบซึ่งมีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายระดับท้องถิ่น และทำให้ประชาชนและชุมชนสามารถกำหนดชะตากรรมของตนเองได้

 ประการที่ห้า อำนาจที่มองไม่เห็น
อำนาจไม่เพียงแต่ทำงานผ่านการกระทำที่แสดงออกอย่างเปิดเผยเท่านั้น แต่ยังผ่านกลไกที่ละเอียดอ่อนและมักมองไม่เห็นอีกด้วย เช่น อำนาจของบรรทัดฐานทางวัฒนธรรม อำนาจจากความคาดหวังทางสังคม และแม้แต่อัลกอริธึมของเทคโนโลยี อำนาจที่มองไม่เห็นเหล่านี้สามารถมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ และการแสดงพฤติกรรมของผู้คนโดยที่ไม่ต้องตระหนักรู้อย่างชัดเจน

เมื่อประชาชนเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า อำนาจมีลักษณะกระจายตัว พวกเขาก็สามารถท้าทายโครงสร้างอำนาจแบบดั้งเดิมได้อย่างมีประสิทธิผลยิ่งขึ้น การตระหนักว่าอำนาจไม่ได้จำกัดอยู่เพียงผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ที่ครอบครองความมั่งคั่ง ผู้ที่มีสถานภาพทางสังคมสูง และผู้ที่ทรงอภิสิทธิ์ทั้งหลาย ช่วยให้ประชาชนสามารถยืนยันสิทธิและเสรีภาพของพวกเขาได้อย่างมีศักดิ์ศรี และมีความกระตือรือร้นในการเข้าไปส่วนร่วมทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมเพื่อกำหนดรูปแบบโลกหรือสังคมที่พึงปรารถนาขึ้นมา

มากไปกว่านั้น ความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติที่กระจัดกระจายของอำนาจช่วยให้ประชาชนสามารถวิเคราะห์ได้ว่า อำนาจทำงานและดำเนินการอย่างไรในบริบทที่แตกต่างกัน และทำการตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลรอบด้านเกี่ยวกับการกระทำและทางเลือกของพวกเขา สิ่งเหล่านี้ทำให้ประชาชนสามารถพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ตระหนักถึงพลังและเห็นความสำคัญของตนเองมากยิ่งขึ้น พวกเขาก็จะแสดงบทบาทและทำหน้าที่เป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงภายในขอบเขตอิทธิพลของพวกเขา ขณะเดียวกันเมื่อตระหนักถึงความเชื่อมโยงระหว่างกันของพลวัตของอำนาจก็จะทำให้ประชาชนแสวงหาความร่วมมือในการสร้างเครือข่ายเพื่อดำเนินการร่วมกันมากขึ้นซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมในเชิงบวกเพื่อสร้างสังคมที่ยุติธรรมและเสมอภาคมากขึ้น (ยังมีต่อ)


กำลังโหลดความคิดเห็น