xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“อาจารย์น้องไนซ์” เชื่อมจิต ปัญหา “พ่อแม่รังแกฉัน!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -  ทำท่าว่า คงจะปล่อยให้เรื่องราวของ “อาจารย์น้องไนซ์ เชื่อมจิต” เป็นไป “ธรรมชาติ” เสียแล้วกระมัง เพราะยังไม่สามารถหาลู่ทางทางกฎหมายที่จะเข้ามาดำเนินการอะไรได้ตามคำให้สัมภาษณ์ของ “มาดามแจ๋น-พวงเพ็ชร ชุนละเอียด” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแล “สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.)” ก็คงจะมีแต่บรรดาผู้ที่ห่วงใยว่าจะมีการ “บิดเบือน” หลักธรรมคำสอนในพุทธศาสนาและผู้ที่กริ่งเกรงว่าจะมีการแสวงผลประโยชน์จากเด็กเท่านั้นที่ออกมาเต้นแร้งเต้นกากัน 

“ได้สั่งการให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและพระสงฆ์ เข้าไปดูแลและพูดคุยกับน้องไนซ์ เพราะสิ่งที่น้องพูดไม่ตรงกับหลักคำสอนของพุทธศาสนา ซึ่งหากพบว่ามีการหลอกลวงก็คงต้องเข้าไปคุยก่อนเบื้องต้น และเท่าที่ทราบเจ้าตัวอ้างเป็นพญานาค แต่พญานาคเขาไม่ได้มีการให้คำสอน และมันก็ไม่ใช่หลักของศาสนาพุทธ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังตรวจสอบไม่พบการกระทำผิดกฎหมาย จึงไม่สามารถสั่งระงับยับยั้งกิจกรรมต่างๆ ได้ และการที่คนเอาเงินไปให้ ก็เป็นการไปทำบุญกับเขาเอง”มาดามแจ๋นว่าไว้อย่างนั้น

ความจริงก็น่าเห็นอกเห็นใจ “มาดามแจ๋น” อยู่ไม่น้อยเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่อง “ศรัทธา” ซึ่งบรรดาสานุศิษย์ที่พากันไปกราบกราน “อาจารย์น้องไนซ์” วัย 8 ขวบ ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าเป็น “ร่างทรงองค์พชรภัทรนาคานาคราช” ที่เป็น “ร่างองค์ใหม่ของพระพุทธเจ้า” มาโปรดสัตว์ รวมถึงเรื่อง “เงินทอง”  ที่นำไปมอบให้หรือใช้เพื่อเข้าร่วมกิจกรรม  “คอร์สเชื่อมจิต”  เป็นสิ่งที่กระทำด้วย   “ความเต็มใจ” 

“น้องไม่ได้ทำอะไรผิดนี่คะ การที่น้องสามารถพาคนไปวิปัสสนากรรมฐาน นั่งสมาธิได้ เยอะๆ ขนาดนั้น แล้วคนที่ไปไม่ใช่คนที่ไม่มีความรู้นะคะ ส่วนมากเป็นคนวิปัสสนากรรมฐานอยู่แล้ว ทุกคนที่ไปเขาไม่ได้สนใจว่าน้องเป็นใครในอดีตชาติ แต่เขาสนใจสภาวธรรมที่น้องสอน แล้วเขาสามารถไปต่อยอดทางการปฏิบัติธรรมเขาได้ เขาก็เลยไป และศรัทธาในตัวน้อง ต้องมาสัมผัสเอง เดี๋ยวที่สมุทรปราการจะเรียนเชิญสื่อทุกช่องให้ไปดูเลยว่าทำอะไรบ้าง ไปร่วมนั่งวิปัสสนากรรมฐานด้วยกันก็ได้ จะได้รู้ว่าจะอะไร ตอนนี้คนพูดคือคนไม่ได้เห็นของจริง ส่วนที่แอดมินให้ออกไปทั้งหมด 4 คน ผู้หญิงมีคนเดียว บังเอิญเขาโพสต์แคปชั่นธรรมะ แล้วใส่ชุดว่ายน้ำโพสต์ น้องเขาตักเตือน เขาก็มีความคิดแนวนั้น น้องก็เลยให้พักงานค่ะ ไม่ได้ให้มาช่วยในงาน”แม่ของอาจารย์น้องไนซ์วัย 8 ขวบว่าไว้อย่างนั้น

เรื่องราวของ “อาจารย์น้องไนซ์” เป็นที่พูดถึงเป็นวงกว้าง จากคลิปวิดีโอ “กิจกรรมเชื่อมจิต” ที่มีผู้ใหญ่จำนวนมากก้มกราบเด็กวัยแค่ 8 ขวบ และเหตุการณ์ที่ “น้องไนซ์” ยกแก้วน้ำราดลงบนศรีษะของหนึ่งในผู้เข้าร่วมกิจกรรมจนกลายเป็นไวรัล ซึ่งภายหลังผู้เป็นแม่ออกมาชี้แจงคลิปดังกล่าวว่า เกิดจากการ “เชื่อมจิต” ของน้องไนซ์กับผู้เข้าร่วมรายดังกล่าวที่รู้สึกไม่สบายใจและนึกอยากให้น้องรดน้ำให้ แต่น้องไนซ์กลับรับรู้จิตของบุคคลนั้นได้โดยที่เขาไม่ต้องบอกกล่าว จึงเอาน้ำราดลงบนหัวของอีกฝ่าย ทำให้เจ้าตัวรู้สึกยินดีมาก ทำให้ผู้เข้าร่วมรายอื่นๆ จึงสนใจอยากให้น้องรดน้ำให้ด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ กรณีที่  “อาจารย์น้องไนซ์ถอดจิตคุยกับปูติน”  ก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อยู่ไม่น้อย

 คำถามที่เกิดขึ้นมีอยู่ว่า อะไรคือ “เหตุ” และ “ปัจจัย” ที่ทำให้ผู้คนจำนวนมากศรัทธา และยอมเสียเงินเสียทองที่จะเข้าร่วม “คอร์สเชื่อมจิต” กับ “อาจารย์น้องไนซ์” ซึ่งแน่นอนว่า เรื่องนี้ย่อมเกี่ยวกับพันกับเรื่องราวที่ส่งเสริมให้เด็กวัย 8 ขวบผู้นี้แตกต่างออกไป 

จากการสืบสวนทวนความพบว่า เรื่องราวที่ต้องใช้คำว่า “มหัศจรรรย์” ของ “น้องไนซ์” เกิดขึ้นมาตั้งแต่ถือกำเนิด โดย “ผู้เป็นแม่” เคยให้สัมภาษณ์ว่า ตั้งแต่ที่ตัวเองตั้งครรภ์น้องไนซ์ ทั้งพ่อและแม่ก็กินเนื้อสัตว์ไม่ได้อีกเลย พอกินเข้าไปก็จะอาเจียนออกมาหมด และกินข้าวได้แค่วันละ 1 มื้อเท่านั้น มีอยู่วันหนึ่ง แม่ฝันว่า ขบวนของเจ้าแม่กวนอิมมาส่ง “องค์เพชรภัทรนาคานาคราช” ให้มาเกิด อีกทั้งน้องไนซ์ยังคลอดตอนอายุครรภ์เพียง 6 เดือนเท่านั้น

จากนั้น ตอนน้องไนซ์อายุ 5 ขวบ จู่ๆ ก็บอกว่า ถึงเวลาที่ต้องทำหน้าที่แล้ว ตอนนั้นแม่ตกใจมาก เมื่อน้องไนซ์ชวนแม่และพ่อนั่งสมาธิ และเกิดเรื่องอัศจรรย์ขึ้น เพราะแววตาของน้องมีเพชรอยู่ในดวงตา รอบตัวมีแสงสีเหลืองทองส่องสว่าง และถามว่า “เราอยู่ที่นี่ เราใช้ชื่อว่าอะไร” แม่ก็ตอบไปว่า “ชื่อนิรมิต”


ก่อนที่น้องไนซ์จะบอกว่า การลงมาครั้งนี้ เป็นการอวตารลงมา โดยได้รับหน้าที่จากองค์พระศากยมุนี พระพุทธเจ้า เพื่อให้มาสอนเจริญจิตวิปัสสนาที่ถูกต้อง ซึ่งจะทำหน้าที่แค่ 20 ปีเท่านั้น พร้อมยืนยันว่าตัวเองไม่ใช่ร่างทรง ไม่ใช่เทพ แต่เป็นองค์เพชรภัทรนาคานาคราช แบ่งภาคมาเกิด ทำหน้าที่เผยแผ่คำสอน เนื่องจากเบื้องบนเห็นโลกมนุษย์ในมุมที่วุ่นวาย ผู้คนสนใจแต่เรื่องตัวเลข ไม่ได้นึกถึงการเจริญจิตภาวนา นรกจึงรุ่งเรืองเพิ่มชั้นมากกว่าสวรรค์

ต่อมา ครอบครัวได้ตั้งกลุ่มนิรมิตเทวาจุติ เผยแผ่ธรรมะบนโลกออนไลน์ ทั้งลงคลิป ไลฟ์ ในการพูดคุยธรรมะ ผ่านทั้งช่องทาง TikTok ยูทูบ เฟซบุ๊ก และกลุ่มไลน์โอเพนแชต จนเกิดเป็น “อาจารย์น้องไนซ์” มีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก นั่นแสดงว่าต้องมีผู้เห็น  “อะไรบางประการ”  ในตัว “อาจารย์น้องไนซ์” ถึงได้มีศรัทธาเลื่อมใสอย่างไร้คำถาม

กระทั่งต่อมาได้จัดกิจกรรมสนทนาธรรม คอร์สอบรมต่างๆ ซึ่งไฮไลท์คือ “คอร์สเชื่อมจิต” แบ่งเป็น 4 แพ็กเกจและคิดเงินคิดทองกับผู้ที่ต้องการเข้าร่วมอบรม กล่าวคือ แพ็กเกจที่ 1 ไม่รวมที่พัก ราคา 1,900 บาท พร้อมกาแฟและอาหารกลางวัน, แพ็กเกจที่ 2 รวมที่พัก 1 คืน ราคา 3,000 บาท พักได้ 2 คน รวมอาหารเช้า, แพ็กเกจที่ 3 รววมที่พัก 2 คืน ราคา 4,100 บาท พักได้ 2 คน รวมอาหารเช้า และแพ็กเกจที่ 4 พิเศษ รวมที่พัก 2 คืน ราคา 4,200 บาทต่อคน ห้องมาตรฐาน 1 ห้อง พักได้ 2 คน รวมอาหารเช้า รวมค่าเดินทาง (รถบัส) หากจะพักคนเดียวชำระเพิ่มอีก 1,200 บาท

อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบพบว่าก่อนหน้านี้ เคยมีการจัดกิจกรรมเชื่อมจิต วิปัสสนามาหลายครั้ง แต่ละครั้งมีคนที่ศรัทธาเข้าร่วมไม่ต่ำกว่า 500 คน ครั้งแรกจัดขึ้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ครั้งที่ 2 จัดขึ้นในฮอลจัดงานของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านแจ้งวัฒนะ ครั้งที่ 3 จัดขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่ ครั้งที่ 4 จัดขึ้นที่ประเทศเมียนมา ซึ่งที่เมียนมานี้นอกจากจะมีประชาชนทั่วไปร่วมงานแล้ว ยังพระภิกษุเข้าร่วมงานด้วย ครั้งที่ 5 เช่าสถานที่ CDC จัดงานเชื่อมจิตที่กรุงเทพมหานคร และเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ที่ผ่านมา ในโรงแรมแห่งหนึ่ง จังหวัดภูเก็ต

เรื่องของ “อาจารย์น้องไนซ์” เป็นประเด็นร้อนในสังคม เพราะเกิดเป็นความขัดแย้งทางความเชื่อของคน 2 กลุ่ม คือ  “กลุ่มต่อต้าน” และ “กลุ่มศรัทธา”  ที่เผชิญหน้าอย่างตึงเครียด โดยเฉพาะ “เครือข่ายของน้องไนซ์” ที่ “เปิดศึก” กับผู้ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ด้วยท่าทีอันร้อนแรง มีการประกาศว่าจะดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมมีการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรม

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อวันที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา  “ทนายธรรมราช สาระปัญญา”  พร้อมกลุ่มสนับสนุนน้องไนซ์พร้อมลูกศิษย์กว่า 20 คน ได้เดินทางมายื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.ขอให้ตรวจสอบกลุ่มคนที่บิดเบือนข้อเท็จจริง และโจมตีน้องไนซ์ และขอให้รับความคุ้มครองเยาวชน โดยอ้างว่า น้องไนซ์ถูกบิดเบือนใส่ร้าย ตัดต่อภาพทำให้ได้รับความเสียหาย พร้อมแนบหนังสือร้องเรียนและภาพตัดต่อโจมตีน้องไนซ์ลักษณะคล้ายพระพุทธเจ้า รวมทั้งข้อความลักษณะเหมือนเป็นการการคุกคามน้องไนซ์ ทั้งเรื่องครอบครัวและการสื่อสารให้กับตำรวจด้วย

ทนายธรรมราช กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าคำสอนของน้องไนซ์เป็นเรื่องจริง ส่วนเรื่องของการเรียกเก็บเงินนั้น เป็นส่วนของผู้จัดที่ทำหน้าที่ดำเนินการ เพราะมีค่าใช้จ่ายเรื่องสถานที่ ค่าอาหาร ที่พัก ตัวน้องไนซ์เป็นเพียงวิทยากร ไม่ได้รับเงินค่าจ้าง ส่วนที่เห็นภาพน้องไนซ์รับเงินนั้น ยอมรับว่าเป็นการรับเงินจริง แต่ภายหลังก็ส่งต่อไปสมทบในการสร้างสถานปฏิบัติธรรม


ด้าน “นายจตุรงค์ จงอาษา” นักวิชาการอิสระด้านพระพุทธศาสนา ให้ความเห็นเรื่องการจัดกิจกรรมของน้องไนซ์ว่าตราบใดที่ยังไม่ละเมิดกฎหมายหรือสร้างความเดือดร้อนให้สังคม ก็ถือว่ายังสามารถจัดกิจกรรมต่อได้ แต่ส่วนตัวมองว่า ผู้ที่บรรลุนิติภาวะลดตัวลงไปศรัทธาผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะก็เป็นเรื่องที่น่าตลก สิ่งที่เห็นตอนนี้คือ บุคคลที่ชราภาพ และคนที่บรรลุนิติภาวะ ทำกิจกรรมตามความเชื่อภายใต้การควบคุมของผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ซึ่งขัดทั้งหลักกฎหมายและหลักศาสนา

ส่วนการกล่าวอ้างว่า น้องไนซ์สอนธรรมะตามหลักศาสนาพุทธ อาจารย์จตุรงค์ มองว่า จากที่ฟังคำสอนของน้องไนซ์ ก็ไม่ตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า พร้อมท้าว่าแน่จริงก็ให้น้องไนซ์ บวชให้ถูกต้องอยู่ภายใต้การดูแลของคณะสงฆ์ จัดกิจกรรมแบบที่ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายใดๆ มาเกี่ยวข้อง เช่น ขอสถานที่วัดจัดวิปัสสนา เรื่องนี้สำนักพระพุทธศาสนาควรเข้าไปดูแลเนื่องจากมีการกล่าวอ้างว่าใช้คำสอนของพระพุทธเจ้า

ขณะที่  “นายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร”  นายกสมาคมไวยาวัจกรแห่งประเทศไทย นำหลักฐานเป็นหนังสือ ภาพถ่ายและคลิป ที่มีการเผยแพร่ตามสื่อโซเชียลกล่าวอ้างว่า "น้องไนซ์ เทวานิรมิตจุติ" เด็กชายวัย 8 ขวบ เป็นร่างอวตาร องค์เพชรภัทรนาคานาคราช สามารถเชื่อมจิต หยั่งรู้เรื่องราวต่างๆ ทั้งในอดีต และอนาคต มามอบให้กับตำรวจกองปราบปรามดำเนินการตรวจสอบว่า เข้าข่ายเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายหรือไม่ โดยเรียกร้องให้ตรวจสอบกลุ่มผู้อยู่เบื้องหลัง โดยเฉพาะผู้ปกครองและแอดมินกว่า 60 คน ที่ทำหน้าที่หาผลประโยชน์จากเด็กวัย 8 ขวบ ด้วยการใส่ความรู้ที่ผิดๆ ให้กับเด็ก ซึ่งการกระทำเหล่านี้อาจเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กหรือไม่

นอกจากนี้ ยังพบว่า กลุ่มผู้อยู่เบื้องหลังเหล่านี้ ยังเปิดกลุ่มบริจาคเงิน เพื่อสร้างสำนักปฏิบัติธรรม และเปิดคอร์สอบรมเชื่อมจิตต่างๆ ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่า เป็นการหลอกลวงประชาชน ที่เข้าข่ายความผิดฉ้อโกงประชาชน และตรวจสอบเส้นทางการเงินว่าจะเข้าข่ายฐานความผิดฟอกเงิน

เช่นเดียวกับ “นายนิยม นพรัตน์ เค และนายแทนคุณ จิตต์อิสระ” ที่ยื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. พร้อมนำหลักฐานมามอบให้ เพื่อให้ตรวจสอบว่าการกระทำกลุ่มจัดกิจกรรมน้องไนซ์ เข้าข่ายแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบต่อเด็กหรือไม่ เนื่องจากมีกลุ่มบุคคลแอบอ้างหลอกลวงว่ามีเด็กอายุเพียง 8 ขวบ มีอภิญญา สามารถเชื่อมจิตจากการใช้เท้าสัมผัสและเก็บเงินค่าร่วมงาน ค่าทำบุญต่างๆ ซึ่งเป็นการแสวงหาประโยชน์กับเด็กและเยาวชนโดยมิชอบ และเป็นการใช้เด็กเป็นเครื่องมือหลอกลวงประชาชนจำนวนมาก อาจเข้าข่ายผิด พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546, มีการนำหลักการของพระพุทธศาสนามาหาประโยชน์โดยมิชอบ เป็นโดยการที่บุคคลและคณะบุคคลดังกล่าว อ้างว่าเป็นตัวแทนพระศาสนา และพระศาสนา

สำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกรณีของ อ.น้องไนซ์ มีความสุ่มเสี่ยงมีความผิดไม่ว่าจะ คดีฉ้อโกง มาตรา 342 ที่ระบุว่า “อาศัยความอ่อนแอแห่งจิตของผู้ถูกหลอกลวง” หรือ มาตรา 343 “กระทำด้วยการแสดงอันเป็นเท็จต่อประชาชน” รวมทั้ง กฎหมายคุ้มครองเด็ก ที่ให้ความคุ้มครองเด็กในการนำมาแสวงผลประโยชน์ มาตรา 26 ระบุว่า “ห้ามชักจูง ส่งเสริม ให้เด็กประพฤติกรรมตนไม่สมควร” หรือ “ห้ามยุยง ส่งเสริม ให้ยินยอมให้เด็ก กระทำการแสวงหาประโยชน์ทางการค้า อันมีลักษณะเป็นการขัดขวางต่อการเจริญเติบโต หรือพัฒนาการของเด็ก”


ส่วน  “นายไพรวัลย์ วรรณบุตร” หรือ “แพรรี่ ไพรวัลย์”  อดีตพระนักเทศน์เปรียญธรรม 9ประโยค วิจารณ์ผ่านรายการโหนกระแสความว่า ทั้งมวลที่เกิดขึ้น มีการพยายามสร้างพล็อตเรื่องขึ้นมา และมีการพยายามชี้นำเด็กเพื่อสร้างสตอรี่ ทั้งนี้ การที่เด็กสนใจเรื่องศาสนาก็ดี แต่ควรสนใจใคร่รู้แบบเด็กปกติ มีเด็กหลายคนที่มีความรู้ทางศาสนา อยากเข้าไปศึกษาศาสนาไม่ติด แต่ประเด็นของน้องไนซ์คือมีการพยายามยกย่องน้องให้มีสถานะเหนือกว่าเด็ก

“คำถามคือการที่คุณเอาสถานะที่ไม่ปกติของลูกมาเผยแผ่แบบนี้ ไม่ได้อยู่ในกลุ่มความเชื่อของคุณ มันคือการเซฟตัวเด็กหรือเปล่า มันไม่ใช่วิธีการที่ดีเลย จะบอกว่าคนอื่นบิดเบือน ใส่ร้าย ดิฉันคิดว่าไม่ใช่ทุกเคสที่เป็นแบบนั้น หลายอย่างที่เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ มาจากคำพูดของเด็กเอง เช่น มีคลิปอันนึงเหมือนอยู่ในคอร์สปฏิบัติธรรม อยู่ดีๆ เด็กเดินไปที่โต๊ะหมู่บูชา เด็กบอกว่าเนี่ย เอาดอกไม้สีเหลืองมาบูชาพระได้ไง พระพุทธเจ้าท่านเกลียด คนข้างบนเกลียดดอกไม้สีเหลือง มันก็บิดคำสอนสิคะ เพราะในคัมภีร์ศาสนาพูดไว้ชัดว่าเอาดอกไม้สีเหลืองไปบูชาพระรัตนตรัย ให้เกิดอานิสงค์บรรลุธรรมในชาติกลับมา หรือเขามีหนังสือเป็นเล่มด้วยนะคะ เนรมิตเทวาจุติ อะไรของเขา ซึ่งในนั้นพูดแต่เรื่องอภินิหาร ที่มันเหนือธรรมชาติของตัวเด็ก ถ้าครอบครัวคุณห่วงใยลูกคุณ ก็ไม่ควรเอาสตอรี่เกี่ยวกับลูกคุณในเรื่องราวเหล่านี้มาเผยแพร่ เพราะคุณต้องเข้าใจว่าไม่ใช่ทุกคนจะสาธุ และเห็นด้วย เรียกลูกคุณว่าอาจารย์โน่นนี่นะคะ” แพรรี่ ไพรวัลย์ กล่าว

ประเด็นสำคัญที่ แพรรี่ ฝากไปยังพ่อแม่ผู้ปกครองของน้องไนซ์คือ อยากให้เปลี่ยนการสอน บอกธรรมหรือศาสนาใหม่ โดยไม่ต้องปั้นทำให้เขามีอะไรให้รู้สึกว่าเป็นผู้วิเศษจุติมาในภพภูมิพญานาค ให้เขาเป็นน้องไนซ์คนธรรมดาๆ ให้เขามีความศรัทธาทางศาสนา มีความรู้ที่ดีทางศาสนาจริงๆ

“รักลูกช่วยเชฟลูกด้วยค่ะ ไม่ใช่ให้การเซฟลูกของคุณเป็นปัญหาของชาวเน็ต มันไม่ถูก ตัวคุณไม่เซฟลูกคุณเลย ปล่อยคำพูด ปล่อยภาพ ปล่อยคลิปเสียงอะไรกับลูกคุณมา พอชาวเน็ตไปท้วงติงวิจารณ์ก็มาโบ้ยว่าอย่ารังแกเด็ก พอเผยแพร่เรื่องลูกตัวเองแสดงให้เห็นว่าลูกตัวเองเป็นคนพิเศษ มันดูยังไงๆ นะคะ” แพรรี่ ไพรวัลย์ วิจารณ์กรณีดรามาน้องไนซ์อันเป็นผลิตผลจากกรณีพ่อแม่รังแกฉัน

ขณะที่   “นายวราวุธ ศิลปอาชา”  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) บอกว่า ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปพูดคุยกับครอบครัวและครูอาจารย์ที่โรงเรียน ทำให้ทราบว่าน้องไนซ์มีผลการเรียนที่ดี ไม่มีสัญญาณของความเครียดหรือแรงกดดันอะไร มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนตามวัย ไม่ได้มีการพูดถึงกิจกรรมดังกล่าวในโรงเรียน ก็เหมือนเด็กทั่วไปคนหนึ่ง ส่วนการพูดคุยกับผู้ปกครอง สอบถามถึงพัฒนาการต่างๆ ก็ได้รับข้อมูลว่าน้องไนซ์ได้รับการดูแลตามที่เด็กคนหนึ่งพึงจะได้รับ ส่วนที่สังคมตั้งข้อสังเกตเป็นการหาประโยชน์จากเด็กนั้น ต้องรอการสอบสวนจากตำรวจให้ได้ข้อสรุป

 กรณีของ “น้องไนซ์ เชื่อมจิต” เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของศรัทธาที่เกิดขึ้นในสังคมไทยและบนโลกใบนี้ ซึ่งก็คงไม่สามารถใช้กฎหมายจัดการอะไรได้ เหมือนกับบรรดาพวก “ทรงเจ้าเข้าผี” ที่มีอยู่กลาดเกลื่อน เพียงแต่อดเป็นห่วง “อาจารย์น้องไนซ์” ไม่ได้ว่า ถ้าเดินไปในแนวทางที่ไม่ถูกไม่ควร มีพฤติกรรมไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ตนเองและครอบครัวกล่าวอ้าง ต่อไปในภายภาคหน้า คนที่จะได้รับผลกระทบเองก็คือ “อาจารย์น้องไนซ์” ที่อาจดำเนินไปในทำนองขึ้นหลังเสือแล้วลงไม่ได้ สุดท้ายก็จะ “OUT OF CONTROL” และผู้ที่ต้องมานั่งเสียใจในภายหลังก็คือ “พ่อแม่” ซึ่งส่งเสริมลูกชายไปในทิศทางนั้น



กำลังโหลดความคิดเห็น