xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ใต้เงาจีน (27) ความตาย วิญญาณ และชาติภพ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



คอลัมน์...ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล

เมื่อพูดถึง  ซีอัน  แล้วก็ต้องนึกถึงสุสานของปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฉิน (ฉินสื่อฮว๋างตี้, ก.ค.ศ.259-210) หรือที่คนไทยเรียกกันในเสียงจีนฮกเกี้ยนว่า  จิ๋นซีฮ่องเต้ ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก และเป็นแหล่งที่นักท่องเที่ยวที่ไปจีนมักจะไปเยี่ยมชมกัน

ก่อนอื่นพึงรู้ก่อนว่า การที่ซีอันเป็นที่ตั้งของสุสานอันยิ่งใหญ่นั้นย่อมแสดงว่า เมืองนี้ไม่ใช่เมืองธรรมดา หากมีความสำคัญระดับเมืองหลวงตั้งแต่ในยุคโบราณแล้ว และยังเก่าแก่กว่าปักกิ่งอีกด้วย โดยซีอันเริ่มปรากฏบทบาทมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจว (ก.ค.ศ.1046-256) อันเป็นราชวงศ์สุดท้ายของยุคต้นประวัติศาสตร์จีน

หลังจากนั้น ซีอันก็กลายเป็นเมืองหลวงในบางยุคบางสมัย และยังมีการเปลี่ยนชื่อเรียกอยู่บ้างในบางสมัย ชื่อที่คุ้นหูของนักประวัติศาสตร์คือ เสียนหยังและฉังอัน  ส่วนชื่อในปัจจุบันแปลได้ว่า ประจิมศานติหรือสันติภาพตะวันตก ถือเป็นความหมายที่เป็นมงคล

ปัจจุบันซีอันเป็นเมืองเอกของมณฑลสั่นซี ถือเป็นเมืองโบราณที่มีความเจริญในยุคนี้ มีทั้งแหล่งกินและแหล่งเที่ยวมากมาย จัดเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับต้นๆ ของจีน และสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ก็เป็นหมุดหมายหนึ่งในการท่องเที่ยวเมืองซีอัน

เกี่ยวกับเรื่องสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้นี้มีผู้เขียนถึงมากมายแล้ว ผมจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ซ้ำกับที่มีการเขียนไปแล้วให้มากที่สุด (ซึ่งก็คงยากมากที่จะหลีกเลี่ยงได้) โดยจะขอพูดถึงประเด็นอื่นที่เกี่ยวข้องแทน และขอเริ่มจากตอนที่เจอสุสานครั้งแรกก่อน

 เล่ากันว่า วันหนึ่งของเดือนมีนาคม 1974 ขณะที่หยังจื้อฟากำลังขุดบ่อน้ำขึ้นบนที่นาของเขาอยู่นั้น เขาก็พบขณะขุดลงไปลึกได้ราวสองเมตรว่า เสียมที่ขุดนั้นได้กระทบเข้ากับของแข็งบางอย่าง ครั้นขุดลงไปอีกจึงรู้ว่า ของแข็งที่ว่านั้นก็คือ หุ่นทหารดินเผา 

หลังจากนั้น การค้นพบของหยังจื้อฟาก็เป็นที่รับรู้กันโดยทั่ว โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลท้องถิ่นได้ให้นักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์เข้ามาจัดการแทน จากนั้นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ก็บังเกิดขึ้น เพราะสิ่งที่หยังจื้อฟาพบนั้น แท้ที่จริงแล้วก็คือ สุสานขนาดใหญ่ของจิ๋นซีฮ่องเต้ แต่เนื่องจากพื้นที่ที่ค้นพบอยู่บนท้องนาของเขา รัฐบาลท้องถิ่นจึงจ่ายชดเชยให้แก่หยังจื้อฟาในหลายทาง เริ่มจากให้รางวัลแก่เขาในเบื้องต้นเป็นเงิน 300 หยวนเพื่อแลกกับการเวนคืนที่ดิน 167 ตารางเมตร พร้อมกับให้ที่ดินใหม่แก่เขาที่อยู่หมู่บ้านใกล้เคียง

หลังจากที่สุสานถูกเปิดบางส่วนและเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมแล้ว รัฐบาลท้องถิ่นก็ให้หยังจื้อฟามานั่งแจกลายเซ็นของตนแก่นักท่องเที่ยว โดยให้เซ็นลงบนหนังสือที่วางขายในร้านขายของที่ระลึกที่ตั้งอยู่ในแหล่งโบราณสถานของสุสาน หยังจื้อฟาจะนั่งแจกลายเซ็นของตนสัปดาห์ละหกวัน ตั้งแต่เวลา 9.00-17.00 น. และได้เงินเดือนๆ ละ 300 หยวน เมื่อเขาเกษียณแล้วทางรัฐบาลท้องถิ่นก็ขึ้นเดือนให้เขาเป็น 1,000 หยวนต่อเดือน

 ถึงตรงนี้ก็อาจมีคนสงสัยว่า เงินเดือนแค่ 300 หยวนเท่านั้นเองหรือ? ทำไมให้น้อยจัง?

จริงๆ แล้วเงิน 300 หยวนในทศวรรษ 1970 จนถึงต้นทศวรรษ 1990 ถือว่าไม่น้อย และอาจถือว่ามากด้วยซ้ำไป เพราะตอนนั้นระบบเศรษฐกิจของจีนยังเป็นแบบสังคมนิยม ลำพังคนจบปริญญาตรียังได้ไม่ถึงร้อยหยวนหรือร้อยหยวนเศษๆ ดังนั้น 300 หยวนจึงถือว่ามากโขทีเดียว

มากไม่มากก็เอากันง่ายๆ ว่า ช่วงต้นทศวรรษ 1990 นั้น ก๋วยเตี๋ยวชามใหญ่แบบที่คนไทยกินได้ถึงสองสามคนยังขายชามละ 1 หยวน (ห้าบาท) อยู่เลย ฉะนั้น เงิน 300 หยวนหากใช้ดีๆ จะมีเงินเหลือเก็บได้สบายมาก 

ไม่เพียงเท่านั้น ต่อมาลูกหลานของหยังจื้อฟาก็ยังได้อานิสงส์อีกด้วย โดยรัฐบาลท้องถิ่นยังได้ให้สิทธิ์ในการให้การบริการแก่นักท่องเที่ยวในด้านอื่นๆ เช่น เป็นผู้ผูกขาดการให้บริการเก้าอี้รถเข็นสำหรับคนป่วยหรือคนพิการ (wheelchair) ที่มาเยือนสุสานอีก ตอนที่ผมไปเมื่อปี 2015 นั้นเขาคิดค่าบริการคันละ 200 หยวนต่อวันหรือประมาณ 1,000 บาท

 ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ยิ่งใหญ่เพียงใด และทุกวันนี้นักโบราณคดีก็ยังคงขุดกันอยู่ จะมีเพียงตัวสุสานที่เป็นเนินดินคล้ายภูเขาขนาดย่อมเท่านั้นที่ยังไม่ขุด ว่ากันว่า จากที่ได้ตรวจสอบลึกลงไปในหลุมศพแล้วพบว่า รอบๆ สุสานชั้นล่างมีสารปรอทอยู่มากมาย จนนักโบราณคดีเกรงว่า หากขุดจริงแล้วสารปรอทเหล่านั้นจะไหลออก จนอาจทำให้พระศพของจิ๋นซีฮ่องเต้ได้รับผลกระทบได้  

ทุกวันนี้จึงยังไม่มีความคิดที่จะขุดค้นจนกว่าจะหาทางป้องกันเหตุดังกล่าวได้

จากตุ๊กตาหุ่นดินเผาทหารที่ขุดพบจำนวนมาก ทำให้รู้ว่า เวลานั้นชาวจีนยังมีความคิดความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายและชาติภพอยู่มาก คือเชื่อว่าคนเราเมื่อตายไปแล้ววิญญาณจะยังคงอยู่ และจะกลับมาเกิดใหม่ได้ในกาลข้างหน้า ส่วนที่ตายไปในชาตินี้ในขณะที่วิญญาณยังอยู่นั้น ญาติผู้ตายย่อมใส่ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ลงในหลุมศพไปด้วย เพื่อที่วิญญาณผู้ตายจะได้กินอยู่ใช้สอยไม่อดอยาก

เช่นเดียวกับหุ่นทหารดินเผาที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้รับใช้จิ๋นซีฮ่องเต้ในชาติภพต่อไป หรือรับใช้วิญญาณที่ยังล่องลอยอยู่ แต่ก็คงมิใช่ทหารเพียงกลุ่มเดียวที่จะอยู่รับใช้ เพราะน่าที่จะยังมีขุนนางฝ่ายพลเรือนและนางสนมหรือนางในคอยรับใช้ด้วย แต่ที่เรายังไม่เห็นหุ่นเหล่านี้เพราะยังขุดไปไม่ถึง

 ผมคนหนึ่งล่ะที่รอลุ้นว่า ถ้าขุดเจอจริงคงน่าตื่นเต้นไม่น้อย เพราะเคยมีคำถามว่า ทำไมเรื่องราวอันพิสดารมากมายของจิ๋นซีนั้น เหตุใดจึงแทบไม่มีที่ใดที่กล่าวถึง “ผู้หญิง” ของพระองค์เลย ไม่ว่าจะเป็นมเหสีหรือนางสนมกำนัล เป็นไปได้อย่างไรที่จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่อย่างจิ๋นซีฮ่องเต้จะไม่มี “ผู้หญิง” อยู่ข้างกาย 

อย่างไรก็ตาม ว่ากันเฉพาะหุ่นทหารดินเผาที่ค้นพบนี้มีประเด็นที่ควรกล่าวด้วยก็คือว่า ดีที่ทหารเหล่านี้เป็นหุ่นดินเผา เพราะถ้าถอยกลับไปในยุคต้นประวัติศาสตร์แล้วจะพบว่า ในยุคนั้นหากกษัตริย์สิ้นพระชนม์แล้ว ผู้ที่เป็นมเหสี นางสนมกำนัล หรือข้าราชบริพารที่ใกล้ชิดจะต้องตายตกตามกษัตริย์ไปด้วย เพื่อให้วิญญาณของบุคคลเหล่านี้ตามไปรับใช้ในชาติภพต่อไป

ต่อมาชนชั้นปกครองในยุคหลังจากนั้นเห็นว่า วิธีนี้โหดร้ายเกินไป จึงได้เปลี่ยนมาใช้หุ่นมนุษย์แทนมนุษย์ตัวเป็นๆ เราจึงได้เห็นหุ่นทหารดินเผาของจิ๋นซีฮ่องเต้ จึงนับเป็นโชคดีของผู้รับใช้จักรพรรดิพระองค์นี้ ที่ไม่ต้องตายตกตามจักรพรรดิไปด้วย

และด้วยเหตุที่พระองค์เป็นจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ จำนวนหุ่นทหารดินเผาที่สร้างขึ้นจึงมีจำนวนมากเป็นพิเศษ หากใช้มนุษย์จริงๆ จะมีคนตายไปอีกเท่าไร

ถึงตรงนี้ก็ต้องบอกด้วยว่า ในชั้นหลังต่อมาพบว่า มีบางสมัยเท่านั้นที่บุคคลที่ใกล้ชิดจักรพรรดิจะตายตามจักรพรรดิไปด้วย บุคคลเหล่านี้โดยมากมักจะเป็นมเหสีหรือนางสนมกำนัลคนโปรด และแม้ในประวัติศาสตร์จะบันทึกว่า บุคคลเหล่านี้เต็มใจที่จะตายตาม (ในบางสมัย) ก็ตาม แต่เอาเข้าจริงแล้วก็ไม่รู้ว่าเต็มใจจริงหรือไม่

ปัจจุบันนี้พิธีศพของชาวจีนใช้กระดาษมาทำเป็นหุ่นแทน และมิได้มีเฉพาะหุ่นของคนรับใช้ หากยังมีบ้านหลังงาม รถยนต์หรู ข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ธนบัตร ฯลฯ อีกด้วย แล้วคนจีนก็เรียกหุ่นกระดาษพวกนี้ว่า หุ่นกงเต็ก หุ่นทหารดินเผาของจิ๋นซีฮ่องเต้ก็จัดเป็นหุ่นกงเต๊กด้วยเช่นกัน เพียงแต่เป็นดินเผา ไม่ได้เป็นกระดาษ


กำลังโหลดความคิดเห็น