xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

อำนาจในมุมมองนักปราชญ์ (14-1) : กิลส์ เดอลูซ – อำนาจจากภายในแบบเครือข่าย ที่มีพลังสร้างสรรค์ ความปรารถนาและการต่อต้าน / Phichai Ratnatilaka Na Bhuket

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


กิลส์  เดอลูซ (Gilles Deleuze)
"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

 กิลส์ เดอลูซ (Gilles Deleuze)  ซึ่งดำรงชีวิตช่วง ค.ศ. 1925-1995 เป็นนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส ผู้ซึ่งเขียนเกี่ยวกับปรัชญา วรรณกรรม ภาพยนตร์ และวิจิตรศิลป์ ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1950 จนกระทั่งเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1995 เดอลูซนำเสนอความเข้าใจที่หลากหลายและพลวัตอำนาจที่ท้าทายแนวความคิดแบบดั้งเดิม แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่สถาบันที่ครอบครองอำนาจอธิปไตยจากเบื้องบน และการมองอำนาจว่าเป็นพลังกดขี่และเชิงลบที่ดำเนินการผ่านโครงสร้างแบบลำดับชั้นและทวิลักษณ์แบบขั้วตรงข้าม เช่น รัฐ กฎหมาย ชนชั้น และเพศ แต่ เดอลูซกลับเสนอแนวคิดเชิงบวกและความมีประสิทธิผลของอำนาจ

แก่นแนวคิดเรื่องอำนาจของเดอลูซมี 5 ประเด็น ได้แก่ 1) อำนาจจากภายใน (Immanence power) หรือ “อัพภันตรภาพ” ตามศัพท์บัญญัติของราชบัณฑิตยสถานบัญญัติ 2) อำนาจเป็นกระบวนการระดับจุลภาค (Micro-processes) 3) อำนาจสร้างสรรค์ (Creativity) 4) อำนาจมีมิติของความปรารถนา (Desire) และ 5) อำนาจมีมิติการต่อต้าน (Resistance) กรอบแนวคิดเรื่องอำนาจของ เดอลูซ ทรงพลังสำหรับการวิเคราะห์ความเป็นจริงทางสังคมร่วมสมัย และทำให้เกิดการแสวงหาศักยภาพของการต่อต้านอย่างสร้างสรรค์และสร้างการเปลี่ยนแปลงสังคมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของเทคโนโลยีดิจิทัลและอิทธิพลที่แพร่หลายของเทคโนโลยีเหล่านั้น แนวคิดของเดอลูซจึงก้าวไปไกลกว่าแนวคิดง่าย ๆ ที่มองอำนาจในฐานะการครอบงำแบบเดิม

 1) อำนาจจากภายใน หมายถึง อำนาจที่ดำรงอยู่ภายใน ที่มีการปฏิบัติการผ่านร่างกาย ความปรารถนา และเป็นการก่อตัวทางสังคม การมองอำนาจจากภายในของเดอลูซแตกต่างจากความเข้าใจแบบดั้งเดิมเกี่ยวกับอำนาจในฐานะพลังภายนอกที่บุคคลหรือสถาบันใช้ ซึ่งหมายความว่าอำนาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกกำหนดจากเบื้องบน แต่เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์และความสัมพันธ์ที่ประกอบขึ้นเป็นชีวิตของมนุษย์

ลองนึกภาพต้นไม้ แทนที่จะมองว่าต้นไม้เป็นเพียงตัวรับแรงภายนอก เช่น แสงแดดและน้ำ เราสามารถมองว่าได้ว่าพลังอำนาจมีอยู่ในตัวต้นไม้เอง หรือความสามารถของต้นไม้ในเจริญเติบโตไม่ได้เกิดจากพลังภายนอกที่กระทำต่อต้นไม้ แต่เป็นผลมาจากความสามารถภายในของต้นไม้เองและการมีปฏิสัมพันธ์แบบพลวัตกับสิ่งแวดล้อม

อำนาจจากภายในของมนุษย์ก็เป็นไปในลักษณะเดียวกัน อำนาจไม่ใช่พลังทางสังคมที่หยุดนิ่งคงที่ แต่เป็นกระบวนการพลวัตที่เกิดขึ้นจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ ที่หลากหลาย อำนาจหาได้จำกัดอยู่ในบุคคลบางคนหรือสถาบันบางแห่ง แต่ดำรงอยู่และกระจายไปทั่วทุกองค์ประกอบของระบบสังคม และอำนาจมิได้เป็นความสัมพันธ์ทางเดียว ที่ฝ่ายหนึ่งจะมีอิทธิพลเหนือฝ่ายหนึ่งตลอดกาล หากแต่เป็นการมีปฏิสัมพันธ์ซับซ้อนของพลังต่าง ๆ ที่สร้างการเปลี่ยนแปลง และถูกเปลี่ยนแปลงได้เช่นเดียวกัน

 ตัวอย่างของอำนาจจากภายใน เช่น วิธีที่ภาษากำหนดความคิดและการรับรู้ของเรา นั่นคือภาษาไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือที่เราใช้ในการสื่อสารเท่านั้น แต่ยังกำหนดความเข้าใจของเราเกี่ยวกับโลกรอบตัวเราด้วย หรือวิธีที่บรรทัดฐานและความคาดหวังทางสังคมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของเรา ซึ่งบ่งชี้ว่าเราไม่ใช่เพียงปัจเจกบุคคลที่มีเจตจำนงอิสระที่ตัดสินใจเลือกกระทำสิ่งต่างได้อย่างเสรรี แต่เรายังได้รับอิทธิพลจากบรรทัดฐานและความคาดหวังของสังคมที่เราอาศัยอยู่ด้วย ในการกำหนดว่าเราควรแสดงพฤติกรรมหรือกระทำเยี่ยงไรต่อบุคคลสถานที่ สิ่งของ หรือต่อสถานการณ์ที่เผชิญหน้า 

นอกจากภาษาและบรรทัดฐานแล้ว อำนาจจากภายในยังปรากฏในวิธีการที่เทคโนโลยีกำหนดรูปแบบปฏิสัมพันธ์และความสัมพันธ์ของเราด้วย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เทคโนโลยีไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือที่เป็นกลาง แต่ยังกำหนดวิธีที่เราโต้ตอบระหว่างกันและโลกรอบตัวเราด้วย ดังเห็นได้อย่างชัดเจนในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น  Facebook, Twitter และ Instagram  ซึ่งสร้างรูปแบบใหม่ของการสื่อสาร การแสดงออก และการเชื่อมต่อ และรวมไปถึงรูปแบบใหม่ของการเฝ้าระวัง การบงการ และการเสพติดอีกด้วย แพลตฟอร์มเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงแง่มุมเชิงสัมพันธ์ ความแตกต่าง ประสิทธิผล และมีอยู่จริงของอำนาจจากภายใน เนื่องจากแพลตฟอร์มเหล่านี้ทั้งทำให้เราสามารถใช้งานได้ตามความปรารถนา ขณะเดียวกันก็สามารถจำกัดการโต้ตอบและความสัมพันธ์ของผู้ใช้ด้วย ด้านหนึ่งผู้ใช้สามารถสร้างและแบ่งปันเนื้อหาตามความประสงค์ แต่อีกด้านหนึ่งพวกเขาได้รับอิทธิพลและถูกกำกับติดตามโดยอัลกอริธึมและข้อมูลด้วย

นัยสำคัญของอำนาจจากภายในคือ การเปิดโอกาสให้เกิดการต่อต้านและการเปลี่ยนแปลง โดยการตระหนักว่าอำนาจไม่คงที่ และสามารถกำหนดอำนาจใหม่ได้ ซึ่งเป็นเน้นให้ความสำคัญแก่ทั้งผู้กระทำการที่เป็นปัจเจกบุคคล และการกระทำแบบรวมหมู่ในการเปลี่ยนแปลงโลกและสังคมรอบตัวเรา อีกทั้งยังสนับสนุนให้ผู้คนคิดอย่างมีวิจารณญาณเกี่ยวกับวิธีการใช้อำนาจในชีวิตของเราและชีวิตของผู้อื่น ด้วยการตระหนักถึงธรรมชาติของอำนาจจากภายใน ทำให้สามารถก้าวข้ามความเข้าใจขอบเขตที่จำกัดเกี่ยวกับอำนาจในฐานะพลังจากบนลงล่าง และเปิดรับศักยภาพของอำนาจในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก

อำนาจจากภายในทำงานผ่านเครือข่ายแนวนอนและมีลักษณะแบบไรโซม (rhizomatic networks-มีลักษณะคล้ายคลึงกับเครือข่ายเหง้าหรือแง่งของต้นไม้บางประเภทที่มีลำต้นอยู่ใต้ดิน)  “ตัวแบบเหง้าแห่งอำนาจ” หรือ “เครือข่ายอำนาจที่มีการเชื่อมต่อแบบไม่เป็นเส้นตรง”  แตกต่างจากตัวแบบอำนาจแบบต้นไม้ดั้งเดิม ซึ่งเน้นที่ลำดับชั้น ความเป็นเส้นตรง และการควบคุมแบบรวมศูนย์ แต่แบบจำลองเหง้ากลับนำเสนอมุมมองที่ไม่เป็นเชิงเส้นตรง กระจายอำนาจ และเชื่อมโยงถึงกัน โดยเน้นธรรมชาติของเครือข่ายที่มีพลวัตและการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา

ลักษณะสำคัญของตัวแบบเหง้าแห่งอำนาจ (1) ไม่มีจุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุด: เครือข่ายอำนาจไม่มีจุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุดที่ตายตัวซึ่งต่างจากต้นไม้ที่มีรากและกิ่งก้านที่ชัดเจน มันเติบโตและขยายตัวอย่างต่อเนื่องในทุกทิศทาง ก่อให้เกิดโครงข่ายของจุดเชื่อมต่อ (node) ที่โยงใยถึงกัน (2)ความหลากหลาย: เครือข่ายอำนาจประกอบด้วยหลายจุดเชื่อมต่อ ซึ่งแต่ละจุดเชื่อมต่อแสดงถึงแนวคิด แนวคิด หรือหน่วยทางสังคม จุดเชื่อมต่อเหล่านี้โยงใยกันด้วยเหง้า ก่อให้เกิดเครือข่ายที่ซับซ้อนและพลวัต (3) ความเปิดกว้าง: เครือข่ายเปิดรับการเชื่อมต่อและอิทธิพลใหม่ ๆ สามารถเติบโตและขยายตัวได้อย่างไม่มีกำหนด โดยผสมผสานองค์ประกอบใหม่ ๆ และปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป (4) การกระจายอำนาจ: เครือข่ายอำนาจไม่มีจุดศูนย์กลางในการควบคุม อำนาจและอิทธิพลถูกกระจายไปยังจุดเชื่อมต่อต่าง ๆ ซึ่งนำไปสู่ความยืดหยุ่นที่มากขึ้น (5) ความแตกต่าง: ช่วยให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ขององค์ประกอบที่หลากหลายและขัดแย้งกัน สามารถเชื่อมโยงสาขาวิชา แนวคิด และมุมมองที่แตกต่างกันด้วยวิธีที่ไม่คาดคิดและมีประสิทธิภาพ

 2) อำนาจเป็นกระบวนการระดับจุลภาค (Micro-processes) มีนัยว่า อำนาจไม่ได้กระจุกตัวหรือรวมศูนย์อยู่ในมือของคนเพียงไม่กี่คน และไม่ได้ถูกใช้โดยบุคคลหรือสถาบันเพียงไม่กี่แห่งที่มีสิทธิพิเศษ เช่น ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี สถาบัน และ องค์กรอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกันเท่านั้น แต่อำนาจกลับมีอยู่ในกระบวนการเล็ก ๆ มากมายที่แทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวันและการมีปฏิสัมพันธ์ของผู้คน

กระบวนการของอำนาจในระดับจุลภาค หมายถึง วิธีการเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มักมองไม่เห็นปฏิบัติการของอำนาจที่ดำเนินการภายในประสบการณ์ประจำวันของผู้คน กระบวนการเหล่านี้อาจละเอียดอ่อน เป็นไปโดยอ้อม หรือแม้แต่ไม่ตระหนักรู้ว่านั่นคือกระบวนการของอำนาจ แต่ก็มีผลกระทบสำคัญต่อชีวิตของเราและชีวิตของผู้อื่นอย่างใหญ่หลวง

 กระบวนการของอำนาจระดับจุลแสดงออกในรูปแบบของวิธีการใช้ภาษาเพื่อเสริมสร้างหรือท้าทายลำดับชั้นอำนาจทางสังคม หรือการใช้สัญญาณที่ละเอียดอ่อนด้วยภาษากายและน้ำเสียงที่สื่อถึงความมีอำนาจเหนือกว่าหรือการยอมจำนน หรือฐานคติหรือสิ่งที่เราเชื่อว่าเป็นความจริงและอคติที่ไม่ได้พูดออกมา ซึ่งมีอิทธิพลต่อปฏิสัมพันธ์ของเรากับผู้อื่น รวมทั้งอัลกอริธึมที่กำหนดข้อมูลที่เราเห็นและการตัดสินใจที่เราทำทางออนไลน์

ภาษาสามารถใช้ได้ทั้งการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ลำดับชั้นอำนาจทางสังคม และท้าทายโครงสร้างสังคมเดิม ลักษณะการใช้ภาษาเพื่อทำให้โครงสร้างสังคมมีความมั่นคงยิ่งขึ้น ทำได้โดยใช้คำที่เสื่อมเสียแบบเหมารวม และถ้อยคำสละสลวยที่ลดคุณค่าและกีดกันคนบางกลุ่มที่เสียเปรียบอยู่แล้วให้ยอมจำนนตลอดกาล การใช้ภาษาลักษณะนี้ปรากฏทั้งในปริมณฑลของเพศ เชื้อชาติ และอายุ เช่น การใช้ภาษาเหยียดเพศหญิงด้วยถ้อยคำที่ดูหมิ่น เช่น  “ผู้หญิงต้องเป็นช้างเท้าหลัง” “ถ้าไม่กล้าก็ไปใส่กระโปรง” หรือใช้ภาษาเหยียดเพศสภาพ เช่น “คนนี้เป็นคนที่เบี่ยงเบนทางเพศ” “สาวประเภทสอง”  หรือใช้ภาษาเหยียดเชื้อชาติที่สื่อถึงความต่ำต้อยหรือความเป็นปรปักษ์ต่อกลุ่มชาติพันธุ์บางกลุ่ม เช่น  “คนป่าเถื่อน” หรือ “ผู้ก่อการร้าย” หรือการภาษากับผู้สูงอายุที่สื่อถึงความไร้ความสามารถเช่น “วัยชรา” หรือ “หัวโบราณ” หรือ ภาษาต่อผู้มีอายุน้อยที่สื่อถึงการกดทับเชิงอำนาจ เช่น  “ฉันอาบน้ำร้อนมาก่อนเธอ” 

ในทางกลับกัน ภาษาสามารถใช้เพื่อท้าทายลำดับชั้นทางสังคมได้โดยใช้คำศัพท์ คำอุปมาอุปมัย และคำขวัญ ที่ยืนยันและยกย่องความหลากหลายและศักดิ์ศรีของทุกคน ตัวอย่างเช่น ภาษาสตรีนิยมในคำภาษาอังกฤษสามารถใช้คำที่ไม่แบ่งแยกเพศหรือครอบคลุม เช่น คำว่า  “ประธาน”  จะใช้คำว่า  “Chairperson” แทนคำว่า “Chairman”  หรือใช้คำที่บ่งบอกอัตลักษณ์ทางเพศในแง่บวก เช่น  “คนรักเพศเดียวกัน” หรือภาษาต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติที่ให้ความเคารพและรับทราบถึงอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เช่น   “ชนพื้นเมือง” หรือ “มุสลิม”  หรือ ภาษาเรียกผู้สูงอายุที่ใช้คำเชิงชื่นชมและเห็นคุณค่าของประสบการณ์และภูมิปัญญา เช่น  “ผู้อาวุโส” หรือ “ผู้ให้คำปรึกษา” 

ที่สำคัญ กระบวนการระดับย่อยเหล่านี้ไม่ใช่เหตุการณ์ที่แยกจากกัน แต่เชื่อมโยงถึงกันและมีการสะสม วิธีที่เราโต้ตอบกันในแต่ละวันซึ่งดูเหมือนไม่มีนัยสำคัญนั้น มีส่วนทำให้เกิดโครงสร้างอำนาจที่ใหญ่ขึ้นซึ่งหล่อหลอมสังคม การตระหนักถึงความสำคัญของกระบวนการอำนาจในระดับจุลภาคทำให้เกิดการท้าทายพลวัตและความชอบธรรมของอำนาจแบบดั้งเดิม เป็นการเพิ่มขีดความสามารถให้กับบุคคลในการพัฒนากลยุทธ์เพื่อต่อต้านหรือเจรจาต่อรองกับโครงสร้างอำนาจดั้งเดิม ทำให้การต่อสู้ทางการเมืองมุ่งเน้นไปที่การกระทำในชีวิตประจำวัน ซึ่งผู้คนตระหนักถึงศักยภาพของตนเองในการเปลี่ยนแปลงแง่มุมที่ดูเหมือนธรรมดาของชีวิต แต่มีผลกระทบต่อการเมืองในภาพใหญ่ ทั้งยังส่งเสริมการคิดและวิเคราะห์พฤติกรรมของตนเอง และพฤติกรรมของผู้อื่นอย่างมีวิจารณญาณ โดยตระหนักถึงวิธีการที่ทุกคนมีส่วนร่วมในการผลิตซ้ำหรือการต่อต้านโครงสร้างอำนาจแบบเดิม

(อ่านต่อสัปดาห์หน้า)


กำลังโหลดความคิดเห็น