xs
xsm
sm
md
lg

น้องไนท์ในทางการเมืองที่พบเจอ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ



น้องไนท์กำลังเป็นที่กล่าวขานเรื่องแบบนี้ในสังคมอ่อนไหวหลักลอยไร้ที่พึ่งพิงก็เกิดขึ้นได้เสมอ แต่ผมเชื่อว่าเรื่องราวของน้องไนท์จะเดินทางไปสู่จุดจบในไม่นาน แต่เราจะรู้ตัวไหมว่าในทางการเมืองเราก็มีคนคล้ายๆ กับน้องไนท์ที่จะมาหลอกลวงเราว่าเขาจะเป็นผู้นำพาสังคมเราไปสู่หนทางที่ดี

ในการเลือกตั้งที่ผ่านมานั้นหลายคนไปเลือกตั้งโดยไม่รู้ประวัติของคนที่ตัวเองเลือกมาก่อน ไม่รู้ว่ามีความรู้ความสามารถอย่างไร เคยทำอะไรประสบความสำเร็จในชีวิตมาบ้าง เคยทำประโยชน์ต่อสังคมและสาธารณะมาแค่ไหน ผิดกับแต่ก่อนที่เราเลือกผู้แทนจะต้องเป็นคนที่เรารู้จักได้ยินชื่อเสียงความเป็นมา หรือไม่ก็เคยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แต่เราเรียกการเมืองแบบเก่าว่าระบบอุปถัมภ์

ระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทยนั้น เป็นลักษณะการพึ่งพิงกันระหว่างชนชั้นที่คนจนต้องพึ่งพาคนที่มีฐานะกว่า ฝ่ายหนึ่งได้รับการช่วยเหลือค้ำจุนในการดำรงชีวิต แต่อีกฝ่ายหนึ่งได้รับการจงรักภักดีและประโยชน์จากการเข้าสู่อำนาจทางการเมือง ในปัจจุบันสังคมไทยในชนบทอีกจำนวนมากที่เลือกนักการเมืองจากระบบอุปถัมภ์ ข้อเสียคือเราไม่ได้เลือกคนจากความรู้ความสามารถ แต่ผลดีของระบบนี้ก็คือ ความใกล้ชิดสนิทสนมและสามารถพึ่งพาได้จริง

นักการเมืองเก่านั้นจะต้องตอบสนองความต้องการของสังคมไม่ว่าจะเป็นงานบุญ งานศพของคนใต้ระบบอุปถัมภ์จะไม่สามารถละเลยได้ รวมไปถึงการดูแลทุกข์สุขของชุมชน เช่นการฉีดยุงลาย อย่างน้อยก็สามารถพึ่งพิงได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่ใช่นักการเมืองที่พยายามทำแบบที่นักการเมืองในระบบอุปถัมภ์ทำครึ่งหนึ่งคือส่งพวงหรีดไปร่วมงานศพแต่เสร็จงานแล้วก็เอาไปเวียนใช้กับงานศพอื่นต่อ

พรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่นั้นชนะเลือกตั้ง โดยไม่ต้องมีบทพิสูจน์อะไรเลย นั่นคือเราไม่ได้เลือกคนที่มีความรู้ความสามารถ แต่เราเลือกจากความเชื่อว่า พรรคการเมืองพรรคนี้จะเป็นพรรคการเมืองที่ดี เลยเลือกสมาชิกของพรรคนี้โดยไม่รู้ว่าเป็นใคร

อะไรที่ทำให้พรรคการเมืองพรรคนี้ประสบความสำเร็จ และทำให้คนเชื่อว่าพรรคการเมืองนี้เป็นการเมืองแห่งความหวังของสังคมไทย

พรรคการเมืองที่คนลงไปเลือกกันโดยไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของคนนั้น อย่าว่า แต่ลูกพรรคเลยหัวหน้าพรรค และแกนนำของพรรคหลายคนก็ไม่มีประวัติการทำงานเป็นชิ้นเป็นอันมาก่อน ไม่ว่าประสบการณ์การทำงานจากภาครัฐหรือเอกชน มีคนไม่น้อยที่ตั้งคำถามว่า หากพรรคการเมืองพรรคนั้นชนะการเลือกตั้งแล้วสามารถตั้งรัฐบาลได้จะทำงานได้จริงไหม หรือเหมือนกับชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่ออกไปเลือกตั้งกันถล่มทลายแต่มีผลงานที่น่าผิดหวังมาก

หรือเป็นเพราะอดีตเราไม่มีโซเชียลมีเดียที่เป็นเครื่องมือทำให้คนมีอุปทานหมู่กันง่าย โซเชียลมีเดียทำให้คนคิดเหมือนกันเชื่อเหมือนกันง่ายขึ้น และกวาดต้อนให้คนมีความคิดเดียวกันไปอยู่รวมกันในห้องเดียวกันรับฟังข่าวสารที่มาแต่จากฟากตัวเอง ชอบที่มีการวิเคราะห์มาให้มากกว่าการสังเคราะห์ด้วยตัวเอง เวลาใครส่งข้อความเข้าไปในห้องไลน์แล้วขึ้นต้นว่า “เรื่องนี้ดีมาก...” ก็ส่งกันโดยเชื่อว่าเรื่องนี้ดีมากทันที

คนที่กุมโซเชียลมีเดียและข้อมูลข่าวสารได้มากจึงเป็นผู้ที่มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า ยิ่งสามารถเข้าถึงคนรุ่นใหม่ด้วยแล้ว คนเหล่านี้ไม่ค่อยจะมีประสบการณ์ในชีวิตมาก่อน และเชื่อทุกอย่างตามตำราและทฤษฎี ยิ่งความเชื่อจากอาจารย์มหาวิทยาลัยที่เหมือนเป็นไอดอลด้วยแล้วยิ่งสามารถปลูกฝังความคิดความเชื่อกับคนรุ่นใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัยได้ง่าย และเมื่ออาจารย์เหล่านั้นมีความคิดเป็นปฏิปักษ์กับระบอบของรัฐอยู่แล้วคนรุ่นใหม่จากรั้วมหาวิทยาลัยจึงถูกหล่อหลอมด้วยความคิดแบบนั้น

อาจจะโชคดีที่อาจารย์มหาวิทยาลัยไม่ได้เป็นอย่างนั้นทุกคน และมีคนรุ่นใหม่ไม่น้อยที่มีความคิดที่จะคิดวิเคราะห์และแยกแยะเรื่องราวต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง ก็เลยไม่ถูกอาจารย์มหาวิทยาลัยที่มีความคิดเป็นปฏิปักษ์กับระบอบของรัฐชักนำไปได้ทุกคน

แล้วเห็นไหมว่า อาจารย์มหาวิทยาลัยที่สอนลูกศิษย์ว่าพ่อแม่ไม่มีบุญคุณกับเรา เป็นคนทำให้เราเกิดมามีหน้าที่ต้องเลี้ยงดูเรา หรือบางคนบอกว่าครูอาจารย์ไม่มีบุญคุณกับเรา เพราะเราจ้างครูอาจารย์มาสอนแลกกับเงินเดือน ความคิดสกุลนี้เป็นกลุ่มเดียวกับพรรคการเมืองที่เราคิดว่าเป็นความหวังของคนรุ่นใหม่ เป็นการเมืองใหม่ที่เราจะให้พวกเขาเข้ามาบริหารประเทศ โดยที่เราไม่รู้เลยว่าพวกเขามีความสามารถอย่างไร มีความรู้ที่จะนำพาประเทศของเราได้ไหม

แน่นอนแหละนักการเมืองพรรคนี้อาจจะมีความรู้มีดีกรีการศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่ร่ำเรียนมา แต่พวกเขาเคยฝึกฝนการใช้ความรู้เป็นประสบการณ์ในการทำงานหรือไม่ คำตอบที่เราเห็นก็คือไม่มีเลย

คนทุกคนก็เริ่มจากไม่มีประสบการณ์มาก่อนแล้วค่อยเรียนรู้ไปจนเกิดความชำนาญ แต่บางเรื่องเราต้องคิดว่าไม่สามารถเป็นพื้นที่ให้คนมาเรียนรู้หรือฝึกงานได้ เช่น งานทางการเมืองที่ต้องการคนมาเป็นผู้นำของสังคมเข้ามาบริหารประเทศชาติ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องปฏิเสธคนรุ่นใหม่ทุกคน เพียงแต่ถ้าเราไปเลือกตั้งเราจะต้องพิจารณาคุณสมบัติของคนคนนั้นอย่างถ่องแท้เสียก่อน ไม่ใช่เข้าคูหาไปเลือกโดยไม่รู้ว่าชื่ออะไรด้วยซ้ำไป และทำให้เราได้นักวิ่งราวมาคนหนึ่ง

คนในพรรคการเมืองพรรคนั้นหลายคนที่ได้รับเลือกตั้งมาแล้วเราไม่รู้หัวนอนปลายเท้า จึงค่อยเปิดเผยตัวตนของตัวเองขึ้นมา แต่กว่าที่เราจะคิดได้ว่าเลือกคนแบบนี้มาได้ยังไง เราก็ยื่นประเทศไว้ในมือของพวกเขาแล้ว

ทุกอย่างในโลกนี้จึงต้องการประสบการณ์การเรียนรู้ที่สั่งสมมาจึงจะนำพาสังคมไปข้างหน้าได้ พระพุทธเจ้าไม่ได้เกิดมาแล้วตรัสรู้เลยกว่าจะค้นพบอริยสัจ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นั้นต้องผ่านการลองผิดลองถูกมาก่อน เมื่อรู้ว่าทางนั้นไม่ใช่เส้นทางของการพ้นทุกข์ก็ไปหาเส้นทางใหม่ ขณะเดียวกันการเรียนรู้ด้วยตัวเองด้วยการบำเพ็ญทุกรกิริยาก็ไม่ใช่ทางแห่งการพ้นทุกข์ได้ จนกระทั่งมุ่งไปสู่ทางสายกลางจนค้นพบอริยสัจ 4

ดังนั้นถ้าเราจะให้ใครมานำทางของเราฝากความหวังไว้กับเขา ฝากประเทศชาติไว้กับเขา เราต้องมั่นใจว่า เขามีความรู้พอที่จะนำพาชาติของเราไปข้างหน้า ไม่ใช่พูดเก่ง หว่านล้อมเก่ง สร้างวาทกรรมเก่ง จนเราเชื่อว่า นี่เป็นความหวังใหม่ของเรา คนรุ่นใหม่ที่ขาดประสบการณ์ชีวิตก็อาจจะไม่แปลกที่หลงใหลได้ง่าย แต่คนรุ่นเก่าที่หลงใหลมัวเมาไปด้วยนี่ก็ต้องนับว่าขาดสติปัญญาอย่างยิ่งแก่แล้วแก่เลยหรือไม่ก็กลัวเด็กไม่รัก

ไม่มีน้องไนท์ที่บรรลุเป็นพระโสดาบันตั้งแต่เกิดโดยไม่ต้องศึกษาเรียนรู้ด้วยตัวเองเฉกเช่นพระพุทธเจ้าหรอก ไม่มีหรอกเชื่อมจิตแล้วรู้จักสิ่งนั้นโดยที่ไม่มีข้อมูลมาก่อน น้องไนท์ทางการเมืองก็ไม่มีเช่นเดียวกัน กลับไปดูภูมิหลังของเขาเสียก่อนว่าทำอะไรมาบ้าง อะไรที่โกหกมดเท็จมากี่เรื่องแล้ว

วันนี้เราปล่อยให้น้องไนท์ในทางการเมืองเชื่อมจิตของเราจนมัวเมาหรือไม่ต้องถามตัวเอง

ติดตามผู้เขียนได้ที่
https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น